ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มาจนถึงวันนี้ แม้ว่าใครจะรักและเห็นแก่ความรูปหล่อขนาดไหน ก็ถึงเวลาต้องตัดใจ และหันมายอมรับความจริงที่ว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศผิดพลาดและ “ล้มเหลว” ในแทบทุกเรื่องและทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นและสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนในประเทศอย่างหนัก รวมถึงปัญหาภายนอกประเทศที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ “ไร้ประสิทธิภาพ” ในการแก้ปัญหาโดยสิ้นเชิง ยังไม่นับความขี้ขลาดตาขาว และพฤติกรรมที่เป็นไปในลักษณะที่ “สมยอม” และ “เอื้อประโยชน์” ให้กับพวกพ้องและต่างชาติ โดยรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ไม่มีความเป็นผู้นำประเทศที่สง่างามและเป็นที่พึ่งของประชาชน ตรงกันข้าม นอกจากไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้แล้ว รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ยังเอาตัวรอดและทอดทิ้งประชาชนอย่างไร้จิตสำนึกของความเป็นผู้นำ และน่าเกลียดที่สุด!
ความเหลือทนของประชาชนไทย
อย่างไรก็ตาม ผลจากความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล และการขาดภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ ในการบริหารบ้านเมืองตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้ถ่ายทอดและสะท้อนความอึดอัดขัดข้องใจของตัวเองออกมาหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น “งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ -ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 67” ที่ผ่านมา ก็ได้สร้างความฮือฮาด้วยขบวนล้อการเมืองของเหล่านักศึกษาธรรมศาสตร์ โดย “ลูกแม่โดม” ได้สะท้อนความคิดความอ่านที่มีต่อสังคมและการเมืองไทยในปัจจุบันได้อย่างแสบสันต์ โดยหนึ่งในขบวนนั้นก็คือ “นางอับ(ปรี)สิทธิ์”
วันต่อมา, “นายอภิสิทธิ์” ยังต้องมา “ขวัญเสีย” เมื่อมีคนแก่ตะโกนไล่ ในงานเดิน-วิ่งการกุศล “ดอนบอสโก มินิมาราธอน เพื่อการศึกษา ครั้งที่ 9” ที่ราบ 11โดยทันทีที่นายอภิสิทธิ์เดินทางมาถึง ได้ทักทายกับคณะผู้จัดงาน และผู้บริหารโรงเรียนฯ ก่อนที่จะทำพิธีเปิดงานดังกล่าว ปรากฏว่า ได้มีชายชราคนหนึ่งที่มาร่วมการแข่งขัน ตะโกนไล่-ด่านายอภิสิทธิ์ว่า “อภิสิทธิ์ออกไปได้แล้ว!” ทำให้นายอภิสิทธิ์ตกใจจนหน้าถอดสีเลยทีเดียว
หลังจากขวัญเสียจากการที่โดนคนแก่ตะโกนไล่ได้ไม่นาน นายอภิสิทธิ์ก็ต้องมา "เสียขวัญ" อีกครั้ง เมื่อแม่ค้าหมูปิ้ง บุกเดี่ยวขึ้นไปประชิดตัวนายอภิสิทธิ์ขณะยืนอยู่บนโพเดี้ยมที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เพื่อร้องขอความช่วยเหลือเนื่องจากตัวเองป่วยเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดขึ้นสมองมาตั้งแต่ปี 2551 จนกลายเป็นคนพิการหูไม่ได้ยิน ซึ่งวิธีรักษาต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก โดยเธอได้พยายามไปร้องขอที่สภาสังคมสงเคราะห์แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังได้เขียนจดหมายมาถึงนายกรัฐมนตรี โดยเขียนส่งไปที่บ้านพัก 1 ฉบับ เขียนส่งมาที่ทำเนียบรัฐบาล 8 ฉบับ แต่ก็ไม่มีการตอบรับหรือความช่วยเหลืออย่างใด...
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นายอภิสิทธิ์ที่ว่า ปากเก่งๆ ถึงกับพูดผ่านไมโครโฟนด้วยน้ำเสียงตกใจ และพูดได้เพียงแค่ว่า “เดี๋ยวรับเรื่องไว้ครับ เดี๋ยวจะดูให้น่ะครับ”
ด้วยรัก และตีนตบ! “อย่ายุบสภา เดี๋ยวกูเหงา”
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นคงไม่ใช่อะไรนอกจากเหตุผลและความเดือดดาลที่สะท้อนออกมาจากความเหลืออดเหลือทนที่รัฐบาลและผู้นำรัฐบาลเฉยเมยเฉยชาต่อความเป็นความตายของคนไทย และอธิปไตยของประเทศชาติ รวมถึงภาวะข้าวยากหมากแพงก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนออกมาสะท้อนและเรียกร้อง เพราะเรื่องปากเรื่องท้องใครก็ยอมไม่ได้ และยิ่งรัฐบาลไม่สนใจไยดีต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ก็ย่อมต้องเจอกับการลุกฮือออกมาไล่!
อย่างที่นายอภิสิทธิ์ต้อง "ขวัญกระเจิง" หลังจากถูกคนเสื้อแดงทั้งที่ จ.สมุทรปราการ และพื้นที่ใกล้เคียงตะโกนด่าสาปแช่งด้วยคำหยาบต่างๆ นานา และเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ระหว่างไปเยี่ยมชมและบันทึกรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ที่โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มโรงกลั่นน้ำมันพืชมรกต ถนนปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ นายอภิสิทธิ์ก็โดนกลุ่มคนเสื้อแดงตะโกนด่าและทั้งปาขวดน้ำใส่ขบวนรถนายอภิสิทธิ์ พร้อมกับชูแผ่นป้ายข้อความว่า “อย่ายุบสภา เดี๋ยวกูเหงา”
อย่างไรก็ตาม เสียงตะโกนไล่ด่าสาปแช่งยังคงระทึกอยู่ข้างหูนายอภิสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง มาจนถึงลานอเนกประสงค์ภายในตลาดนัดสวนจตุจักร นายอภิสิทธิ์พร้อมด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ.ส.ส.ของพรรคจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางมาเปิดตัวแผนการรณรงค์การเลือกตั้ง “เดินหน้าต่อไปด้วยนโยบายเพื่อประชาชน” ซึ่งเป็นการเปิดตัวนโยบายชุดแรกของพรรค และทันทีที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวปราศรัยไปได้ช่วงหนึ่ง ก็มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งสวมเสื้อสีดำ ทราบภายหลังว่าเป็นเสื้อที่กลุ่มคนเสื้อแดงจัดทำขึ้นเพื่อจำหน่าย ชูป้ายกระดาษที่เขียนด้วยลายมือมีข้อความว่า “ออกไป ไอ้ฆาตรกร รัฐบาลผีดิบ” พร้อมกับตะโกนด่า “ไอ้ตอแหล ไอ้ฆาตกร”
จากนั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อสีแดงและสะพายกระเป๋าเป้สีแดงที่ติดเข็มกลัดที่มีข้อความว่า “I’m Red.” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม “วันอาทิตย์สีแดง” ได้ตะโกนด่านายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ว่า “มาจัดที่นี่ทำไม แค่นี้เดือดร้อนกันไม่พออีกเหรอ”
คนไทยหรือเปล่า ไอ้...!
ต่อมาได้มีตัวแทนจากสมาคมผู้ประกอบการการค้าตลาดนัดจตุจักร ประมาณ 20 คน มาร้องขอพบนายอภิสิทธิ์ เพื่อทวงถามความคืบหน้าการช่วยเหลือเรื่องการต่ออายุสัญญาเช่าที่ตลาดนัดจตุจักร กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งจะหมดอายุในเดือน ม.ค.2555 ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวได้เคยไปร้องเรียนเรื่องนี้กับนายอภิสิทธิ์แล้ว ที่ทำเนียบรัฐบาล มาก่อนหน้านี้ หลังจากนั้น นายอภิสิทธิ์ได้เดินทางมาที่วัดบัวแก้วเกสร อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี และเป็นไปตามคาด ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาต้อนรับด้วยตีนตบ พร้อมโบกธง "โค่นล้มอำมาตย์" เรียกร้องให้ยุบสภา บริเวณปากทางเข้าวัด โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์จอดไว้หลังวัด เพื่อเตรียมหนีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นนายอภิสิทธิ์ อ้างว่า ถูกด่าในลักษณะนี้มาหลายครั้ง แต่ถูกด่าผ่านเอสเอ็มเอส ซึ่งเข้ามาด่าทุกวัน บางข้อความระบุว่า “คนไทยหรือเปล่า” “คิดผิดหรือเปล่า” “ไอ้สัตว์” เป็นต้น ขณะเดียวกันครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายอภิสิทธิ์ถูกด่า ก่อนหน้านั้นนายอภิสิทธิ์ ก็เคยถูกด่าว่า “ไอ้เหี้...มาร์ค” มาแล้ว
และถ้ายังบริหารประเทศอยู่อย่างนี้ เชื่อเถอะว่า นายอภิสิทธิ์ยังจะถูกไล่และด่าอย่างนี้อีกต่อไป
ข้าวยากหมากแพง และคอร์รัปชันมืดฟ้ามัวดิน
เห็นได้ชัดแล้วว่า ยิ่งรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์บริหารประเทศนานเท่าไร ก็ยิ่งนำพาประเทศไทยตกต่ำและล่มจมลงเรื่อยๆ ดูจากนโยบาย “ประชาวิวัฒน์” ที่ไม่รู้รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ไปจ้างนักวิชาการเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งเทียนเขียนโครงการและทำงานวิจัยอยู่บนหอคอยงาช้าง จนออกมาเป็นนโยบาย “ประชาวิวัฒน์” ขายไข่เป็นกิโลฯ ที่แม่ค้าด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง นอกจากไม่มีสมองคิดอะไรที่สร้างสรรค์แล้ว ยังสร้างภาระให้ประชาชนฉิบหาย หมดเงินค่าจ้างนักวิจัยที่ไม่เคยซื้อไข่ไก่-ไม่เคยนั่งแท็กซี่-ไม่เคยขี่วินมอเตอร์ไซค์ และไม่เคยไปซื้อของแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ไปกี่สิบล้านก็ไม่รู้? และไม่รู้จริงๆ ว่าบรรดา ฯพณฯ ทำการวางแผน โดยใช้ตรรกะอะไร และใช้ส่วนไหนคิด “ขายไข่เป็นกิโลฯ” แต่กลับไม่มีน้ำมันให้ประชาชนทอดไข่! และ ไม่รู้ว่า ฯพณฯ บริหารประเทศกันยังไงจึงทำให้เกิดวิกฤต “น้ำมันปาล์ม” ที่สะท้อนให้ประชาชนได้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้จนไม่อาจหาคำใดๆ มาแก้ตัวได้
เพราะนับจากวันที่สัญญาณแห่งความขาดแคลน “น้ำมันปาล์ม” ปรากฏชัดเจนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553 เป็นต้นมา รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน และยังไม่มีวี่แววว่า จะยุติความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างไร ขณะเดียวกันวิกฤตน้ำมันปาล์มยังทำให้ประชาชนคนไทยได้เห็นถึง “ธาตุแท้” ของนักการเมืองที่ชัดเจนว่า ไม่ได้เข้ามาทำหน้าที่เพื่อประชาชน หากแต่เข้ามาเพื่อหวังกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องบนความทุกข์ยากของประชาชนอย่างเลือดเย็น
อย่างไรก็ตาม นอกจากวิกฤตน้ำมันปาล์มแล้ว ยังมีสินค้าหลายชนิดที่ขึ้นราคาไปแล้วและอีกหลายชนิดที่กำลังจ่อขึ้นราคา หลังจากที่ "มะขามเปียก" ได้ทะยานขึ้นไปเรียบร้อยแล้วอย่างน่าประหลาดใจ และสิ่งที่ทำให้แม่ค้าช็อกไปตามๆ กันก็คือขนาด “หนังยาง” ยังขึ้นราคาโดยพุ่งขึ้นมา 200 % !
นอกจากความ “ล้มเหลว” ในเรื่องนโยบายและการบริหารบ้านเมืองดังที่กล่าวมาแล้ว ประเทศไทยในยุคสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ยังได้ชื่อว่าเป็นยุคที่นักการเมืองคอร์รัปชันกันจนมืดฟ้ามัวดิน โดยขณะที่นักการเมืองพากันฮั้ว กักตุน และเสพสุขสบาย แต่ประชาชนกำลังจะกิน “แกลบ” อดตายกันอยู่แล้ว
เสียดินแดนให้เขมร
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัญหาข้าวยากหมากแพงแล้ว ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่สมรภูมิเขาพระวิหารที่รัฐบาลของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไปไม่เป็นกระทั่งทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนให้แก่รัฐบาลของนายฮุนเซน ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สะท้อนภาพความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้จนไม่อาจหาคำใดๆ มาแก้ตัวได้
โดยข่าวล่าสุดจาก “เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ” เผยแพร่รายงานข่าวของสำนักข่าวซินหัว โดยอ้างคำพูดของ โคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ภายหลังพบปะหารือกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สรุปความว่ายูเนสโกกำลังจะเข้าไปสำรวจความเสียหายในปราสาทพระวิหารโดยเร็วที่สุด หลังจากตัวแทนจากอินโดนีเซีย เข้าไปตรวจสอบและเป็นสักขีพยานในพื้นที่ปะทะตามแนวชายแดนทั้งสองฝ่าย
โดยคำพูดของ โคอิชิโร มัตสึอุระ ซึ่งเคยเป็นประธานยูเนสโก และสนับสนุนออกนอกหน้าให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ได้เน้นย้ำอีกว่า ไม่อาจทำตามข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ที่ให้ชะลอหรือเลื่อน “บัญชี” ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารอย่างเต็มรูปแบบออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของยูเนสโก ดังนั้น ยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบความเสียหายและซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด
จากท่าทีดังกล่าวของตัวแทนยูเนสโกนับว่า “คนละเรื่อง” กับที่นายกฯ อภิสิทธิ์เคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ยูเนสโกจะไม่ลงไปตรวจสอบปราสาทพระวิหาร และมีแนวโน้มจะเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทเพื่อให้การขึ้นทะเบียนอย่างสมบูรณ์ออกไปก่อน
อย่างนี้จะให้เชื่อนายอภิสิทธิ์ได้อย่างไร เพราะนาทีนี้ไทยมีแนวโน้มจะเสียดินแดนเพิ่มเติมให้กับกัมพูชา ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารที่เป็นพื้นที่บริหารจัดการในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารตามเงื่อนไขของยูเนสโก เนื่องจากทุกครั้งที่ฝ่ายกัมพูชาที่พูดถึงเรื่องปราสาทก็จะพ่วงเอาเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เข้าไปด้วยทุกครั้งและพูดไปทางเดียวกัน โดยย้ำว่าบันทึกความเข้าใจเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ปี 2543 (MOU 43) ได้ให้การยอมรับแผนที่ดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีของไทยก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธ หรือแถลงคัดค้านแต่อย่างใด เหมือนกับเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ การที่ไทยยอมรับแผนที่กัมพูชาในอัตราส่วน 1 ต่อ 200000 ตามที่อ้างใน MOU 43 มันก็ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารแค่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่ประมาณเกือบ 3 พันไร่เท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงดินแดนไทยที่ลากมาตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีไปจนจรดจังหวัดตราด เนื้อที่นับล้านไร่!
ทอดทิ้งคนไทย ไร้มโนธรรมสำนึก
นี่คือผลของ MOU 43 และนายกรัฐมนตรีของไทยที่เพียงแค่ดึงดันต้องการเอาชนะและปกปิดความผิดพลาดของพรรคตัวเอง รวมทั้งผลประโยชน์ตามแนวชายแดนของนายทหารบางคน และธุรกิจพลังงานในอ่าวไทย แต่กับประชาชนที่ออกมาปกป้องอธิปไตยของชาติอย่าง “วีระ สมความคิด” และ “ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์” จนถูกทหารเขมรบุกรุกเข้ามาจับในดินแดนไทย รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์กลับไม่มีความจริงใจที่จะปกป้องและให้ความช่วยเหลือสองคนไทยอย่างที่ควรจะเป็น จนในที่สุดศาลเขมรพิพากษาจำคุกนายวีระ 8 ปี และนางสาวราตรี 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ที่สำคัญ ล่าสุด นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่า นายวีระป่วยค่อนข้างหนัก โดยมีอาการมีเม็ดผื่นคันขึ้นตามตัว และซูบผอมกว่าที่เคยเห็นกัน ซึ่งครั้งที่นายพนิชต้องถูกคุมขังอยู่ด้วยนั้นก็ทราบว่านายวีระต้องใช้ยาประจำตัวที่จะลดอาการผื่นคันด้วย... นี่ก็คืออีกหนึ่งผลงานอัน “ห่วยแตก” ของรัฐบาลที่ขาดไร้ซึ่งมโนธรรมสำนึก
อืดอาด เชื่องช้า หมดปัญญา และไม่เอาไหน
อย่างไรก็ตาม ผลงานอันน่าอดสูและความไม่เอาไหนของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ยังมีอีกมาก จนไม่อาจนำมาสาธยายในที่นี้ได้หมด เอาแค่สดๆ ร้อนๆ เรื่องการช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศลิเบีย ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ ปรากฏการณ์ “ปฏิวัติดอกมะลิ” ที่ลุกลามมาจากประเทศตูนิเซีย อียิปต์ และอีกหลายประเทศในกลุ่มอาหรับและแอฟริกาเหนือ ได้ส่งสัญญาณมาเป็นระยะ แต่เหตุใดรัฐบาลไทยและนายอภิสิทธิ์เพิ่งตื่นตัวและช่วยเหลือแรงงานไทยในช่วงปลายที่กระสุนปืนและเปลวไฟได้ลุกลามไปทั่วทั้งลิเบียแล้ว คำตอบคงไม่มีอะไรมากไปกว่าความอืดอาด เชื่องช้า ไม่มีวิสัยทัศน์ในการมองปัญหา จนนำมาซึ่งการปล่อยปละละเลยในเรื่องของการระวังป้องกันและการเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที
พูดถึงเรื่องนี้แล้วพานให้นึกถึงวิกฤตมหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่ถล่มประเทศไทยเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ความรู้สึกช้า มะงุมมะงาหราในการแก้ปัญหาน้ำท่วม เพราะกว่าจะคิดจะทำอะไรได้ ชาวบ้านที่ประสบภัยก็ล่มจม ล้มป่วย และล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่รับรู้ล่วงหน้า และทั้งๆ ที่รู้ว่าหากมีการวางแผน จัดการ และเตรียมพร้อมที่ดีพอ รัฐบาลจะสามารถรับมือได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลความรู้สึกช้ากว่าใครทั้งหมด และกว่าจะตั้งสติได้ หลายอย่างก็ “สายเกินไป”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าปัญหา “ความไม่เอาไหนของรัฐบาล” จะเป็นปัญหาที่สร้างความหนักอกหนักใจให้กับประชาชนคนไทยไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั่นก็หนึ่งล่ะ ถ้ายังจำกันได้ ช่วงที่รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เข้ามารับตำแหน่งใหม่ เคยให้คำมั่นว่าจะแก้ปัญหาไฟใต้ให้ได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่จนเกือบจะสิ้นอายุขัยรัฐบาล ก็ไม่เห็นจะแก้ปัญหาอะไรได้ ซ้ำร้ายกลายเป็น “ลิงแก้แห” ยุ่งเหยิงหนักข้อขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการอุกอาจของโจรใต้ที่บุกเข้าไปปล้นปืนและฆ่าทหารถึงในค่ายทหาร ที่ผ่านมา อย่างนี้เขาเรียกว่าแก้ปัญหาได้ไหม หรือนายกฯ มาร์คจะบอกว่าเป็น “โจรกระจอก!” อีกคน!?
หมดสภาพความเป็นผู้นำ!
ดังนั้น, จึงไม่เป็นการกล่าวเกินไปถ้าจะบอกว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เห็นรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์มีผลงานหรือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากการออกมาแสดงพลังปกป้อง “อำนาจ” และ “เก้าอี้นายกฯ” ที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ออกมาแสดงพลังปกป้องอย่างเต็มที่ จนล่าสุด, ถึงขนาดมีแนวคิดจะตั้งสถานีโทรทัศน์ “ทีวีสีฟ้า” ทีวีของคน ปชป. ขึ้นมา โดยไม่บอกก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายของการจัดทำ “ทีวีสีฟ้า” ขึ้นมาก็เพื่อต้องการให้เป็นสถานีแก้ต่างให้แก่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ รวมถึงเป็นป้อมค่ายเพื่อต่อสู้กับ ASTV ของคนเสื้อเหลือง และ พีทีวี ของคนเสื้อแดง นอกจากสิ่งที่กล่าวมานี้ ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลและนายอภิสิทธิ์จะมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง “ผลงาน” ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงยังไม่เคยมีและไม่เคยพบเคยเจอในรัฐบาลชุดนี้
สุดท้าย, จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถบริหารชาติบ้านเมือง รวมถึงไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างคนที่มีภาวะ “ผู้นำ” ที่มีความกล้าหาญและมีสติปัญญาพึงจะกระทำ หรือพูดให้ชัดเจนขึ้นไปอีกก็คือ รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์หมดปัญญาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี "หมดสภาพความเป็นผู้นำ" โดยสิ้นเชิง!