ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตลอดช่วงเวลา 2 ปี ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ได้เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองโดยคนเสื้อแดงทั้ง 2 ปีซ้อน และเมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 ในปีนี้ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดการเผาเมืองประจำปีอีกเป็นครั้งที่ 3 เมื่อคนเสื้อแดงระดับแกนนำได้รับการประกันตัวออกจากคุกมา 9 คนแล้ว และได้ประกาศว่าจะสู้ต่อ แม้ว่าศาลจะกำหนดเงื่อนไขห้ามเกี่ยวข้องกับการชุมนุมก็ตาม
นี่คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตีโจทย์คำว่าปรองดองไม่แตก โดยหวังเพียงว่า หากทำอะไรให้คนเสื้อแดงถูกใจแล้ว แรงต่อต้านจากคนเสื้อแดงที่มีรัฐบาลก็จะลดน้อยลง
จากบทเรียนเสื้อแดงเผาเมืองครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2552 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ พยายามปรองดองกับเสื้อแดง โดยการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน โดยดึงเอา ส.ส.พรรคเพื่อไทยและตัวแทนเข้าร่วมเป็นกรรมการ
แต่กลุ่มคนเสื้อแดงหาได้ร่วมปรองดองและหยุดป่วนบ้านป่วนเมืองไม่ คนเสื้อแดงยังจัดงานวันเกิดให้ทักษิณ ชินวัตร ราวกับเป็นบุคคลสำคัญระดับสูงของประเทศ ทั้งที่ตัวเขาเป็นนักโทษหนีคดี ซ้ำคนเสื้อแดงยังล่าชื่อประชาชนกว่า 3 ล้านชื่อถวายฎีกา กดดันพระราชอำนาจในการนิรโทษกรรมให้ทักษิณ ชินวัตร
เข้าสู่ปี 2553 คนเสื้อแดงยังคงเคลื่อนไหวป่วนบ้านป่วนเมืองต่อด้วยการขยายผลวาทกรรม “รัฐบาลอำมาตย์” และเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวเป็นมูลค่า 4.6 หมื่นล้านบาทที่ได้มาจากการทุจริตระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณได้ถือโอกาสนำไปบิดเบือนกล่าวหาว่าศาลรับใช้อำมาตย์มากลั่นแกล้งเขา แล้วปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ออกมาชุมนุมใหญ่ โดยมีข้อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาทันทีเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งทักษิณหวังว่า หากมีการเลือกตั้งแล้วพรรคเพื่อไทยของเขาจะได้รับชัยชนะ
การชุมนุมของคนเสื้อแดงระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ปรากฏชัดว่า มีการใช้ความรุนแรงต่อสู้กับรัฐบาล โดยมีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธสงครามเข้าแทรกซึม และออกมาสู้กับทหารที่เข้าไปสลายการชุมนุม จนทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายร่วม 100 คน และเมื่อการชุมนุมถูกสลาย กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้เผาห้างสรรพสินค้า สาขาธนาคาร ศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง สร้างความเสียหายนับหมื่นล้านบาท
หลังเหตุการณ์ แทนที่รัฐบาลจะถือโอกาสทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งประเทศว่าการกระทำของคนเสื้อแดงไม่มีความชอบธรรมทั้งเรื่องเหตุผลที่ยกมาเป็นข้ออ้างในการชุมนุม และวิธีการในการชุมนุมที่มีการใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่นายอภิสิทธิ์กลับรีบประกาศแผนปรองดอง โดยอ้างว่าเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม ไม่ให้คนเสื้อแดงกล่าวหาได้ว่าเป็นรัฐบาลอำมาตย์อีก
รวมทั้งมีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป.ที่มีนายคณิต ณ นคร ขึ้นมาตรวจสอบกรณีการสลายการชุมนุม โดยอ้างว่าเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งที่รัฐบาลมีความชอบธรรมที่จะปราบปรามการชุมนุมเนื่องจากฝ่ายคนเสื้อแดงมีการใช้อาวุธร้ายแรงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และมี พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินคุ้มครองการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว
ผลการทำงานของ คอป.ที่ออกมา เป็นไปตามแนวทางที่นายอภิสิทธิ์วางไว้ คือพยายามเอาใจคนเสื้อแดง โดยการเสนอให้รัฐบาลช่วยประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงและแนวร่วมที่ถูกจับกุมจากเหตุการณ์ชุมนุม ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็รับลูกด้วยการนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในการใช้เงินกองทุนยุติธรรม ของกระทรวงยุติธรรมไปจ่ายเป็นค่าประกันตัวคนเสื้อแดง
นายอภิสิทธิ์ถึงกับเดินทางไปพบนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยาของนายเหวง โตจิราการ 1 ในแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุม เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือให้นายเหวงและแกนนำคนอื่นๆ ได้รับการประกันตัว
แม้การยื่นขอประกันตัวครั้งแรก ศาลไม่อนุญาต แต่การยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวใหม่ สร้างความงุนงงให้กับประชาชนทั่วไปตลอดจนแม่ยกพ่อยกของนายอภิสิทธิ์ด้วย เมื่อคนของรัฐบาลเองไปเบิกความให้การต่อศาล เพื่อช่วยให้แกนนำคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว เมื่อวันที่ 21 ก.พ.
ประกอบด้วย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ที่เบิกความว่า ได้รับความร่วมมือจากผู้ต้องหาดีพอสมควร ในการขอความร่วมมือเรื่องพื้นผิวการจราจร รวมทั้งการขอเข้าตรวจค้นอาวุธและสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งการตรวจค้นที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช.ไม่พบอาวุธแต่อย่างใด
ส่วน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ เบิกความว่า ได้พูดคุยกับจำเลยในคดีก่อการร้าย ทั้ง 7 คนที่ถูกคุมขังอยู่ ก็รับปากว่า หากได้รับการประกันตัวออกมา จะไม่ก่อความวุ่นวาย และจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการปรองดอง
ขณะที่นายคณิต ณ นคร เบิกความว่า จากการศึกษาของ คอป.ได้ข้อสรุปและเสนอต่อรัฐบาลให้ยกเลิกการตีโซ่ตรวนผู้ต้องหา และการเอาตัวไว้โดยรัฐ ซึ่ง ทั้งหมดเป็นความเห็นทางวิชาการ ของ คปอ.เพื่อปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบให้ดีขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ไม่ได้เจาะจงเฉพาะจำเลยในคดีใดคดีหนึ่ง
นั่นคือส่วนหนึ่งของคำให้การคนของรัฐ ซึ่งนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความแกนนำ นปช.ยอมรับว่า พยานทุกปากที่เบิกความต่อศาลนั้น ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นผลดี ต่อแกนนำ นปช.
ในที่สุดศาลได้อนุญาตให้ 7 แกนนำคนเสื้อแดงพร้อม 1 แนวร่วมได้รับการประกันตัวด้วยวงเงินคนละ 6 แสนบาท ในวันที่ 22 ก.พ. โดยมีเงื่อนไขห้ามกระทำการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายอีก รวมทั้งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และต่อมาวันที่ 24 ก.พ.ก็มีการให้ประกันตัวเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 9 คน
ทันทีที่ได้รับการปล่อยตัว แกนนำ นปช.ทั้ง 7 ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อหน้าคนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับหน้าเรือนจำทันที โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศว่า งานเร่งด่วนของพวกเขาคือจะเร่งให้มีการประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมด้วยเหตุชุมนุมให้ครบทุกคนโดยเร็ว พร้อมกับลั่นวาจาว่า จะอุทิศชีวิตต่อสู้เพื่อ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” แม้ว่าจะต้องสูญเสียอิสระภาพอีกก็ยอม
คำว่า “ประชาธิปไตยที่แท้จริง”ที่แกนนำเสื้อแดงกล่าวอ้างนั้นมีรูปธรรมคือการให้ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับเข้ามาในประเทศโดยไม่มีความผิดนั่นเอง โดนอ้างว่านั่นเป็นผลพลอยได้จากการที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มี เพราะการเมืองยังถูกครอบงำโดย “อำมาตย์”
ดังนั้น ตราบใดที่ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ได้กลับสู่อำนาจ คนเสื้อแดงจะยังคงเคลื่อนไหวสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลต่อไป เริ่มจากวันที่ 12 มีนาคมนี้ ซึ่งน่าจะมีความเข้มข้นในการชุมนุมมากขึ้น เมื่อแกนนำได้รับการประกันตัวออกมา
หนทางยับยั้งคือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่า ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงไร้ซึ่งความชอบธรรมและปราศจากเหตุผลใดๆ ที่จะออกมาเคลื่อนไหวอีก และการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองที่ผ่านมา 2 ครั้งนั้น เป็นความผิดร้ายแรงที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ต้องกล้าที่จะปกป้องการกระทำของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ ไม่ใช่ทำตัวเป็นคนหน้าบาง กลัวถูกด่าประณามว่าเป็นนายกฯ มือเปื้อนเลือด จึงพยายามปรองดองกับคนเสื้อแดง ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 2 ครั้ง พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าใช่ไม่ได้ผล ตรงกันข้ามกลับทำให้เกิดการนองเลือดหนักขึ้นกว่าเดิม