xs
xsm
sm
md
lg

ทวิภาคี-แบ่งพื้นที่ของไทย !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

00 อ่วมกันไปตามระเบียบครับผม สำหรับ “เสี่ยเยิ้ม” พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร ที่ผันผายตัวเองกลายมาเป็น “แม่ทัพภาค 2” เมื่อถูกกระชาก “หน้ากาก” ออกมาให้เห็นโฉมหน้าแท้จริง ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นแม่ทัพฝั่งไหนกันแน่ เพราะจากพฤติกรรมทั้งในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันล้วนน่าสงสัยว่าเขาทำเพื่อใคร เพื่อชาติ หรือส่วนตัวที่อื้อฉาว ขณะเดียวกันเมื่อมาผนวกเอากับท่าที “แปลก” ตั้งแต่ต้นมันทำให้คิดได้ต่างๆนานา
00 สิ่งที่ทำให้คนสงสัยว่า “รบไม่จริง” ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องข้อสงสัยว่าเจ้าตัวมี “ผลประโยชน์” ด้านชายแดน ถูกกล่าวหาในเรื่อง “โควตาน้ำมัน” แถมยังลามปามมาถึง “หลังบ้าน” ประเภท “ไม่เป็นทางการ” ถึง “สี่หลัง” และหนึ่งในนั้นมีเชื้อสาย “แขมร์” เสียด้วย มันก็ยิ่งทำให้ทุกสายตา “เพ่งมอง” เป็นตาเดียว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมปริปาก
00 ในช่วงทำท่าทีขึงขังดูราวกับว่าขึ้นเขาไปเจรจาบังคับให้เขมร “ทุบป้ายที่นี่เขมร” ตอนแรกเข้าใจเป็นเพราะทำไปด้วยเลือดในกายสูบฉีดแรง ที่ไหนได้กลายเป็น “ปาหี่” เพื่อสร้างภาพลดแรงกดดันจากภาคประชาชน ให้เห็นว่ามี “แอ็กชั่น” ออกมาบ้าง แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น แต่พอมาถึงกรณี “วัดแก้วศิขาฯ” และการปักธงชาติบนซุ้มประตูวัดเพื่อประกาศอธิปไตยเหนือดินแดน เขากลับบอกหน้าตาเฉยว่าทำได้ แถมอ้างให้เสร็จสรรพว่าธงปักอยู่บนอากาศไม่ได้ปักอยู่บนพื้นดิน แถมต่อมายังระบุอีกว่าวัดนี้สร้างมาก่อนมี “เอ็มโอยู43” ทำนองว่าเป็นของเขมรนั่นแหละ
00 อย่างไรก็ดีมาถึงบางอ้อ เมื่อได้เห็นภาพแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยคนนี้ “นั่งยิ้มแฉ่ง” ถ่ายรูปร่วมคณะกับ ประธานกมธ.เจบีซี จากพรรคปชป.คือ เจริญ คันธวงศ์ ขึ้นไปเยี่ยมชมวัดแก้วศิขาฯลักษณะเมื่อดูตามรูปการณ์แล้วเหมือนกับการยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาโดยพฤตินัยนั่นเอง ด้วยพฤติกรรมและท่าทีข้างต้นมันก็ไม่ต่างจากการ “ขายชาติ” ไม่สมควรทำหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 อีกต่อไป
00 เสร็จสิ้นกันไปแล้วสำหรับการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นตามคำเรียกร้องของรัฐบาลฮุนเซน โดยมี ฮุนเซน ส่วนเขมรส่ง ฮอร์ นัมฮง ไปแก้ต่าง แม้ว่าผลออกมาว่าให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันแบบทวิภาคีโดยมีอาเซียนเข้ามาเป็นคนกลาง เพื่อทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร มองดูเผินๆเหมือนกับว่า “มาร์ค” จะได้หน้า เพราะกลับมาถกกันแบบภายในทั้งสองฝ่าย แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า “ไทยเสียเปรียบ” ชัดเจน เพราะแทนที่จะเป็นการเจรจากันโดยตรงทั้งสองฝ่าย แต่กลับต้องมีอาเซียนเข้ามาคั่นกลาง นั่นก็แสดงให้เห็นว่าความหมายของเอ็มโอยู 43 ของมาร์ค ใช้ไม่ได้ผล
00 สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การมาเจรจาหยุดยิงใน “พื้นที่ของไทย” หรือเข้ามา “แบ่ง” พื้นที่ของไทย เพราะจุดที่เขาบอกว่าเป็นพื้นที่พิพาททั้ง วัดแก้วศิขาฯ หรือพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรล้วนเป็นพื้นที่ของไทยอย่างสมบูรณ์ “ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน” แต่กลายเป็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่เคยย้ำในเรื่องนี้ แม้ว่ากระทรวงต่างประเทศเคยออกแถลงการณ์ให้รื้อวัด-ปลดธง แต่ระดับผู้นำในกองทัพ ตั้งแต่รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลงมาพูดในทางตรงข้าม ทำให้น่าวิตกว่า หากมีการเจรจาหยุดยิงถาวร ก็จะกลายเป็นว่าพื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นพื้นที่ “สันติภาพ” ทำให้เขมรใช้เป็นพื้นที่บริหารจัดการโดยรอบปราสาท ส่งผลให้การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกสมบูรณ์ในที่สุด
00 ดังนั้นถ้าให้สรุปนาทีนี้ถือว่าฝ่ายไทยเสียเปรียบและเสียพื้นที่ ขณะที่ฝั่งเขมร “มีแต่ได้” แม้ว่า “ได้ไม่ทั้งหมด” ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ “มีกำไร” และเดินเกมลากให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาจนได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ยูเอ็น แต่เมื่อเป็นอาเซียนก็น่าจะโอเค และที่สำคัญสิ่งที่เขมรย้ำอยู่ตลอดก็คือ เอ็มโอยู 43 รับรองแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน นั่นก็หมายความว่าครอบคลุมพื้นที่ของไทยกินลึกเข้ามาอีกเกือบ 2 ล้านไร่ ขณะที่รัฐบาลไม่เคยโต้แย้งในกรณีนี้เลย เพราะได้เสียค่าโง่ยอมลงนามไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ต้องตะแบงไปเรื่อยๆ
00 อย่างไรก็ดีทำท่าเหลวตั้งแต่ต้น เมื่อเพราะเมื่อวานนี้( 15ก.พ.)ยังมีการปะทะเกิดขึ้นอีกที่ “ภูมะเขือ” ห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร ด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บอย่างน้อย 2 คน แม้ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดก็ตาม แต่แสดงให้เห็นว่าเอ็มโอยูล้มเหลว รวมไปถึงเขมรยังต้องการดึงนานาชาติให้เข้ามาแทรกแซงให้ได้ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น