ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หากถามถึงสถานการณ์ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ คงต้องบอกว่ากำลังเผชิญกับมรสุมรุมเร้าอย่างหนัก จากทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายนอกประเทศและปัญหาภายในประเทศ ที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างคนที่ มีภาวะ “ผู้นำ” ที่มีความกล้าหาญและมีสติปัญญาพึงจะกระทำ หรือพูดให้ชัดเจนขึ้นไปอีกก็คือ รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ “แก้ปัญหาไม่เป็น” จนส่งผลให้กระแสนิยมในตัวของนายอภิสิทธิ์ลดน้อยถอยลงไปทุกขณะ พร้อมๆ กับภาวะ “ผู้นำ” ของนายอภิสิทธิ์ที่ตกต่ำเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด
เริ่มจากปัญหาภายนอกประเทศที่ต้องเจอกับ “ศึกหนัก” เมื่อเกิดการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ ทางด้านทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเปิดฉากยิงถล่มกันอย่างหนักระหว่างวันที่ 4-7 ก.พ. 54 ทำให้ทหารไทยและชาวบ้านเสียชีวิต รวม 3 ราย และบาดเจ็บรวม 34 คน รวมทั้งบ้านเรือนราษฎรและอาคารโรงเรียนถูกยิงถล่มเสียหายหลายหลัง เป็นเหตุให้มีผู้อพยพหนีภัยสงครามเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ขณะที่นายฮุนเซนและกองทัพกัมพูชาทำการ “ตีกิน” ผืนแผ่นดินไทย เหยียบหน้าคนไทยและทหารไทยอยู่นั้น, รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์กลับแก้ปัญหาอย่างอืดอาด เชื่องช้า จนทำให้ปัญหาหลายอย่างกว่าจะแก้ไขได้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ดูจากผลการสำรวจประชาชนของ “กรุงเทพโพลล์” จากกรณีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ผลปรากฏว่าประชาชนพอใจการทำหน้าที่ของกองทัพร้อยละ 67.5 ขณะที่ไม่พอใจรัฐบาลในการแก้ปัญหาข้อพิพาทดินแดนถึงร้อยละ 80.2 พร้อมทั้งไม่มั่นใจการทำหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศถึงร้อยละ 75.3 !
ผลสำรวจดังกล่าวถือเป็นการ “ตบหน้า” นายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างจัง กรณีที่ยังฝันลมๆ แล้งๆ ว่า MOU43จะนำมาซึ่งความสงบสันติได้ และยังเห็นอีกว่ารัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาในเรื่องดินแดนมาโดยตลอด นอกจากนี้, ผลสำรวจดังกล่าวยัง “ตอกหน้า!” นายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของกระทรวง “บัวแก้ว” ที่นำโดยนายกษิตอีกด้วย
ทั้งนี้ ความ “ห่วยแตก” ของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ในการบริหารบ้านเมืองตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้ถ่ายทอดและสะท้อนความอึดอัดขัดข้องใจของตัวเองออกมาหลากหลายรูปแบบ อย่างล่าสุด “งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ -ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 67” ก็ได้สร้างความฮือฮาจนกลายเป็นข่าวฮ็อตในโซเชียลเน็ตเวิร์กทันที เมื่อไฮไลต์สำคัญในช่วงแรกของงาน คือ ขบวนล้อการเมืองของเหล่านักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่สะท้อนความคิดความอ่านที่มีต่อสังคมและการเมืองไทยในปัจจุบันได้อย่างแสบสันต์และแสบไปถึงซางนายกฯ อภิสิทธิ์เลยทีเดียว
หนึ่งในขบวนนั้นก็คือ “นางอับ(ปรี)สิทธิ์” โดยมีคำบรรยายว่า... “ขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยยืนกรานที่ใช้ MOU43 ในการเจรจาตกลงข้อพิพาทไทย-กัมพูชา จิตใจของนายกฯ ได้กลายเป็นเขมรไปแล้วกึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ร่างกายท่านนายกฯ เป็นรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ประจำโบราณสถานเขมร ตลอดทั่วร่าง คงเหลือไว้เพียงใบหน้าอันหล่อเหลา
“บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา เป็นบันทึกที่ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบทั้งเรื่องดินแดนและผลประโยชน์ ดังเห็นได้จากกรณี 7 คนไทยที่โดนจับกุมข้อหาบุกรุก แต่นายกฯ กลับผลักไสให้ไปสู่กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา นั่นเท่ากับการถือ MOU43 ข้อตกลงที่ส่อเค้าให้ไทยเสียดินแดน... อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า 'หน้าไทยใจเขมร' ได้อย่างไรล่ะท่านนายก!!!!”
นอกจากจะสะเทือน “ซาง” อันเนื่องมาจากโดนลูกแม่โดม “เล่นแรง” แล้ว วันต่อมา, นายกฯ มาร์คยังต้องมา “ขวัญเสีย” เมื่อมีคนแก่ตะโกนไล่ ในงานเดิน-วิ่งการกุศล “ดอนบอสโก มินิมาราธอน เพื่อการศึกษา ครั้งที่ 9” ที่ราบ 11โดยทันทีที่นายอภิสิทธิ์เดินทางมาถึง ได้ทักทายกับคณะผู้จัดงาน และผู้บริหารโรงเรียนฯ ก่อนที่จะทำพิธีเปิดงานดังกล่าว ปรากฏว่า ได้มีชายชราคนหนึ่งที่มาร่วมการแข่งขัน ตะโกนไล่-ด่านายอภิสิทธิ์ว่า “อภิสิทธิ์ออกไปได้แล้ว!” ทำให้นายอภิสิทธิ์ตกใจจนหน้าถอดสีเลยทีเดียว
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่อะไรนอกจากเหตุผลและความเดือดดาลที่สะท้อนออกมาจากความเหลืออดเหลือทนที่เห็นรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลเฉยเมยเฉยชาต่อความเป็นความตายของคนไทยและอธิปไตยของประเทศชาติ รวมถึงภาวะข้าวยากหมากแพงก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนออกมาสะท้อนและเรียกร้อง เพราะเรื่องปากเรื่องท้องใครก็ยอมไม่ได้ และยิ่งรัฐบาลไม่สนใจไยดีต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ก็ย่อมต้องเจอกับการลุกฮือออกมาขับไล่ของมวลมหาประชาชนอย่างที่เห็นเป็น “ตัวอย่าง” ในประเทศตูนิเซียและอียิปต์
หรือว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องการอย่างนั้น !? …
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่ประเทศไทยกำลังประสบกับภาวะข้าวยากหมากแพง รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คิดนโยบาย “ประชาวิวัฒน์” ลดแลกแจกแถมเลียนแบบนโยบาย “ประชานิยม” ของระบอบทักษิณที่ตัวเองรังเกียจเหยียดหยามขึ้นมา โดยไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไปจ้างนักวิชาการเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งเทียนเขียนโครงการและทำการวิจัยอยู่บนหอคอยงาช้าง จนออกมาเป็นนโยบาย “ประชาวิวัฒน์” ขายไข่เป็นกิโลฯ “กู๊ดไอเดีย” แต่สร้างภาระให้ประชาชนฉิบหาย หมดเงินค่าจ้างนักวิจัยที่ไม่เคยซื้อไข่ไก่-ไม่เคยนั่งแท็กซี่-ไม่เคยขี่วินมอเตอร์ไซค์ และไม่เคยไปซื้อของแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ไปกี่สิบล้านก็ไม่รู้? และไม่รู้จริงๆ ว่าบรรดา ฯพณฯ ทำการวางแผน โดยใช้ตรรกะอะไร และใช้ส่วนไหนคิด “ขายไข่เป็นกิโลฯ” แต่กลับไม่มีน้ำพืชให้ประชาชนทอดไข่!
และไม่รู้ว่า ฯพณฯ ได้เบิ่งตาดูรายงานของกรมการค้าภายใน ถึงการจำหน่ายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม ระหว่างวันที่ 1-9 กุมภาพันธ์ ที่ทยอยให้บริการแล้วในตลาดสด30 แห่งหรือไม่ เพราะจากรายงานพบว่า มีประชาชนให้ความสนใจ “น้อยมาก” และยอดขายของผู้ค้าในแต่ละวันมีไม่มาก โดยในแต่ละตลาดมีประชาชนมาซื้อวันละ 1-2 ราย/วัน แต่ละรายซื้อ 1-2 กิโลกรัม แต่วันแรกๆ มีคนสนใจเข้ามาสอบถามวันละ 3-4 ราย/แผง โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นและทดลองชั่งไข่แต่ “ไม่ซื้อ” ซึ่งจากการประเมินปัญหาพบว่าประชาชนไม่ให้ความสนใจ เพราะยุ่งยากเสียเวลา ขณะที่ผู้ค้าก็ไม่เห็นด้วย เพราะมีปัญหาทำให้ไข่แตกเสียหาย และคิดราคายาก!
อยากแนะนำนายอภิสิทธิ์ว่า ไม่ต้องรอให้ครบ 3 เดือน เพราะมันเปลืองงบประมาณ พับโครงการไปเถอะ!
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องไข่ชั่งกิโลฯ ซึ่งเป็นความคิดเลอะเทอะที่สร้างภาระให้แก่ประชาชนของรัฐบาลชุดนี้แล้ว ในยุคข้าวยากหมากแพงนี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ "มะขามเปียก" ยังแพง! กระทั่งกลายเป็นข่าวที่คนสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อลองย้อนอดีตไปดูราคาย้อนหลัง 5 ปี (2550 ถึง ก.พ.2554) พบว่าราคาขยับขึ้นๆ ลงๆ ก่อนที่ราคาล่าสุดจะพุ่งสูงขึ้น! เริ่มจาก 28.18, 39.26, 39.33,36.33 และเพิ่มเป็น 100-120 บาท นายอภิสิทธิ์จะรู้บ้างไหมว่าเกิดอะไรขึ้น และนายอภิสิทธิ์จะรู้บ้างไหมว่าบรรดาน้ำพริก เครื่องดื่ม ยา สมุนไพรบำรุงผิว ชามะขาม เครื่องสำอาง ได้ข่าวว่ากำลังพากัน ร่ำๆ ร้องๆ จะขอปรับขึ้นราคาแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ, แม้กระทั่ง “น้ำมันปาล์มฝาจุกสีฟ้า” ซึ่งเป็นผลผลิตจากน้ำมันปาล์มนำเข้าล็อตแรก 3 หมื่นตัน ก็ยังเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ เมื่อมีพ่อค้าหัวใสไปต่อคิวซื้อ ทั้งที่กระทรวงพาณิชย์เอาออกมาขาย หรือที่ขายอยู่ในห้างราคาขวดละ 47 บาท แต่พ่อค้าที่เห็นแก่ตัวกลับเอามาขายต่อขวดละ 65-70 บาท และถึงแม้เจ๊วา-พรทิวา นาคาศัย จะออกแอ็กชั่นแสดงอาการ "หัวเสีย" สั่งเฉียบขาดต้องจัดการให้เด็ดขาด!
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ อยากบอกเจ๊วาว่า อย่าจับแต่ปลาซิวปลาสร้อย (เพราะมันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน) ถ้าแน่จริง และถ้าอยากทำเพื่อประชาชนจริงๆ เจ๊วากรุณาไปจัดการกับพวก "ขาใหญ่" ที่เป็นตัวการหลักปั่นราคา พวกนี้ล่ะ "เหลือบ" โคตรดูดเลือดดูดเนื้อแสบยิ่งกว่าพวกรายย่อยเป็นไหนๆ ตอนนี้ก็ยังทำมาหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน และเจ๊วารู้ใช่ไหมว่าพวกนี้เป็นเด็ก "เทือก!" ?
นอกจากความ “ห่วยแตก” ในเรื่องนโยบายและการบริหารบ้านเมืองดังที่กล่าวมาแล้ว ประเทศไทยในยุคสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ยังได้ชื่อว่าเป็นยุคที่นักการเมืองคอร์รัปชันกันจนมืดฟ้ามัวดิน โดยขณะที่นักการเมืองพากันฮั้ว กักตุน และเสพสุขสบาย แต่ประชาชนกำลังจะกิน “แกลบ” อดตายกันอยู่แล้ว บวกกับสถานการณ์ที่ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 15...
...อยากบอกว่า ปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้กระแสนิยมในตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลดน้อยถอยลงไปทุกขณะ พร้อมๆ กับภาวะ “ผู้นำ” ของนายอภิสิทธิ์ที่ตกต่ำ-เสื่อมลงทุกทีๆ อย่างเห็นได้ชัด
และหากมีคนถามว่าสถานการณ์ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้เป็นอย่างไร เราคงต้องตอบไปตามความจริงว่า รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์กำลังเผชิญกับมรสุมรุมเร้าอย่างหนัก จากทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายนอกประเทศและปัญหาภายในประเทศ โดยรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างคนที่มีภาวะ “ผู้นำ” จะพึงคิดและกระทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน และสารพัดมรสุมที่โหมกระหน่ำอยู่ในเวลานี้จึงอาจทำให้ “รัฐนาวาอภิสิทธิ์” ประสบกับหายนะ-อับปางลงกลางคัน หรือไม่ก็เดินเข้าสู่ทางตันในที่สุด!