xs
xsm
sm
md
lg

DSIขู่ฟันไอ้โม่งงาบปาล์ม แฉ2เดือนฟาดแล้วพันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - แผนฟอกตัวเองกรณีกักตุนน้ำมันปาล์มทำเนียน “ดีเอสไอ” ถกกรมการค้าภายใน ลั่นหาต้นตอทำวิกฤต ไม่สนว่ารายเล็กรายใหญ่ หรือใครหนุนหลัง ขู่โทษคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน พร้อมขยายผลสอบหาไอ้โม่งปั่นราคา "สุเทพ" ท้าเปิดชื่อย่อ "ส." จอมงาบ พาณิชย์ดักคออย่าแค่ส่งคนมาล้วงตับ-กลบขี้ "เพื่อไทย"แฉมีนักการเมืองเอี่ยว 2 เดือนฟาดไปพันล้าน
 
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับกรมการค้าภายใน วานนี้ (18 ก.พ.) ว่า ที่ประชุมได้กำหนดทำงานร่วมกันในการตรวจสอบกรณีน้ำมันปาล์มขาดตลาดและมีราคาสูงขึ้น จนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยจะใช้กฎหมายพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ รวมถึงอำนาจหน้าที่ที่ดีเอสไอมีอยู่แล้วตามกฎหมาย โดยมาตราที่จะใช้ในการดำเนินการ ได้แก่ มาตรา 29 ว่าด้วยห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการขายสินค้าเกินราคา และมาตรา 30 ห้ามการกักตุน ประวิง หรือปฎิเสธการจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามคำสั่งจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และประธานคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ ที่ได้มีคำสั่งให้ดีเอสไอเข้ามาทำการสอบสวนปัญหาน้ำมันปาล์มอย่างเร่งด่วน

พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า แนวทางการทำงานจะให้เจ้าหน้าที่ของกรมการค้าภายในและทีมงานจากดีเอสไอ จำนวน 20 คน ร่วมกันทำงาน โดยการเข้าไปตรวจสอบข้อมูลทั้งที่มีอยู่และข้อมูลในเชิงลึกจากโรงงานผู้ผลิตน้ำมันปาล์มที่ลงทะเบียนไว้กับกรมการค้าภายใน รวมถึงผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่

ส่วนโรงงาน 4 แห่ง ที่ได้รับจัดสรรโควตาน้ำมันปาล์มที่นำเข้ามาล๊อกแรก 3 หมื่นตัน แต่ยังไม่มีการนำออกสู่ตลาดนั้น จากรายงานข้อมูลเบื้องต้น ไม่พบเบาะแสการกักตุนสินค้า ทุกรายพร้อมให้ความร่วมมือ โดยชี้แจงว่าการไม่นำสินค้าออกสู่ตลาดเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกัน อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่อาจต้องเข้าไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น โดยกำหนดลงพื้นที่ตรวจสอบวันนี้ (19 ก.พ.) ซึ่งต้องขึ้นกับความพร้อมของเจ้าหน้าที่ของกรมการค้าภายในด้วย

“จะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด ดีเอสไอใจร้อน อยากให้ปัญหาได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน ซึ่งกลุ่มบุคคลใดที่มีพฤติกรรมกักตุนสินค้าอยู่ ก็ขอให้เลิก ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ เพราะเราทำงานแบบตรงไปตรงมา ถ้าพบผู้กระทำผิดไม่ว่าใคร หรือเป็นผู้มีอิทธิพลก็จะดำเนินการทันที ซึ่งความคืบหน้าจะรายงานให้รองสุเทพฯรับทราบและได้แจ้งทางวาจาให้รมว.พาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) รับทราบด้วย ซึ่งได้รับกระทรวงพาณิชย์แจ้งกลับว่ายินดีให้ความร่วมมือ”พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าว
 
พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า กรณีที่มีการระบุว่ามีผู้ค้าหรือเทรดเดอร์ เข้าไปกว้านซื้อน้ำมันปาล์มในต่างประเทศเพื่อปั่นราคาให้สูงขึ้นก่อนส่งขายให้รัฐบาลไทยปริมาณ 1.2 แสนตัน ตามที่คณะกรรมการฯ อนุมัติให้นำเข้านั้น หากพบเป็นการกระทำของคนไทย หรือเป็นการนำเข้ามาในประเทศและรอขาย ตามขอบข่ายอำนาจของดีเอสไอสามารถดำเนินการสืบสวนและเอาผิดได้

ทั้งนี้ หากดีเอสไอพบข้อมูลในเชิงลึกว่าเข้าข่ายความผิด ก็พร้อมกำหนดให้เป็นดคีพิเศษที่กฎหมายให้อำนาจตรวจสอบได้เพิ่มเติมมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาให้หมดสิ้นไป โดยกรอบการเป็นคดีพิเศษ เช่น กรณีที่เป็นผลกระทบต่อการค้าของประเทศ เป็นต้น นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ ฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีให้ดีเอสไอมาช่วยตรวจสอบปัญหาน้ำมันปาล์มว่า ขอขอบคุณที่นายสุเทพ เล็งเห็นถึงความสำคัญ และเข้ามาช่วยดูแลแก้ปัญหาปาล์ม แต่การตรวจสอบนี้ขอให้ดีเอสไอตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา หากตรวจสอบพบว่าผิดขอให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด อย่าไว้หน้าใคร แม้จะเกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่ในพรรคใหญ่ก็ตาม และหวังว่าการตรวจสอบนี้ไม่ใช่เป็นการล้วงตับนำข้อมูลที่ได้ไปบอกผู้มีอำนาจหรือตัวการใหญ่ที่ทำให้ตลาดน้ำมันปาล์มปั่นป่วนไหวตัว หรือหลบหลีกปัญหาได้ทัน

ส่วนกรณีการพบโรงกลั่นบางรายไม่น้ำมันปาล์มออกขายทั้งที่ได้รับจัดสรรโควตาจากการนำเข้าล๊อตแรก 3 หมื่นตันนั้น องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้ทำหน้าที่ในการนำเข้าแล้วมากระจายให้กับบริษัทผู้ผลิต ส่วนสินค้าที่ได้จากการผลิต กรมการค้าภายในเป็นผู้รับผิดชอบ

รายงานข่าวแจ้งว่า โรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม 4 แห่ง ที่ได้รับจัดสรรน้ำมันปาล์มไปแล้ว แต่ยังไม่ยอมผลิตน้ำมันบรรจุขวดจุกสีฟ้าออกมาจำหน่ายในราคา 47 บาท ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ได้แก่ ยี่ห้อเกสร หยก แวว และราชา โดยมีปริมาณน้ำมันปาล์มดิบใสรวม 12,850 ตัน คิดเป็นปริมาณน้ำมันพืชปาล์ม 9,814,000 ลิตร ซึ่งสามารถบรรจุใส่ขวดและถุงขายได้ 9.814 ล้านลิตร

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ดีเอสไอได้ตั้งประเด็นการสอบสวนว่า ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีน้ำมันปาล์ม ร่วมประชุมกับกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูข้อมูลต่างๆ โควต้าการนำเข้านำมันปาล์มดิบ จำนวนการผลิตนำมันปาล์มของโรงงานที่ได้โควต้า 10 แห่ง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบ จากนั้นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ประชุมวางแนวทางในการเข้าตรวจสอบสต็อกน้ำมันปาล์มของโรงงาน รวมทั้งจะตรวจสอบระบบบัญชี การผลิตจริง คาดว่าจะเข้าตรวจสอบได้ในวันที่ 19 ก.พ.นี้ เพื่อนำข้อมูลพิสูจน์สมมุติฐานว่า สินค้าหายไปจากตลาดเพราะอะไร ทั้งที่รัฐบาลได้อนุญาตให้นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศจำนวน 3 หมื่นตัน แต่การผลิตน้ำมันปาล์มขวดยังขาดตลาด

ผลการตรวจสอบเบื้องต้นเชื่อว่าอาจมีการลักลอบนำน้ำมันปาล์มที่ได้รับโควต้าให้นำเข้ามา 3 หมื่นตัน ไปผลิตน้ำมันไบโอดีเซล หรืออาจมีการกักตุนน้ำมันปาล์มที่ได้รับโควต้า เพื่อให้ดีมานด์มากกว่าซัปพลาย เพราะพาณิชย์ เคยให้เหตุตอนขออนุมัติรัฐบาลนำเข้าน้ำมันปาล์มว่า ได้วิเคราะห์แล้วว่าปริมาณน้ำมันปาล์มที่ขออนุมัตินำเข้า 1.5 แสนตัน จะเพียงพอต่อการใช้ในประเทศ แต่เมื่อรัฐบาลได้อนุมัติให้นำเข้านำมันปาล์ม ก็ยังมีปัญหาขาดตลาดอีก

"ต้องออกตรวจสอบโรงงานที่ได้รับโควต้าให้ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดฝาสีฟ้าทั้ง 10 แห่ง ว่าได้ผลิตตามที่ได้รับโควต้าหรือไม่ โดยจะตรวจสอบสต็อก เอกสารทั้งหมดว่า ได้โควต้าจำนวนเท่าไหร่ ผลิตบรรจุขวดส่งขายให้ยี่ปั่วเท่าไหร่ ยอดเข้ากับยอดออกตรงกันหรือไม่ และจะตรวจสอบเอกสารทางการเงินด้วยว่าตรงกับเอกสารการผลิตและการขายที่โรงงาน เพื่อป้องกันปัญหาการทำเอกสารเท็จ"

***รองฝ่ายมั่นคงปาล์มท้าเปิดชื่อ "ส."

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวอีกครั้งว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ในวันที่ 22 ก.พ.2554 เพื่อยุติปัญหาและหาสาเหตุว่าเหตุใดกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถนำเข้าได้ และหากกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถดำเนินการได้ อาจพิจารณาให้เอกชนนำเข้าเพื่อดำเนินการแทน

ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีนักการเมืองได้รับประโยชน์จากปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดว่า พูดกันมาหลายวันแล้วแต่ไม่เห็นออกมาระบุให้ชัดเจน บางคนถึงกับออกมาพูดว่านักการเมือง ส. ที่หมายถึงนั้น คือตนหรือไม่ จะได้ทราบ ขอให้พูดมาให้ชัดเจนจะได้ไม่เสียหาย ยืนยันว่าเมื่อตนลงมาแก้ไขปัญหานี้ ก็ได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีนักการเมือง ไม่ว่าจะมีชื่อย่อ ส., ก. หรือ ฮ. ก็ตาม เข้ามาเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีต่อทุกคน

**จวกรัฐบิดเบือนเหตุน้ำมันปาล์มขาด

นางวิวรรณ บุณยประทีปรัตน์ เลขาธิการสมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการที่น้ำมันปาล์มมีราคาสูงว่า เป็นเพราะรัฐบาลมีการบิดเบือนกลไกราคาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ปล่อยเป็นไปตามกลไกของตลาด ส่วนน้ำมันที่รัฐบาลน้ำเข้า 30,000 ล้านตันแรก เพื่อแก้ปัญหาขาดตลาดนั้น เนื่องจาก ข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตของโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มขนาดใหญ่ทั้ง 4 ราย ซึ่งสามารถดำเนินการผลิตได้เพียง 1,000,000 ขวดต่อโรงงานต่อวัน เท่านั้น โดยในส่วนที่ยังเหลือ คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตและนำออกมาวางจำหน่ายได้ภายใน 1 สัปดาห์ ภายใต้ช่องทางการจำหน่ายที่กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำกับดูแลทั้งหมด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นเวลานาน และมองว่า การที่รัฐบาลกำหนดเพดานราคาขายโดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกทางการตลาด และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้อง โดยรัฐบาลควรปล่อยให้ราคาขายเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งหากพิจารณาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ราคาขายที่เหมาะสมในขณะนี้ ควรอยู่ที่ประมาณ 56 บาทต่อขวด โดยในส่วนของภาคเอกชนยังคงต้องการความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวจากกระทรวงพาณิชย์

**พท.แฉ 2 เดือนงาบพันล้าน

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลควรจะให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาให้กับประชาชนให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาแพงขึ้น เช่น น้ำมันปาล์ม เพราะเดี๋ยวนี้มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นคือ การเข้าคิวรอซื้อน้ำมันปาล์ม ของกระทรวงพาณิชย์ ในราคาขวดละ 47 บาท แล้วนำมาแบ่งใส่ถุงขายในราคา 65-70 บาท โดยมีนักการเมืองรวมหัวกันกับพ่อค้า ขณะที่บางแห่งประชาชนถึงกับชกต่อยกันเพื่อแย่งกันซื้อน้ำมันปาล์ม เหมือนแย่งกันซื้อน้ำในทะเลทราย

ส่วนกรณีที่นายสุเทพ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าไปตรวจสอบการกักตุนน้ำมันปาล์มนั้น นักการเมือง “ส. และ พ.” ที่อยู่เบื้องหลังการกักตุนน้ำมันปาล์ม เพื่อเอาไปขายใต้ดินกว่า 3 ล้านขวด ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ได้กำไรจากส่วนต่าง 23 บาท ต่อขวด ไปแล้วเกือบพันล้านบาท รัฐบาลความรู้สึกช้า นายสุเทพ โยนบาปให้กับกระทรวงพาณิชย์ แต่กระทรวงพาณิชย์ กลับบอกว่าเมื่อต้นน้ำเน่ามาอย่างไร ปลายน้ำมันก็เน่าอย่างนั้น

**ยุ “มาร์ค-เทือก”นั่งควบพาณิชย์

นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่าตนขอเสนอให้นายกรัฐมนตรี ยึดกระทรวงพาณิชย์ กลับมาบริหารเอง เพื่อจะได้รู้ว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด จะมีปัญญาแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงในประเทศไทยหรือไม่ แต่ถ้าไม่กล้า ก็ขอเสนอให้นายสุเทพ นั่งควบกระทรวงพาณิชย์แทน และถ้าหากยังแก้ปัญหาไม่ได้อีก ประชาชนจะได้รู้ว่า รัฐบาลนี้มีแต่เส้น ไม่มีน้ำยา.
กำลังโหลดความคิดเห็น