xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อรัฐบาลอัปยศปกป้องเขมร-ได้เวลารวมพลังทวงแผ่นดิน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ไม่น่าเชื่อว่านับวันหลักฐานต่างๆ เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ได้มีท่าทีปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย และประเทศชาติอย่างเข้มแข็ง

มีลักษณะ “ส่อพิรุธ” ไปในทางหาประโยชน์ในทางมิชอบ “สมคบคิด” กับผู้นำรัฐบาลต่างชาติ ละเลยการปกป้องดินแดน รักษาอธิปไตยของชาติ

ขณะที่ ผู้นำกองทัพ เอาแต่นิ่งเฉย ไม่ทำหน้าที่ “รั้วของชาติ” อย่างเต็มกำลัง เพื่อสร้างความอุ่นใจ และมั่นใจกับพี่น้องคนไทยที่อยู่แนวหลังได้อย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามท่าทีของผู้นำกองทัพรุ่นปัจจุบันบางคนยังทำให้เกิดความระแวงว่า อาจมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ตามแนวชายแดน ผลประโยชน์ที่จะได้รับการหยิบยื่นจากทรัพยากรทางธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเล ทำให้บั่นทอนความเข้มแข็งของตัวเอง หรือยอม “หลิ่วตา” หรือ “วางเฉย-ดูดาย” มองไม่เห็นการรุกล้ำอธิปไตยจากฝ่ายตรงข้าม

ข้อพิสูจน์ที่เห็นตำตาได้ฟ้องให้เห็นถึงพฤติกรรมดังกล่าวของคณะผู้นำไทย และกองทัพไทยที่ผ่านมา นับตั้งแต่กรณี 7 คนไทยถูกกัมพูชา “ลักพาตัว” หรือจับกุมในเขตแดนไทย หรืออย่างมากก็เป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัด แต่คณะผู้นำของรัฐบาลไทยกลับด่วนสรุปว่า “รุกล้ำดินแดน” และให้ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชา

ต่อมากรณีทหารกัมพูชาปักป้ายประณามกองทัพไทยและคนไทยว่าเป็น “ผู้รุกราน” จากนั้นก็เพิ่มความเหิมเกริมเปลี่ยนข้อความใหม่ว่า “ที่นี่กัมพูชา” อันเป็นการประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนของไทยอย่างเป็นทางการ และจนกระทั่งมีการปักธงชาติกัมพูชาที่เหนือประตูทางเข้าวัดแก้วศิขาคีรีสวาระ ในบริเวณใกล้กับปราสาทพระวิหาร ชายแดนด้าน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

แม้ว่าถัดมาทางฝ่ายกัมพูชาจะยอมปลดป้ายที่ประณามไทยออกไปแล้วก็ตามหลังจากที่แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร นำกำลังขึ้นไปเจรจาบังคับ แต่ก็ยังปักธงชาติกัมพูชาอยู่เหนือวัดแก้วสิขาคีรีสวาระอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตาม คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมทางฝ่ายกองทัพไทยที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ชายแดนบริเวณนั้นถึงปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้เหิมเกริมได้ยาวนานขนาดนี้ ทำไมถึงต้องรอให้ภาคเอกชนเปิดโปงกดดันถึงได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวเป็นครั้งคราวแบบนี้

คำถามอีกว่า เป็นเพราะนี่คือคำสั่งหรือนโยบายจากหน่วยเหนือขึ้นไป ทั้งจากรัฐบาล และฝ่ายกลาโหม ใช่หรือไม่

หากพิจารณาเฉพาะกรณีของธงชาติกัมพูชาที่ปักไว้เหนือประตูวัดแก้วสิขาฯ ที่อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร หากเป็นไป เอ็มโอยู 43 ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ พยายามอ้างอยู่ตลอดเวลาว่ามีไว้เพื่อป้องกันการรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชาจริง ทำไมถึงปล่อยให้มีการปักธงเอาไว้นาน “กว่าสองปี” เพราะหลักฐานภาพถ่ายที่ปรากฏตั้งแต่ยุคที่ พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เคยนำกำลังไปช่วยคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุม ในตอนนั้นยังไม่มีธงชาติกัมพูชาปรากฏอยู่แต่อย่างใด จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พล.ท.กนก ถูกเด้งไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกแล้ว

แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเหิมเกริมรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ และประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันก็เป็นหลักฐานยืนยันเช่นเดียวกันว่า เอ็มโอยู 2543 ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ อวดอ้างอยู่ตลอดเวลาว่ามีไว้เพื่อป้องกันการรุกล้ำก็ไม่เป็นความจริง ในทางตรงข้ามยังยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของฝ่ายกัมพูชาทางอ้อมเสียอีก เพราะรัฐธรรมนูญกัมพูชาบัญญัติไว้ชัดเจนว่าต้องยึดมาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เท่านั้น

ปรากฏการณ์ที่แสดงออกมาเป็นหลักฐานทั้งหมด เท่าที่เห็นเป็นประจักษ์ล้วนตรงกันข้ามกันกับท่าทีของคณะรัฐบาลไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะกรณีแผ่นป้าย และธงชาติกัมพูชา ซึ่งกรณีธงชาตินั้นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ยัง “ตะแบง” ว่าเป็นธงของวัด เป็นธงที่แสดงสัญลักษณ์ทางศาสนากัมพูชาเท่านั้นไม่ใช่ธงชาติ พร้อมทั้งกล่าวเกรงอกเกรงใจ “ฮุนเซน” ผู้นำกัมพูชา ว่ารัฐบาลไทยจะไม่สร้างความหนักใจหรือทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาเป็นอันขาด พร้อมกันนี้ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวกับภาคประชาชนในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนที่เป็นคนไทยด้วยกันที่ปักหลักชุมนุมประจานความ “อ่อนแอ” และตั้งข้อสงสัยในเรื่องผลประโยชน์ของคนในรัฐบาล โดยข่มขู่ว่าจะต้องใช้กำลังหรือใช้วิธีบีบคั้นผลักดันให้ยุติการชุมนุมหรือขับไล่ให้พ้นไปจากพื้นที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาลโดยเร็ว

ท่าทีที่ถือว่าอัปยศของคนในรัฐบาล ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ได้มีเจตนาจริงจังในการรักษาผลประโยชน์ของคนไทย และรักษาอธิปไตยของชาติ มีแต่พยายามปิดบังซ่อนเร้นและแก้ต่างรวมไปถึงเกรงอกเกรงใจฝ่ายตรงข้ามจนผิดสังเกต อย่างไรก็ดี อย่าได้แปลกใจหากบังเอิญว่ามีข่าวปรากฏในสื่อกัมพูชาเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน อ้างคำให้สัมภาษณ์ของฮุนเซน เปิดเผยว่า “สก อาน” รองนายกฯกัมพูชา มีกำหนดนัดหารือแบ่งปันผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่พิพาทบริเวณอ่าวไทย กับรองนายกฯ สุเทพ ในเร็วๆ นี้ ซึ่งนี่อาจเป็น “ปริศนา” ล่าสุดที่เฉลยว่าทำไม คณะผู้นำไทยจึงต้องมีท่าทีอ่อนข้อให้กัมพูชาดังกล่าว

ก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสงสัยกันมาตลอดว่า หลังจากหมดยุคของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยไปทำข้อตกลงในเรื่องธุรกิจด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีการรื้อฟื้นเจรจาใหม่ โดยเปลี่ยนผลประโยชน์มาสู่ผู้มีอำนาจชุดใหม่ ในลักษณะ “สวมตอ” รวมไปถึงผลประโยชน์ด้านชายแดนอื่นๆตามมา

สิ่งที่ปรากฏดังกล่าว มันจึงเป็นคำตอบสำคัญว่า ทำไมรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจในรัฐบาลบางคนจึงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อคนไทยที่รักชาติ หวงแหนอธิปไตยอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยจะต้องออกมารวมพลังกันอีกครั้งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติด้วยตัวเอง เพราะนาทีนี้คงหวังพึ่งพาใครไม่ได้ เพราะแม้แต่ผู้นำระดับสูงในกองทัพหลายคนล้วนมีท่าทีน่าหวาดระแวงและเอาตัวรอด!!
กำลังโหลดความคิดเห็น