xs
xsm
sm
md
lg

พธม.จี้ กต.โชว์ จม.2 คนไทยขออภัยโทษ ซัดปล่อยเขมรพาทูตเข้าพระวิหารส่อเสียดินแดนชัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปานเทพ” ชี้หากไทยปล่อยเขมรพาทูตทหาร 10 ประเทศเหยียบ 4.6 ตร.กม.เท่ากับยอมรับพื้นที่เป็นของเพื่อนบ้าน ยันไม่ให้ต่างชาติจุ้น จี้กระทรวงการต่างประเทศโชว์หนังสือขออภัยโทษ “วีระ-ราตรี” ซัดกัมพูชาละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ให้เยี่ยม สับ “มาร์ค” เห็นแก่ตัว ด้าน “จำลอง” ไล่ “พนิช” ไปเตือนเพื่อน แย้มตั้งอนุฯ ช่วย 2 คนไทย



 คลิกที่นี่ เพื่อฟังนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์  

วันนี้ (3 มี.ค.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน โดยนายปานเทพกล่าวถึงกรณีที่ทางการกัมพูชาเตรียมนำทูตทหารจาก 10 ประเทศเข้าสำรวจพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ว่า ทางกัมพูชาได้เชิญทูตทหารเข้าสำรวจพื้นที่โดยอ้างว่าเพื่อดูความเสียหายของวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และปราสาทพระวิหาร โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ซึ่งหากรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่าขอบหน้าผาคือสันปันน้ำตามที่พูดไว้เมื่อวันที่ 7-8 ส.ค.53 ทางกัมพูชาก็ไม่สามารถนำทูตทหารเข้าพื้นที่ที่ระบุไม่ได้ หากประเทศไทยไม่อนุญาต แต่ถ้าปล่อยให้กัมพูชานำทูตทหารเข้าพื้นที่โดยไม่ขออนุญาตประเทศไทย เท่ากับยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชา ซึ่งลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการวางกำลังทหารสังเกตการณ์ของอินโดนีเซียที่จะมาในพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา และจะเป็นการรับรองการรุกล้ำดินแดนไทยของกัมพูชา

“เจตนารมณ์ของภาคประชาชนไม่ต้องการให้ชาติใดเข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะการมาแทรกแซงไม่ให้มีการใช้กำลังทหาร ทั้งที่กัมพูชายึดครองดินแดนไทยอยู่ เพราะทหารไทยมีหน้าที่ในการปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติ ผลักดันทหารและชุมชนกัมพูชาที่มีเจตนายึดครองประเทศไทย และมุ่งหมายให้นานาชาติรับรองพื้นที่เหล่านั้นให้เป็นของกัมพูชาออกไปให้ได้” นายปานเทพกล่าว

โฆษกพันธมิตรฯ ยังได้กล่าวถึงกรณีของนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกคุมขังอยู่ที่กัมพูชาด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศเป็นฝ่ายอธิบายโฆษณาชวนเชื่อมาตลอดว่าทั้ง 2 คนได้ลงนามขออภัยโทษแล้ว แต่นายการุณ ใสงาม แกนเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายวีระและ น.ส.ราตรี ออกมาระบุว่าทั้ง 2 คนยังไม่ได้ลงนามขออภัยโทษ และได้ดำเนินการยื่นขออุทธรณ์กับศาลกัมพูชาไปแล้ว ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศนำหนังสือการลงนามของนายวีระ และ น.ส.ราตรี ว่าขออภัยโทษจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครได้พบนายวีระ และ น.ส.ราตรีเลย โดยเฉพาะการที่นายพนิช วิกิษเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่านายวีระป่วยหนักทั้งที่ไม่ได้เข้าพบ จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากตัวแทนของฝ่ายไทยไม่มีใครได้พบทั้ง 2 คน จึงไม่สามารถทราบได้ว่าได้ถูกกระทำอย่างไรบ้างในเรือนจำกัมพูชา สะท้อนให้เห็นว่าทางกัมพูชาได้ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนที่ไม่ให้มีใครเข้าพบทั้ง 2 คน ซึ่งกรณีอาการป่วยของรายวีระ นั้น ตนได้ทราบจาก ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ซึ่งเคยติดคุกร่วมกับนายวีระว่า นายวีระ มีอาการผื่นคันเป็นปกติอยู่แล้ว การที่นายพนิชมาย้ำว่าป่วยหนักทำให้เราเป็นห่วง โดยเฉพาะการที่รัฐบาลพยายามชี้นำให้ประชาชนเชื่อว่านายวีระป่วยหนักจริง แต่ไม่มีใครได้เข้าพบเลย จึงน่าสงสัยว่าปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นกับนายวีระ และ น.ส.ราตรี เพราะกัมพูชาไม่ต้องให้มีการสื่อสารกับคนภายนอก

“การอ้างว่าทั้ง 2 คนขออภัยโทษโดยไม่มีหลักฐาน เสมือนเป็นการกล้าวเอาเองจากฝ่ายรัฐบาล เราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยหนังสือว่ามีการขออภัยโทษจริงหรือไม่ หากปฏิเสธก็ต้องถือว่ากระทรวงการต่างประเทศโกหกประชาชนไทย” นายปานเทพกล่าว

ส่วนกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่ากรณีของนายวีระและ น.ส.ราตรี อยู่นอกเหนืออำนาจรัฐบาลไทย ขณะที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ พยายามขอร้องให้ภาคประชาชนหยุดการเคลื่อนไหวกดดันนั้น นายปานเทพกล่าวว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามให้ภาคประชาชนหยุดการเคลื่อนไหว โดยที่รัฐบาลจะไม่ช่วยนายวีระ และ น.ส.ราตรี ตามวิถีทางที่ถูกต้อง โดยต้องไม่ลืมว่านายอภิสิทธิ์ เป็นผู้ประกาศเองเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ว่าไม่ยอมให้ 7 คนไทยเข้าสู่กระบวนการศาลของกัมพูชา แต่กลับปล่อยให้มีการดำเนินคดีกับทั้ง 7 คน โดยไม่มีการใช้อำนาจรัฐหรือมาตรการทางเศรษฐกิจเข้ากดดันแต่อย่างใด เท่ากับยอมรับการใช้อำนาจศาลกัมพูชาเหนืออธิปไตยของไทย และยอมรับว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา โดยที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนแล้วเสร็จ รัฐบาลเข้าข่ายการกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญาได้ ที่ไปยอมรับอำนาจอธิปไตยของประเทศอื่นในผืนแผ่นดินไทย

นายปานเทพกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่รัฐบาลยึดคืนพื้นที่ถนน 2 เลนหน้ากระทรวง ศึกษาธิการ สะท้อนให้เห็นว่าวิธีคิดของนายอภิสิทธิ์ยังขาดวุฒิภาวะ เพราะชัดเจนว่าพื้นที่นี้ไม่ได้มีการจราจรอย่างคับคั่งหรือสามารถบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดได้เลย ทั้งยังเห็นได้จากการที่วานนี้ (2 มี.ค.) ที่นายสมบูรณ์ ทองบุราณ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ พร้อมด้วยมวลชนประมาณ 10 คน พยายามไปหานายอภิสิทธิ์ที่บ้านซอยสุขุมวิท 31 แต่นายอภิสิทธิ์กลับปิดการจราจรทั้งซอย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ร้านค้าและโรงแรมที่อยู่ในซอย ซึ่งขณะนี้ทางฝั่งกัมพูชามองว่านายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาเป็นวีรบุรุษ 4.6 ตร.กม. เพราะสามารถยึดครองดินแดนจากไทยได้แล้ว ขณะที่นายอภิสิทธิ์เป็นได้เพียงวีรบุรุษ 2 เลนเท่านั้น

“ถือเป็นความไร้มาตรฐานของนายอภิสิทธิ์ในการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไม่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ที่มายึดพื้นที่จากประชาชนที่มาชุมนุมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวที่เมื่อประชาชนจะไปพบที่บ้าน กลับปิดการจราจรทั้งซอยสวัสดี แต่กลับกันเมื่อพันธมิตรฯอ้างเรื่องความปลอดภัยกลับปฏิเสธ และสั่งการให้มายึดพื้นที่คืน” โฆษกพันธมิตรฯ กล่าว

ด้าน พล.ต.จำลองกล่าวเพิ่มเติมว่า พันธมิตรฯเห็นใจนายวีระและ น.ส.ราตรี โดยมีความพยายามในการช่วยเหลือ แต่เนื่องจากภาคประชาชนไม่ได้มีเครื่องมือหรืออำนาจในเรื่องนี้จึงเป็นการยาก ต่างจากรัฐบาลที่สามารถทำได้แต่ไม่ทำ ส่วนกรณีที่นายพนิชกล่าวเตือนมายังพันธมิตรฯ ว่าอย่ากดดันนายวีระ และ น.ส.ราตรี รวมทั้งครอบครัวของทั้ง 2 คนนั้น ยืนยันว่าเราไม่เคยกดดันหรือก้าวก่ายใดๆ เลย เพราะเรารู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ นายพนิชน่าจะไปเตือนนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลที่ทำผิดพลาดมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาเป็นการเฉพาะกิจ เพื่อติดตามความทุกข์ยากของนายวีระ และ น.ส.ราตรี รวมทั้งกำหนดมาตรการในการช่วยเหลือ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากยังไม่ทราบว่าสามารถทำได้ขนาดไหนในฐานะที่เป็นภาคประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีเหตุการณ์ที่ทำให้การชุมนุมไม่สบายใจหรือมีการเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยพื้นที่การชุมนุมเป็นพิเศษหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า ไม่มี ชุมนุมอย่างสบายใจ โดยคิดว่าครั้งนี้แพ้ไม่ได้ และไม่มีการเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัย เพราะเราไม่ได้ไปต่อยตีกับใคร เรามาชุมนุมอย่างสงบ และรัฐบาลก็สามารถมาสลายการชุมนุมได้ตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่เราก็บอกว่าหากมาผลักดันเรา เมื่อถึงเวลาเราก็กลับมาใหม่ ส่วนกรณีการรื้อสุขาที่อยู่ริมรั้วกระทรวงศึกษาธิการนั้น ตนเห็นว่าหากมารื้อก็จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งประชาชนก็จะเป็นผู้ร้องขอเจ้าหน้าที่ไม่ให้มีการรื้อถอนเอง เราคงไม่ต้องวางกำลังมารักษาห้องสุขา เพราะรู้ว่ารัฐบาลพยายามทำให้เราเดือดร้อน เพื่อให้เรายุติการชุมนุม




กำลังโหลดความคิดเห็น