xs
xsm
sm
md
lg

"นายพลหยาดเยิ้ม"แม่ทัพที่ได้ดีเพราะนารีอุปถัมภ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบอันดุเดือดระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ที่ภูมิซรอล และภูมะเขือ บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร ท่ามกลางเกมการเมืองระหว่างประเทศซึ่งไทยยังคงตกเป็นรองความฉ้อฉล ต่ำช้า ตระบัดสัตย์ ของรัฐบาลกัมพูชา ท่ามกลางเสียงร้องระงมของชาวบ้านภูมิซรอลที่หวาดกลัวกับเสียงระเบิดและห่ากระสุนที่ถาโถมถล่มหมู่บ้านที่อยู่บริเวณชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ และท่ามกลางข้อกังขาในการทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นไทยของรัฐบาลไทยและนายทหารระดับสูง ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ชื่อของ 'บิ๊กเยิ้ม' พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ดูจะเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุด

ด้วยหลายฝ่ายต่างสงสัยในท่าทีที่ดูจะไม่อินังขังขอบกับการสูญเสียของทหารและราษฎรไทย ขณะที่ทหารเขมรยิงถล่มหมู่บ้านภูมิซรอลของไทย ส่งผลให้ชาวบ้านไทยต้องตายในสภาพสยดสยอง กลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่ปราศจากศีรษะ และทหารไทยต้องสังเวยชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่ที่ฝ่ายกัมพูชายิงเข้ามาถึง 2 นาย แต่ พล.ท.ธวัชชัยก็ยังใจเย็น และบอกให้เน้นการเจรจา อีกทั้งยังไม่เคยให้สัมภาษณ์ตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาแต่อย่างใด ทั้งที่ภาพปรากฏไปทั่วโลกว่ากัมพูชายิงถล่มไทยก่อน ส่วนสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมถึงบรรดาแม่ทัพของเขมร ก็ให้สัมภาษณ์โจมตีให้ร้ายฝ่ายไทยมาตลอด

แม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะล่อแหลมสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนไทย แต่ พล.ท.ธวัชชัย ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่คุมภาคอีสานก็มิได้สนใจและมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ถึงกับให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า ความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นเป็นเรื่องของ “อิฐแค่ 2-3 ก้อน” ทำเอาประชาชนคนไทยที่นั่งดูหน้าจอทีวีถึงกับอึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน เพราะแม่ทัพใหญ่ที่ไต่เต้าเติบโตมาในภาคอีสานกลับมิได้นำพากับข้อมูลที่บรรดานักวิชาการจากหลากหลายสาขาต่างบอกตรงกันว่าแท้จริงแล้วการเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหารนั้น จะนำไปสู่การเสียดินแดนจำนวนมหาศาลของฝ่ายไทย ซึ่งมิใช่แค่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่อยู่รอบตัวปราสาท แต่จะทำให้กัมพูชานำมาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 กิโลเมตร ที่ฝรั่งเศสกำหนดขึ้นเพียงฝ่ายเดียวเมื่อครั้งหาเหตุเข้ายึดปราสาทพระวิหารของไทยไปให้กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศอาณานิคม มาใช้เป็นข้ออ้างวาดแผนที่กินดินแดนของไทยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนถึง 1.8 ล้านไร่ในที่สุด

พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายอดคิดไม่ได้ว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้มีผลประโยชน์อะไรในกัมพูชาอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ?

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า พล.ท.ธวัชชัยมีผลประโยชน์อะไรหรือไม่ และคงต้องรอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่ประกาศพร้อมจะตรวจสอบมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อนจึงจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจให้สาธารณชนได้รับรู้ แต่ก็มีเรื่องเล่าขานกันถึง “บิ๊กทหาร” ผู้ยิ่งใหญ่นายหนึ่งในแถบภาคอีสานที่น่าสนใจและชวนให้น่าติดตามไม่น้อย

บิ๊กทหารผู้นี้ รู้จักกันในชื่อของ ‘นายพลหยาดเยิ้ม’

นายพลหยาดเยิ้ม กับธุรกิจในกัมพูชา

ว่ากันว่านายพลหยาดเยิ้มผู้นี้ได้ดิบได้ดีเพราะทำหน้าที่ดูแลธุรกิจของ ‘นายใหญ่’ ที่ไปสร้างเครือข่ายในกัมพูชามาก่อน แต่ที่ลือกระฉ่อนไม่แพ้กันก็คือแรงผลักดันที่ทำให้เขาร่ำรวยและก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในกองทัพได้ทุกวันนี้ก็เพราะมี ‘นารีอุปถัมภ์’ เพราะถึงไม่หล่อเร้าใจเหมือนนายกฯหน้ามนคนปัจจุบัน แต่ 'ลีลา' และ 'คารม' นั้นคงไม่เป็นรองรุ่นพี่รุ่นน้องในกองทัพ เพราะถ้านับคร่าวๆ เอาเฉพาะภรรยาที่คั่วกันเป็นตัวเป็นตน ก็ปาเข้าไปถึง 4 คนเลยทีเดียว

ที่สำคัญภรรยาน้อยคนที่ 2 นั้นบันดาลให้เขากลายเป็นผู้มากบารมีในกัมพูชา ผันตัวจากลิ่วล้อของ ‘นายใหญ่’ มาเป็นตัวประสานให้กับนักธุรกิจจีนที่ต้องการเข้าไปลงทุนในกัมพูชา ขณะที่ภรรยาน้อยคนที่ 3 ก็ช่วยผลักดันให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่งนายพลใหญ่ในอีสานอย่างที่วาดหวังหลังจากที่โดน ‘แช่แข็ง’ เป็นนายพันพิเศษมานานหลายปี

สำหรับสาเหตุที่นายพลหยาดเยิ้มได้เข้าไป ‘รับงาน’ ดูแลธุรกิจของ ‘นายใหญ่’ ในเขมรนั้นก็ไม่ใช่เป็นเพราะเขามีคอนเน็กชั่นหรือสายสัมพันธ์ส่วนตัวแต่อย่างใด แต่เนื่องเพราะเขาเข้าไปรับใช้ติดตาม 'พลเอก ธ.' ซึ่งจะใช่คนเดียวกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาลทักษิณหรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้

แต่ว่ากันว่า นายพล ธ. นั้นจัดเป็นหนึ่งในทหารใหญ่ที่มีลูกน้องระดับมาเฟียอย่าง ‘เสธ.อ.` เป็นมือเป็นไม้ และสามารถทำธุรกิจผิดกฎหมายในกัมพูชาได้อย่างเปิดเผย ทั้งนี้เพราะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา โดยอาศัยว่าพลเอก ธ.เป็นลูกน้องคนสนิทของ ‘พ่อใหญ่’ อดีตบิ๊กทหารที่เข้ามาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว พลเอก ธ. และพ่อใหญ่นั้นมีบารมีถึงขั้นที่นักธุรกิจไทยคนใดที่สนใจจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชาก็ต้องเข้ามาเจรจาจ่ายใต้โต๊ะกับเขา เพราะถ้าสองบิ๊กทหารบอกว่า ‘ไม่ผ่าน’ ก็อย่าหวังว่า สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.เตีย บันห์ ซึ่งกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในกัมพูชาจะอนุมัติ

“นายพลหยาดเยิ้มเป็นทหารติดตาม พลเอก ธ. มาตั้งแต่ครั้งที่นายพลหยาดเยิ้มยังเป็นนายพัน ซึ่งตอนนั้น พลเอก ธ. ได้เข้าไปดูแลผลประโยชน์ในธุรกิจดาวเทียมซึ่ง ‘นายใหญ่’ เข้าไปลงทุนในเขมร ต่อมานายพล ธ.รู้จักกับกลุ่มทุนข้ามชาติ และช่วยให้คนเหล่านี้สามารถเข้าไปสำรวจและทำสัมปทานในกิจการพลังงานและเหมืองแร่ ไม่ว่าจะเป็น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน แร่พวง หรือดีบุก แต่ในช่วงนั้นธุรกิจพลังงานยังไม่บูมเท่าปัจจุบัน โดยมีนายพลหยาดเยิ้มในฐานะตัวแทนของพลเอก ธ.และพ่อใหญ่เป็นคนประสานและรวบรวมกลุ่มทุนที่จะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา ดังนั้น นายพลหยาดเยิ้มจึงคุ้นเคยกับนักธุรกิจและบรรดาทหารในเขมรเป็นอย่างดี”

ช่วงนั้นนายพลหยาดเยิ้มก็ได้ขึ้นเป็นพันเอกพิเศษ แต่ไม่ค่อยได้ทำงานให้กองทัพ จะทำงานรับใช้พลเอก ธ.และพ่อใหญ่มากกว่า ซึ่งใจจริงตอนนั้นนายพลเยิ้มก็อยากขึ้นเป็นนายพล แต่ติดที่อาวุโสยังไม่ถึง ประกอบกับมีหลายคนหมั่นไส้ ทำให้ถูก ‘แช่แข็ง’ อยู่พักใหญ่ แม้ ‘นายใหญ่’ จะได้เป็นผู้นำประเทศเป็นสมัยแรก แต่นายพลหยาดเยิ้มก็ยังเป็นแค่พันเอกพิเศษ เพราะนายใหญ่ไม่ได้ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร เพราะโดยนิสัยของนายใหญ่เองก็ไม่อยากให้ลูกน้องหรือลิ่วล้อคนไหนแผ่ขยายบารมีเกินหน้าเกินตาตัวเองนัก เพิ่งจะมาผลักดันให้ขึ้นเป็นนายพลตอนนายพลหยาดเยิ้มมีผลงานการเลือกตั้ง ช่วยกวาด ส.ส.อีสานเข้าสภา ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ภายหลังนายพลหยาดเยิ้มเปลี่ยนใจหันมาสวามิภักดิ์กับกลุ่มทหารที่กำลังคุมอำนาจแทน โดยเขาทรยศนายใหญ่และเข้ามาสวามิภักดิ์กลุ่ม 8 นายพล ซึ่งมีทั้งทหารม้าและบูรพาพยัคฆ์แทน

สำหรับในส่วนของธุรกิจในกัมพูชานั้น นายพลหยาดเยิ้มเริ่มมีอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะแค่รับงานดูแลธุรกิจให้นายใหญ่เหมือนแต่ก่อน นายพลหยาดเยิ้มก็หันมารับงานเป็นตัวประสานให้กับนักลงทุนจีนที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาเอง โดยมีคอนเน็กชันของภรรยาน้อยคนที่ 2 ซึ่งมารู้จักและอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2547 เป็นใบเบิกทาง โดยภรรยาคนนี้เป็น ลูกครึ่งจีน-กัมพูชา ถือ 2 สัญชาติ ทั้งจีนและกัมพูชา จัดเป็นผู้หญิงเก่ง มีสายสัมพันธ์กับบรรดานักธุรกิจจีนที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา รวมทั้งเป็นคนติดต่อประสานให้นักธุรกิจเหล่านี้เข้าไปลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มทหารในกัมพูชา พล.อ.เจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชา จึงให้ความสำคัญและสนิทกับผู้หญิงคนนี้พิเศษ

“ดังนั้น นายพลหยาดเยิ้มจึงสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการเป็นนายหน้าทางธุรกิจให้กับนักลงทุนจีนในกัมพูชา วันนี้จึงไม่แปลกที่นายพลหยาดเยิ้มจะเป็นคน2 แผ่นดินเหมือนกับนายทหารใหญ่อีกหลายคน ” แหล่งข่าวสายทหาร เล่าถึงการเข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชาของพลเอกหยาดเยิ้ม

ภรรยาน้อยผลักดัน
นั่งนายพลคุมอีสาน

ส่วนเส้นทางในชีวิตราชการนั้นนายพลหยาดเยิ้มได้ดิบได้ดีขึ้นเป็นนายพลใหญ่ในภาคอีสานทุกวันนั้นได้นั้น ไม่ใช่แค่ผลงานในการรบเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนรักสาย 'บูรพาพยัคฆ์' และ 'สุดที่รัก' ซึ่งเป็นภรรยาน้อยคนที่ 3 ช่วยวิ่งเต้นผลักดันอีกทาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาน้อยคนที่ 3 ผู้นี้นั้นถือว่า ไม่ธรรมดา

ว่ากันว่า ภรรยาของนายพลหยาดเยิ้มผู้นี้มีเส้นสายในระดับที่สามารถใช้คำว่า “สุดยอด” ดังนั้น จึงมีความสนิทสนมกับนายทหารใหญ่ ซึ่งเป็นถึงระดับเสนาธิการในกองทัพและมีความใกล้ชิดกับบุคคลชั้นสูง เธอจึงขอให้นายทหารใหญ่ช่วยผลักดันให้นายพลหยาดเยิ้มได้เป็นใหญ่ขึ้นมาคุมกำลังในภาคอีสาน ซึ่งนายทหารใหญ่ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา เพราะล่าสุดข่าวแว่วว่าเขาถูกวางตัวให้เป็นแคนดิเดต ผบ.สส.คนถัดไป ต่อจาก “พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด คนปัจจุบัน ดังนั้นการใช้กำลังภายในผลักดันให้นายพลหยาดเยิ้มขึ้นมาคุมอีสานจึงไม่ใช่เรื่องยาก

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่า นายพลหยาดเยิ้มผู้นี้ได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จฮุนเซนเป็นพิเศษ และการที่เขาสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สำคัญได้ก็เพราะสมเด็จฮุนเซนให้การสนับสนุนผ่านฝ่ายการเมืองไทย โดยนายพลหยาดเยิ้มผู้นี้มีผลประโยชน์ตามแนวชายแดนทั้งบ่อนการพนัน น้ำมัน ไม้เถื่อนและรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ มีการเก็บส่วยรายเดือนไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างถนนขึ้นภูมะเขือที่กัมพูชาใช้เป็นฐานทัพยิงราษฎรไทย โดยใช้ผู้รับเหมาเป็นของนายทหารคนนี้

ไม่นับรวมถึงกระแสข่าวที่ว่า นายทหารคนนี้ยังได้ส่งข้าวสาร กุนเชียง หัวไชโป้ว เสมือนเป็นเสบียงให้แก่ผู้บังคับบัญชากัมพูชาทุกระดับ โดยเฉพาะกุนเชียงจากบุรีรัมย์ เดือนละ 60 กล่อง

...นี่คือความไม่ธรรมดาของนายพลหยาดเยิ้มที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของนายพลหยาดเยิ้มจะต้องเร่งตรวจสอบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
กำลังโหลดความคิดเห็น