xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ทหารอิเหนาเข้าไทย “มาร์คแขมร์” รัก MOU มากกว่าดินแดนไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC มีมติให้ไทย-กัมพูชากลับไปหาทางเจรจาเพื่อลงนามหยุดยิงถาวร และให้แก้ปัญหาแบบทวิภาคี โดยให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหา ได้นำมาซึ่งเหตุการณ์สำคัญยิ่งคือการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (อย่างไม่เป็นทางการ) ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เนื่องจากผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน มีมติสนับสนุนให้ทั้งไทยและกัมพูชามีการประชุมในระดับ “ทวิภาคี” เพื่อคลี่คลายปัญหา โดยไทย-กัมพูชาให้คำมั่นว่าจะไม่มีการปะทะกันอีก รวมทั้งเปิดทางให้อินโดนีเซียนำกำลังทหารเข้ามาประจำการในพื้นที่ชายแดนรอบปราสาทพระวิหารทั้งทางฝั่งไทยและกัมพูชา

ความสำคัญของมติดังกล่าวอยู่ตรงที่ไทยยอมให้ทหารอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์หยุดยิงบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งนั่นหมายความว่า นับจากวันที่ทหารจากแดนอิเหนาเข้าประจำการในพื้นที่ ประเทศไทยจะไม่สามารถขับไล่ผู้รุกรานให้ออกไปจากอธิปไตยของไทยได้ในทันที ทั้งที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ทั้งที่ภูมะเขือ และดินแดนของรัฐไทยในอาณาเขต 4.6 ตารางกิโลเมตร
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะแม้นายมาร์ตี นาตาเลกาวา รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน จะยืนยันว่า ทหารที่ส่งเข้าไปจะเป็นเพียงทีมสังเกตการณ์เท่านั้น ไม่ใช่ทีมปฏิบัติการเพื่อสันติ และจะไม่มีการติดอาวุธใดๆ และเป็นชาวอินโดนีเซียทั้งสิ้น แต่เมื่อพิจารณาบริบทโดยรวมจะเห็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาได้จบสิ้นลงแล้ว เพราะนายมาร์ตีชี้ชัดเจนว่า "อินโดนีเซียสนับสนุนกระบวนการทวิภาคี แต่ต้องมีช่องว่างให้อาเซียนเข้าไปเจรจา และการเจรจาครั้งต่อไป จะมีอินโดนีเซียเข้าร่วมด้วย" ซึ่งนั่นคือความสำเร็จของนายฮุนเซนที่แม้จะไม่สามารถนำปัญหาเข้าสู่เวทีที่ใหญ่กว่านี้ แต่ชัยชนะเหนือเวทีอาเซียนก็ถือว่า เป็นความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว
ขณะเดียวกันแม้กองกำลังของอินโดนีเซียที่เข้ามาจะไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธ จะไม่ใช่กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ แต่ก็เป็นกองกำลังที่ทำให้ไทยเสียดินแดนที่ถูกกัมพูชายึดไปในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรโดยสมบูรณ์แบบ เพราะต้องไม่ลืมว่า ขณะนี้ทหารกัมพูชาที่ติดอาวุธก็ยังอยู่ในดินแดนของไทยโดยที่มิได้มีการผลักดันออกไป และเป็นสักขีพยานในการรุกล้ำยึดแผ่นดินไทยเอาไว้อย่างถาวร

นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์มีเป้าประสงค์เพียงประการเดียวคือ ต้องการให้มีการหยุดยิง ต้องการให้มีความสงบเพื่อประโยชน์ทางด้านการค้า โดยที่มิได้สนใจดินแดนของชาติที่จะต้องสูญเสียไป ดังเช่นที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายไทย ได้กล่าวภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นว่า ไทยและกัมพูชาให้คำมั่นสัญญาต่อกันและต่ออาเซียนว่า จะไม่ให้มีการปะทะกันอีกโดยไม่มีการลงนามข้อตกลงในเรื่องนี้ และทั้งสองประเทศตกลงให้มีเจ้าหน้าที่ทหารจากอินโดนีเซียมาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารทั้งในฝั่งไทยและกัมพูชาฝั่งละ 15 คน
 
ดังเช่นที่นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ประเทศกัมพูชาและไทยได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันว่าจะหลีกเลี่ยงการปะทะกันทางการทหารในอนาคต โดยประเทศอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียน จะทำการจัดส่งผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้าไปในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะกันของทั้งประเทศกัมพูชาและไทย

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมาคุยโวทันทีว่า ผลการประชุมอาเซียนสนับสนุนให้มีการดำเนินการโดยใช้กลไกทวิภาคีทั้งหลายที่เราเสนอไป ทั้งเจบีซี จีบีซี และอาร์บีซี ส่วนกรณีที่ทางการไทยขอให้อาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามานั้น ไม่ถือว่าเป็นการเปิดให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง แต่เป็นเรื่องดี เพราะเราไม่ได้เปิดการยิงก่อน เมื่อมีคนมาอยู่ในพื้นที่จะได้รับรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร เป็นอย่างไร

แถมยังแก้ตัวอีกต่างหากว่าไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนถาวร

“ที่กล่าวหาว่าเสียดินแดนไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ร่างแถลงการณ์ของอาเซียนคงไม่มาพูดถึงดินแดนไทย ส่วนเรื่องที่บอกว่าเป็นทวิภาคีใช่หรือไม่นั้น ต้องไปอ่านตัวแถลงการณ์เพราะถ้อยคำได้ปรากฏชัดเจนพูดถึงกลไกของทวิภาคี เพียงแต่อาเซียนและประธานอาเซียนจะมาช่วยมีบทบาทสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นเพราะถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่ได้รับมาจากสหประชาชาติที่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใย”

ดูจากคำพูด ความคิด และท่าทีของผู้แทนรัฐบาลไทยรวมถึงนายอภิสิทธิ์ที่สะท้อนออกมาทั้งหมดนั้น ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า พวกเขาแกล้งไม่รู้ หรือว่าพวกเขาไร้เดียงสาจนโง่ จึงไม่รู้จริงๆ ว่าผลการประชุมที่ออกมานั้นไทย “เสียเปรียบ” อย่างชัดเจน เพราะดูจากแถลงการณ์ของที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ออกมา (อย่างที่นายอภิสิทธิ์ท้าให้ไปอ่านนั่นแหละ) ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงหยุดยิงถาวรที่ไม่กล่าวถึงการรุกล้ำดินแดนไทยของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ไม่รู้จริงๆ หรือว่า หากมีการหยุดยิงจริง ก็จะไม่สามารถทวงคืนดินแดนไทยได้จนกว่าจะมีความพอใจจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากกัมพูชาไม่พอใจ ก็จะสามารถยึดครองแผ่นดินไทยไปได้เรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียดินแดนถาวร

นอกจากนี้ การที่ที่ประชุมอาเซียนบอกว่าจะส่งผู้แทนจากอินโดนีเซียเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่พิพาท ทำให้มีประเทศที่ 3 เข้ามายืนยันว่าไม่มีการปะทะกันอีก โดยไม่พูดถึงดินแดนไทยที่ถูกกัมพูชารุกล้ำ นายอภิสิทธิ์ไม่รู้จริงๆ หรือว่านั่นก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ไทยได้สละหลักการในการผลักดันกัมพูชาออกจากดินแดนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การที่กัมพูชากำลังจ้างทนายเพื่อขึ้นต่อศาลโลกอีกครั้ง ซึ่งประเทศไทยได้เคยประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2505 กรณีปราสาทพระวิหาร แต่เมื่อมี MOU 43 จึงทำให้กัมพูชาหาหนทางให้ศาลโลกตีความขยายผล เพื่อให้เป็นคุณต่อกัมพูชาจาก MOU 43 และยิ่งมีคนกลางอย่างอินโดนีเซียเข้ามา นายอภิสิทธิ์ไม่รู้จริงๆ หรือว่านั่นก็ยิ่งทำให้ไทยตกอยู่ในสภาพ “เสียเปรียบ” มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีอาเซียนเป็น “สักขีพยาน” นอกจากนี้กัมพูชาก็จะขยายผลยึดครองพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารในเวทีมรดกโลกอีกด้วย หลังจากที่พื้นที่เขาพระวิหารพ้นจากสภาพมรดกโลกอันตราย มาเป็นพื้นที่สันติภาพถาวร

ดังนั้น จึงเป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า MOU 43 ที่นายอภิสิทธิ์กกกอดและพล่ามบอกถึงคุณอันวิเศษของมันตลอดมานั้น นอกจากไม่ได้เป็นเครื่องมือเพื่อสันติภาพแล้ว มันยังทำให้เกิดการปะทะ เพราะ MOU 43 ทำให้กัมพูชามีแรงจูงใจในการที่จะไปเวทีนานาชาติ

และการที่รัฐบาลพยายามบอกว่า MOU 43 ไม่ได้ทำให้เกิดการปะทะ แต่ทำไมวันนี้กลับมีประเทศที่ 3 เข้ามาสังเกตการณ์และทำรายงานส่งอาเซียนหากมีการ “ปะทะ” เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ผ่านมาไม่เคยมีประเทศใดสามารถเข้ามาแทรกแซง “กิจการภายใน” ได้เลย เต็มที่ได้แค่เพียงการเป็นผู้รับฟัง โดยไม่มีสิทธิ์พูดหรือออกความเห็นใดๆ

นายอภิสิทธิ์ไม่รู้จริงๆ หรือว่า ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะรัฐบาลไม่ยืนยันในการเสียเขตแดนของตัวเอง รวมทั้งไม่ยืนยันว่ากัมพูชารุกรานดินแดนและละเมิด MOU 43 ทำให้ไทยไม่สามารถอ้างกฎบัตรสหประชาชาติหรืออาเซียน ที่ห้ามไม่ให้อาเซียนหรือแม้แต่สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศได้ และท้ายที่สุดนานาชาติก็กำลังเดินหน้าในการให้ไทยต้องเสียดินแดนถาวร ซึ่งเป็นความผิดพลาดจากการถลำลึกไปใน MOU 43 ของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ !

นายอภิสิทธิ์ไม่รู้จริงๆ หรือ !?

เหมือนอย่างที่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า ปัญหาสำคัญไม่ได้เกิดจากอาเซียน แต่เกิดจากท่าทีของรัฐบาลไทยที่ไม่ยืนหยัดในเส้นเขตแดนของตัวเอง ทั้งในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และในเวทีอาเซียน ซึ่งมาจากการที่ไม่สามารถโต้แย้งความยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ตาม MOU 43 ไม่ได้ จึงยอมจำนนและใช้วิธีถ่วงเวลาแทน หรือการสมยอมกับกัมพูชา โดยไม่กล่าวถึงเรื่องเขตแดน ซึ่งไม่ทราบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่

“ในส่วนแนวทางการแก้ไขนั้น เชื่อว่ารัฐบาลนี้ถลำลึกไปในปัญหาจนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว และจะยิ่งร้ายแรงมากขึ้น เพราะสุดท้ายกัมพูชาจะใช้เวทีศาลโลกเพื่อให้ไทยยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 เพียงอย่างเดียว โดยมีอาเซียนเป็นสักขีพยาน รวมทั้งการเดินหน้าในเวทีมรดกโลก” นายปานเทพ กล่าว

เช่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ให้ความเห็นว่า การที่เราไม่เห็นด้วยในการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงจนทำให้เราต้องเสียดินแดนอย่างถาวร ซึ่งตรงกันข้ามกับความต้องการของทางกัมพูชาที่ไม่ต้องการให้มีการลงนามหยุดยิง เพราะอาเซียนให้อินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์แล้ว แต่รัฐบาลไทยกลับตามเกมกัมพูชาไม่ทัน ปล่อยให้มีประเทศที่ 3 เข้ามาแทรกแซง

“ที่ผ่านมาเราพยายามเตือนรัฐบาลแล้ว แต่กลับไปพยายามไปลงนามหยุดยิงโดยที่ไม่มีการพูดถึงการผลักดันให้กัมพูชาออกจากดินแดนไทย แต่เมื่อภาคประชาชนพยายามพูดถึงผลเสียบ่อยเข้า รัฐบาลก็กลับลำทันทีบอกว่าไม่ได้ไปลงนาม”

พล.ต.จำลองบอกว่า เมื่อรัฐบาลไม่พยายามยืนยันในเรื่องของเส้นเขตแดน จะทำให้ไทยไม่เพียงแต่เสียดินแดน 4.6 ตร.กม. หรือ 2.8 พันไร่รอบปราสาทพระวิหารไปเท่านั้น แต่ยังจะเสียพื้นที่ตลอดแนวชายแดนที่ติดกับกัมพูชาไปอีกถึง 1.8 ล้านไร่ รวมทั้งพื้นที่ในทะเลที่มีทรัพยากรมหาศาล ถือเป็นเรื่องใหญ่มากของประเทศ

นี่จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่รัฐบาลไทยในยุคพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ “จงใจ” ทำให้เกิดการสูญเสียอธิปไตยตามแนวชายแดนให้กับกัมพูชาเพิ่มอีกนับล้านไร่ เหตุผลเพียงแค่ต้องการเอาชนะภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่ถูกต้องจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจในเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543 หรือ MOU 43 เท่านั้น ใช่หรือไม่

นายอภิสิทธิ์เพียงแค่ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผลจากการลงนามใน MOU 43 ดังกล่าวทำให้ฝ่ายกัมพูชากลับมาเจรจา “ทวิภาคี” อีกครั้งตามที่ตัวเองได้อ้างเอาไว้ หรือทำให้ฝ่ายกัมพูชากลับเข้ามาสู่โต๊ะเจรจา โดยไม่สนใจในเรื่องความเสียเปรียบของไทยที่ต้องถูกกำหนดให้ยอมรับแผนที่ในอัตราส่วน 1 : 200,000 ใช่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ฝ่ายไทยเสียเปรียบกัมพูชา และเดินตามเกมของฝ่ายรัฐบาลกัมพูชามาโดยตลอด ซึ่งหากถามว่ารัฐบาล โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รู้ถึงความเสียเปรียบดังกล่าวหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าน่าจะรู้ดี แต่ทำไมถึงดึงดันยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา !?

หรืออาจเป็นเพราะว่าต้องการปกปิดความผิดพลาดในอดีต ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำเอาไว้ ทำให้ต้องถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งยังเป็นการ “ปกป้อง” คำพูดของตัวเองที่เคยยืนยันถึงผลดีของ MOU 43 ที่ให้ทั้งสองฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจาพร้อมๆ กับการ “หลิ่วตา” ให้การเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทยได้ดำเนินการต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ติดขัด ใช่หรือไม่ !?

ส่วนประเทศชาติจะเสียดินแดนอย่างไร ช่างมัน!
กำลังโหลดความคิดเห็น