ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สถานการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่บริเวณชายแดนติดเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ห้วงเวลานี้แล้วว่าหนักหน่วงเพียงใด เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุในวันที่ 4 ก.พ. การทำสงครามของทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นโดยตลอดแทบจะทุกวันเลยก็ว่าได้
ที่สำคัญคือ เป็นสงครามที่ทำให้ทหารไทยและประชาชนชาวไทยต้องพบกับการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยส่งผลทำให้มีผู้บาดเจ็บสะสม 34 คน เป็นทหาร 30 คน พลเรือน 4 คน ทั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 3 คน เป็นทหาร 2 คน พลเรือน 1 คน ขณะที่ในส่วนของความเสียหายทางทรัพย์สินพบบ้านเรือนเสียหายรวม 35 หลัง อาคารเรียนโรงเรียนภูมิซรอล เสียหาย 2หลัง สวนยางพาราเสียหาย 50 ไร่ และการอพยพราษฎรในจังหวัดต่างๆ มียอดรวมกว่า 31,025 คน
แต่ใครเลยจะคิดว่าตลอดช่วงเวลาของการปะทะกันอย่างหนักหน่วงที่ได้สร้างความเสียหายถึงขั้นสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก กลับไม่เห็นแม้แต่ "เงา" ของคนระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลงไปตรวจเยี่ยมพื้นที่เพื่อสร้างขวัญและให้กำลังใจชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่วันเดียว
และข้ออ้างทั้งหลายทั้งปวงของนายอภิสิทธิ์คงไม่สามารถแก้ตัวให้ประชาชนผู้ซึ่งคาดหวังจะได้รับกำลังใจจากผู้นำประเทศมีความเข้าใจได้
คำถามคือ นายกรัฐมนตรีของไทยที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่.....
ขณะที่เกิดสงครามอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หากนายกรัฐมนตรีหน้าหล่อจะผลักภาระให้กับกองทัพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ทว่าหลังเสียงระเบิดเริ่มสงบลงแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็ยังมิได้สะดุ้งสะเทือนต่อผลกระทบที่เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อประชาชนในพื้นที่ และดูเหมือนว่าพฤติกรรมของตัวเขาเองจะตอกย้ำฉายา “นายกฯเกาะโพเดียม” ของนายอภิสิทธิ์ว่าไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่นอน เพราะตั้งแต่เกิดสงครามรบพุ่งในวันแรก จนถึงช่วงหลายวันต่อมา สิ่งที่คนระดับนายกรัฐมนตรี อย่างนายอภิสิทธิ์ทำได้ดีที่สุดก็คือขึ้นโพเดียม โชว์วาทกรรมสวยหรูตามสไตล์ ที่รร.โซฟิเทลเซ็นทารา แกรนด์ เพื่อกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "เลือกตั้งใหม่...ความหวังประเทศไทย" โดยให้สัมภาษณ์กล่าวเพียงสั้นๆว่า "กองทัพจะแถลงข้อมูลทั้งหมด ในเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้รายงานให้ทราบว่าคนของเราบาดเจ็บเล็กน้อย 4 นาย โดยล่าสุดได้หยุดยิงแล้ว"
นั่นเป็นคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่ดูเหมือนจะไม่ยี่หระต่อเหตุปะทะรุนแรงที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
ตามมาด้วย ไปกล่าวเปิดงานสัมมนา ASEAN - CLSA Forum แก่บริษัทชั้นนำทางด้านการเงินการลงทุนจากทั่วโลกกว่า 40 บริษัท และเปิดโอกาสให้ตัวแทนจาก 13 บริษัทชั้นนำเข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ซึ่งประเด็นสำคัญของการขึ้นโพเดียมครั้งนี้คือ การออกมาตอกย้ำอีกครั้งในเรื่องการยุบสภา
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดที่นายอภิสิทธิ์จะขึ้นไปกล่าวคำสวยหรูให้ใครต่อใครเคลิบเคลิ้มบนเวทีต่างๆ ที่ถือเป็นอาชีพถนัดของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งประชาชนทั่วไปก็คงชินตากับการแก้ปัญหาด้วยฝีปากของนายกรัฐมนตรีรูปหล่อผู้นี้
แต่ที่ต้องตำหนิอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็คือ เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการรบพุ่งระหว่าง 2ประเทศ อีกทั้งสถานการณ์ยังคงไม่ได้กลับมาสู่ความปกติ แทนที่จะเห็นนายอภิสิทธิ์ลงไปเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ แต่ดีที่สุดของผู้นำประเทศคนนี้มอบให้ประชาชนในพื้นที่ก็คือ เสนอใบหน้าหล่อๆ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนส่วนราชการ และประชาชน พื้นที่ จ.ศรีสะเกษและสุรินทร์ ในการติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
คงต้องหยิบคำพูดของ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย มาฉายภาพให้เห็นถึงภาวะลอยตัวของนายอภิสิทธิ์อีกครั้ง ที่ระบุว่า “น่าเสียใจอย่างยิ่งในการทำงานของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถือเป็นผู้นำรัฐบาลที่ขาดน้ำใจในการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนผู้อพยพกว่า 3 หมื่นคน สะท้อนการบริการราชการแผ่นดินของนายอภิสิทธิ์ ที่เลือกปฏิบัติ โดยไม่ยอมลงพื้นที่ดูปัญหา แต่กลับมีเวลาเปิดทำเนียบรับกีตาร์จากวงสกอร์เปี้ยนส์ และมีเวลาไปงานวันคล้ายวันเกิดนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผู้มีบารมีนอกพรรคร่วมรัฐบาล”
ขณะเดียวกัน ยังมีอีกเหตุการณ์ที่น่าสลดใจยิ่งกว่าในฐานะผู้นำประเทศ ซึ่งหากประเทศไหนได้รับทราบก็คงต้องหัวเราะจนฟันร่วงอย่างแน่นอน เพราะเมื่อช่วงเช้า วันที่ 12 ก.พ. ปรากฏภาพพิธีส่งขบวนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะตามแนวชายแดนกลับถิ่นฐานบ้านช่องของตัวเอง โดยมีนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัด ศรีสะเกษ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางไปสถานที่ดังกล่าว แต่ที่ตลกร้ายจนขำไม่ออกก็คือกลับ มีนางสาวไทยประจำปี 2553 อย่างกฤชภร หอมบุญญาศักดิ์ และรองนางสาวไทยอันดับ 1 วรรัตน์ นิยมเดช ไปร่วมส่งชาวบ้านกลับภูมิลำเนา เพื่อกลับไปรอบ้านหลังใหม่ที่ยังต้องสร้างให้เสร็จหลังจากถูกระเบิดจากทหารกัมพูชาถล่ม
ร่องรอยของความสนใจในการลงพื้นที่ชายแดนของนายอภิสิทธิ์มีให้ประชาชนคนไทยเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นจากการออกมาให้สัมภาษณ์ของ “นายปณิธาน วัฒนายากร” ในวันที่ 9 ก.พ.โดยระบุว่า “นายกฯ แสดงความจำนงที่จะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ แต่รอช่วงเวลาที่เหมาะสมอยู่”
และหากจะถามว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไปโผล่อยู่ที่ไหน คำตอบก็คือคงกำลังอมยิ้มในความสำเร็จชิ้นโบว์แดงของคณาพรรคประชาธิปัตย์ที่สามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 93-98 ในการเลือกตั้ง สูตร 375+125 ที่มีวาระค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร จนที่สุดแล้วผ่านวาระที่สามสมใจอยากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของพรรคตัวเองให้มากที่สุด เพื่อเป็นหลักประกันอำนาจ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งขึ้นอีกในไม่ช้าจากนี้เท่านั้น
ขณะที่การแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะไม่สามารถยับยั้งความเหิมเกริมของรัฐบาลนายฮุนเซนได้เลยแม้แต่น้อย ดังจะเห็นได้จากการที่ทหารกัมพูชายังคงยั่วยุและใช้อาวุธสงครามถล่มทหารไทย รวมทั้งทำลายขวัญอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งที่หนักหนาสาหัสมีอยู่ 2 ครั้งคือในวันที่ 14 ก.พ. บริเวณภูมะเขือ ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 15 ก.พ. ซึ่งมีเสียงระเบิดดังขึ้นประมาณ 30-40 ครั้ง บริเวณช่องแปดหลัก ใกล้กับบ้านหนองอุดม ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ติดกับภูมะเขือ ทางทิศตะวันตกเขาพระวิหาร
และก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นหลายอีกระลอก ดูเหมือนจะไม่ได้กระตุ้นเตือนสติระดับผู้นำประเทศสังกัดพรรคประชาธิปัตย์เลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าระเบิดจะดังขึ้นอีกกี่ลูกก็ยังมิได้ปรากฏภาพนายอภิสิทธิ์ ลงไปตรวจพื้นที่อยู่วันยังค่ำ
วันที่ 16 ก.พ.นายอภิสิทธิ์ก็ยังคงยืนโชว์วาทกรรมกลางสภาในคิวของรายการโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณกลางปี 2554 ที่ได้เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนรัฐบาลแล้ว
....ทั้งหมดทั้งปวง พฤติกรรมต่างๆของนายกฯ หน้าหล่อระหว่างเกิดเหตุการณ์ปะทะอันดุเดือดที่บริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา มาจนถึง ณ เวลานี้ ก็ได้ฉายสภาวะผู้นำประเทศที่อ่อนด้อยของเขาอย่างชัดเจน หมดเปลือก ชนิดที่ไม่ต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติมให้มากความ ซึ่งเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นได้เพียงแค่ผู้นำประเทศที่ถนัดแต่วาดลวดลายโวหารไปเพียงวันๆ หนึ่งเท่านั้นเอง