ASTVผู้จัดการรายวัน-ชาวบ้าน ร้านค้า โวยลั่น น้ำตาลทรายหาย หาซื้อไม่ได้ ราคาแพง ราคาทะลุ 28-30 บาท มึนเป็นแบบนี้มาเป็นปีแล้ว ไม่มีการแก้ไข ปูดพ่อค้าแสบแอบส่งออกขายเพื่อนบ้านฟันกำไรนิ่ม อุตสาหกรรมโต้น้ำตาลทรายเหลือล้น ย้ำหากมีปัญหาพร้อมเพิ่มโควตา ก ที่บริโภคในประเทศได้ภายในมี.ค.นี้ทันที ส่วนราคาแพง ขาดแคลนต้องถามพาณิชย์
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้มีประชาชนได้ร้องเรียนมายังสายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 ตลอดเวลาว่า ไม่สามารถหาซื้อน้ำตาลทรายได้ และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2553 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยประชาชนให้ข้อมูลว่าการซื้อน้ำตาลทรายตามร้านค้ารายย่อย จะขายเกินราคา 23.50 บาท มีราคาเฉลี่ย 28-30 บาทส่วนการซื้อในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกรายใหญ่ แม้จะขายตามราคาควบคุม แต่ก็จำกัดปริมาณการซื้อ และส่วนมากของจะหมด ทำให้ซื้อไม่ได้
ขณะเดียวกัน ยังได้รับการร้องเรียนจากร้านยี่ปั๊ว ซาปั๊วว่า โรงงานไม่ส่งน้ำตาลทรายให้ หรือหากต้องการก็ต้องยอมจ่ายแพงกว่าราคาปกติ โดยต้นทุนเฉลี่ยกก.ละ 24-25 บาท เมื่อขายต่อให้ร้านค้ารายย่อยก็ต้องบวกกำไรเพิ่ม และกว่าจะถึงมือผู้บริโภคราคาก็ไม่ต่ำกว่า 28-30 บาท นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบ เช่น ร้านอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่มก็มีการร้องเรียนเข้ามาเช่นกันว่าหาซื้อน้ำตาลได้ยาก ถ้าอยากได้ก็มีขาย แต่ต้องจ่ายแพงกว่าปกติ ก็ต้องยอมซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่มีมาใช้
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าผลผลิตน้ำตาลทรายในประเทศมีเพียงพอ แต่ที่มีปัญหาขาดแคลน เพราะมีการลักลอบส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาสูงกว่า ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรม ได้หันมาแย่งซื้อน้ำตาลภายในประเทศไปใช้ เพราะต้นทุนถูกกว่าน้ำตาลทราย โควตา ค. ที่ใช้ส่งออก
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ (ฝ่ายการเมือง) กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้ขอความร่วมมือไปยังกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้ช่วยดูแลปัญหาการขาดน้ำตาลทราย และมีราคาแพง เพื่อให้เร่งผลิต และกระจายน้ำตาลเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ จะพยายามประสานนำน้ำตาลทรายไปจำหน่ายตามจุดที่ขาดแคลน หรือมีราคาแพงเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวนงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงฯ มีแผนรับมือปัญหาน้ำตาลทรายขาดแคลนอยู่แล้ว โดยหากน้ำตาลทรายโควตา ก. (บริโภคในประเทศ) ที่กำหนดไว้ 25 ล้านกระสอบ ไม่เพียงพอ ก็สามารถปรับเพิ่มได้ในช่วงเดือนมี.ค. แต่จากการตรวจสอบปริมาณน้ำตาลทรายขึ้นงวดวันที่ 28ก.พ. ยังมีค้างกระดานถึง 1.6 ล้านกระสอบถือเป็นปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ
“ถือเป็นความห่วงใยที่กระทรวงพาณิชย์มีให้ แต่เรามีแผนรองรับไว้แล้ว ปกติน้ำตาลมีการขึ้นงวดสัปดาห์ละ 4.8 แสนกระสอบ หากมีการค้างกระดานเฉลี่ย 2 สัปดาห์ก็ถือว่าปกติ อย่างสัปดาห์นี้ขึ้นมาวันจันทร์อีก 4.8 แสนกระสอบ ค้างกระดาน 1.6 ล้านกระสอบ ก็ยังปกติอยู่ แสดงว่าปริมาณมากพอและถ้าค้างกระดานเหลือต่ำไม่ถึง 1 ล้านกระสอบ อันนี้ค่อยมาว่ากัน เราก็เพิ่มโควตาได้”
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำตาลทรายที่ระบุว่าแพงไปอยู่ระดับ 30-35 บาทต่อกก. (กก.) นั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องควบคุม เพราะอุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลการผลิต ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ไปตรวจสอบสถานการณ์น้ำตาลทรายอีกทางหนึ่งแม้จะไม่ใช่ความรับผิดชอบโดยตรงก็ตามโดยให้ติดตามทุกวันและล่าสุดได้รับรายงานว่าในห้างเทสโก โลตัส ก็ส่งให้ปกติตามสัญญาที่ทำไว้
นายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการสอน.กล่าวว่า ปริมาณอ้อยที่จะเข้าหีบฤดูการผลิตปี 2553/54 คาดว่าจะอยู่ประมาณ 75 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 9 ล้านตัน ส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลทรายที่จะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นห่วงในเรื่องปริมาณน้ำตาลที่จะขาดแคลนแต่อย่างใด เพราะส่วนที่เพิ่มมาสามารถนำมาเพิ่มโควตา ก. ได้อีก
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้มีประชาชนได้ร้องเรียนมายังสายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 ตลอดเวลาว่า ไม่สามารถหาซื้อน้ำตาลทรายได้ และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2553 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยประชาชนให้ข้อมูลว่าการซื้อน้ำตาลทรายตามร้านค้ารายย่อย จะขายเกินราคา 23.50 บาท มีราคาเฉลี่ย 28-30 บาทส่วนการซื้อในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกรายใหญ่ แม้จะขายตามราคาควบคุม แต่ก็จำกัดปริมาณการซื้อ และส่วนมากของจะหมด ทำให้ซื้อไม่ได้
ขณะเดียวกัน ยังได้รับการร้องเรียนจากร้านยี่ปั๊ว ซาปั๊วว่า โรงงานไม่ส่งน้ำตาลทรายให้ หรือหากต้องการก็ต้องยอมจ่ายแพงกว่าราคาปกติ โดยต้นทุนเฉลี่ยกก.ละ 24-25 บาท เมื่อขายต่อให้ร้านค้ารายย่อยก็ต้องบวกกำไรเพิ่ม และกว่าจะถึงมือผู้บริโภคราคาก็ไม่ต่ำกว่า 28-30 บาท นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบ เช่น ร้านอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่มก็มีการร้องเรียนเข้ามาเช่นกันว่าหาซื้อน้ำตาลได้ยาก ถ้าอยากได้ก็มีขาย แต่ต้องจ่ายแพงกว่าปกติ ก็ต้องยอมซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่มีมาใช้
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าผลผลิตน้ำตาลทรายในประเทศมีเพียงพอ แต่ที่มีปัญหาขาดแคลน เพราะมีการลักลอบส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาสูงกว่า ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรม ได้หันมาแย่งซื้อน้ำตาลภายในประเทศไปใช้ เพราะต้นทุนถูกกว่าน้ำตาลทราย โควตา ค. ที่ใช้ส่งออก
นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ (ฝ่ายการเมือง) กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้ขอความร่วมมือไปยังกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้ช่วยดูแลปัญหาการขาดน้ำตาลทราย และมีราคาแพง เพื่อให้เร่งผลิต และกระจายน้ำตาลเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ จะพยายามประสานนำน้ำตาลทรายไปจำหน่ายตามจุดที่ขาดแคลน หรือมีราคาแพงเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวนงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงฯ มีแผนรับมือปัญหาน้ำตาลทรายขาดแคลนอยู่แล้ว โดยหากน้ำตาลทรายโควตา ก. (บริโภคในประเทศ) ที่กำหนดไว้ 25 ล้านกระสอบ ไม่เพียงพอ ก็สามารถปรับเพิ่มได้ในช่วงเดือนมี.ค. แต่จากการตรวจสอบปริมาณน้ำตาลทรายขึ้นงวดวันที่ 28ก.พ. ยังมีค้างกระดานถึง 1.6 ล้านกระสอบถือเป็นปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ
“ถือเป็นความห่วงใยที่กระทรวงพาณิชย์มีให้ แต่เรามีแผนรองรับไว้แล้ว ปกติน้ำตาลมีการขึ้นงวดสัปดาห์ละ 4.8 แสนกระสอบ หากมีการค้างกระดานเฉลี่ย 2 สัปดาห์ก็ถือว่าปกติ อย่างสัปดาห์นี้ขึ้นมาวันจันทร์อีก 4.8 แสนกระสอบ ค้างกระดาน 1.6 ล้านกระสอบ ก็ยังปกติอยู่ แสดงว่าปริมาณมากพอและถ้าค้างกระดานเหลือต่ำไม่ถึง 1 ล้านกระสอบ อันนี้ค่อยมาว่ากัน เราก็เพิ่มโควตาได้”
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำตาลทรายที่ระบุว่าแพงไปอยู่ระดับ 30-35 บาทต่อกก. (กก.) นั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องควบคุม เพราะอุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลการผลิต ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ไปตรวจสอบสถานการณ์น้ำตาลทรายอีกทางหนึ่งแม้จะไม่ใช่ความรับผิดชอบโดยตรงก็ตามโดยให้ติดตามทุกวันและล่าสุดได้รับรายงานว่าในห้างเทสโก โลตัส ก็ส่งให้ปกติตามสัญญาที่ทำไว้
นายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการสอน.กล่าวว่า ปริมาณอ้อยที่จะเข้าหีบฤดูการผลิตปี 2553/54 คาดว่าจะอยู่ประมาณ 75 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 9 ล้านตัน ส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลทรายที่จะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นห่วงในเรื่องปริมาณน้ำตาลที่จะขาดแคลนแต่อย่างใด เพราะส่วนที่เพิ่มมาสามารถนำมาเพิ่มโควตา ก. ได้อีก