00 เริ่มแล้วสำหรับมาตรการ “ผลักดัน” คนไทยด้วยกันออกจากพื้นที่ ของรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โดยประกาศ 2 ฉบับ ปิดทางเข้าออกถนนรอบทำเนียบฯ รัฐสภา โดยอ้างตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งตำรวจเริ่มรับลูกนำมาปฏิบัติเป็นวันแรกตั้งแต่เมื่อวานนี้ ( 10 ก.พ.) เป้าหมายก็เพื่อกดดัน ขับไล่พันธมิตรฯ ออกไปจากบริเวณนั้น ไม่ให้คอยมาเป็นก้างขวางคออีกต่อไป
00 เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าถ้าขืนยังปล่อยไว้นาน มันก็ยิ่งเปิดโปงความจริงก็เริ่มออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ความเสียหายก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แถมแผนการต่างๆ ที่เคยวางเอาไว้ดิบดี เป็นขั้นเป็นตอน ก็อาจพังไม่เป็นท่าก็ได้ ที่สำคัญที่เห็นเฉพาะหน้าก่อนก็คือ การโหวตแก้ไขรธน. วาระสาม “สูตรมาร์ค” ในวันนี้( 11 ก.พ. ) อาจมีปัญหาก็เป็นได้
00 สังเกตง่ายๆ ก็คือ การออกมาชุมนุมของพันธมิตรฯเที่ยวนี้ ดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.เป็นต้นมา ตอนแรกมีเสียงด่ากันขรม บอกว่าไปต่อต้าน “พ่อรูปหล่อ” ทำไม เห็นตั้งใจทำงานดี หรือ “ถ้าไม่เอามาร์คแล้วจะเอาใคร” ฯลฯ แต่ปรากฏว่า เมื่อแฉไปเรื่อยๆ มีความจริง หลักฐานทั้งคำพูดและการกระทำให้เห็นจะจะ อารมณ์ก็เริ่มเปลี่ยน ปริมาณคนเข้าร่วม ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ต้องยอมรับความจริงว่า “กระแส” อาจไม่โครมครามเหมือนกับยุคต่อต้าน “แม้ว-สมัคร-สมชาย” แต่เชื่อว่านานไป ความรู้สึกไม่เอา มาร์ค-ปชป. จะต้องเพิ่มมากขึ้น
00 ลองเปรียบเทียบกันก็ได้ว่า การชุมนุมของ “เสื้อแดง” กับ “เสื้อเหลือง” ฝ่ายแรกออกมานานเท่าไร ยิ่งทำให้ รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้คะแนนเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่ พันธมิต รฯออกมามันก็ออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะออกมาด้วยเรื่องส่วนรวม เป็น “วาระแห่งชาติ” ไม่ใช่ผลประโยชน์ของ “สนธิ” หรือ “จำลอง” หรือแกนนำคนอื่น มีแต่เจ็บตัว และรู้ล่วงหน้าว่าการสู้กับ “มารในร่างเทพ” นี่มันยากเลือดตาแทบกระเด็นแค่ไหน แต่ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ค่อยๆนวดไปเรื่อยๆ ดังนั้นนี่คือเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลถึงต้อง “ผลักดัน” ออกไป หรือเรียกอีกอย่างก็คือ “ฆ่าปิดปาก” นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรงานนี้ ถือว่ามาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อกันทั้งสองฝ่ายแล้ว
00 พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า “เอ็มโอยู 43” ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การที่ “หน้าหล่อ” กอดเอาไว้แน่น ก็แค่เพื่อกลบเกลื่อนความผิดตัวเองเท่านั้น บอกว่าป้องกันสงครามไทย-เขมร หรือทำให้เกิดเจรจากันได้ แต่ล่าสุดเป็นไง “ฮุนเซน” มันบอกว่าจะไม่มีการเจรจา “ทวิภาคี” จะลากยูเอ็น และ “นายเก่า” ไอ้ “เศสฝรั่ง” พร้อมทั้งมหาอำนาจที่กระหายน้ำมัน ทั้ง จีน อินเดีย รัสเซีย เข้ามา แถมยูเนสโกก็รับลูก เตรียมส่งตัวแทนเข้ามาตรวจสอบประสาทพระวิหาร ในวันที่ 14 ก.พ.โดยอ้างว่า “มรดกโลก” เสียหาย นาทีนี้ถือว่าไทยยังเสียเปรียบในเกมระหว่างประเทศ มิหนำซ้ำ ทั้งหทาร และชาวบ้านยังตายฟรีเสียอีก !!
00 ขณะเดียวกันจะเรียกว่า “การทูตทารก” ก็ว่าได้ สำหรับ กษิต ภิรมย์ ที่ออกมาด่ากราดไปหมดทั้งพันธมิตรฯ ฮุนเซน-ฮอร์นัมฮง ไล่ดะไปจนถึงมหาอำนาจทั้ง จีน ผรั่งเศส เว้นอย่างเดียวยังไม่เผลอด่าตัวเองเข้าไปด้วย ทำให้ปัญหาเวลานี้ไม่รู้จะไปเจรจากับใครได้แล้ว อย่างไรก็ดีการพูดแบบนี้แม้ว่าจะรู้อะไรลึกๆถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกัมพูชากับมหาอำนาจที่คอยเข้ามาผลประโยชน์ในด้านทรัพยากรในประเทศนั้น หรือที่พูดแบบนั้นเพราะเริ่มรู้ตัวแล้วว่า “ก้นเริ่มลอย” พ้นเก้าอี้เรื่อยๆ เพราะนาทีนี้ถือว่า “เดียวดาย” เต็มทีแล้ว
00 ขณะที่ “หน้าหล่อ” ของเราตอนแรกใครๆ ก็ปรามาสว่าเป็น “เด็กทารก” ทางการเมือง แต่เอาเข้าจริง “โคตรเขี้ยว” เพราะการประกาศ “ยุบสภา” เป็นรอบที่ร้อย เพื่อลดแรงกดดันทางการเมืองมีออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ล่าสุดออกมาบอกว่า อาจยุบสภาภายใน “ครึ่งปีแรก” แต่ทุกครั้งก็ต้องมีเงื่อนไข ซึ่งก็มีอยู่สองสามข้อ ขี้เกียจพูดซ้ำ แต่ขณะเดียวกันตัวเองและปชป. ต้องได้ประโยชน์นั่นคือ ต้องให้ รธน.ผ่านเพื่อใช้กติกาใหม่ในการเลือกตั้ง และอย่างน้อยต้องผ่าน “งบกลางปี” ไปก่อน
00 เมื่อเสียงปี่กลองเริ่มเชิด บรรดา “นักเลือกตั้ง” ก็เริ่มเคลื่อนไหวกันวูบวาบ เห็นได้จาก “พรรคโคราช” ถูกกำหนดชื่อเอาไว้เบื้องต้น แม้ว่าในความเป็นจริงในข้อสรุป หากตั้งพรรคจริงคงต้องใช้ชื่ออื่น คงไม่จำกัดเฉพาะโคราชจังหวัดเดียวแน่นอน แต่เป้าหมายเวลานี้คือต้องการสร้างกระแส “โคราชฟีเวอร์” เพราะถ้านับจำนวนแล้วมีจำนวน ส.ส.ทั้งหมดรองแค่กรุงเทพฯเท่านั้น น้อยเสียเมื่อไหร่ แต่เอาเป็นว่า “3พี+1ส.” คือ พินิจ-ปรีชา-ไพโรจน์-สุวัจน์ รวมหัวกันตั้งพรรคแน่ และเที่ยวหน้ามีลุ้นให้เป็น “พรรคขนาดกลาง” เป็นรัฐบาลเท่านั้น !!
00 เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าถ้าขืนยังปล่อยไว้นาน มันก็ยิ่งเปิดโปงความจริงก็เริ่มออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ความเสียหายก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แถมแผนการต่างๆ ที่เคยวางเอาไว้ดิบดี เป็นขั้นเป็นตอน ก็อาจพังไม่เป็นท่าก็ได้ ที่สำคัญที่เห็นเฉพาะหน้าก่อนก็คือ การโหวตแก้ไขรธน. วาระสาม “สูตรมาร์ค” ในวันนี้( 11 ก.พ. ) อาจมีปัญหาก็เป็นได้
00 สังเกตง่ายๆ ก็คือ การออกมาชุมนุมของพันธมิตรฯเที่ยวนี้ ดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.เป็นต้นมา ตอนแรกมีเสียงด่ากันขรม บอกว่าไปต่อต้าน “พ่อรูปหล่อ” ทำไม เห็นตั้งใจทำงานดี หรือ “ถ้าไม่เอามาร์คแล้วจะเอาใคร” ฯลฯ แต่ปรากฏว่า เมื่อแฉไปเรื่อยๆ มีความจริง หลักฐานทั้งคำพูดและการกระทำให้เห็นจะจะ อารมณ์ก็เริ่มเปลี่ยน ปริมาณคนเข้าร่วม ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ต้องยอมรับความจริงว่า “กระแส” อาจไม่โครมครามเหมือนกับยุคต่อต้าน “แม้ว-สมัคร-สมชาย” แต่เชื่อว่านานไป ความรู้สึกไม่เอา มาร์ค-ปชป. จะต้องเพิ่มมากขึ้น
00 ลองเปรียบเทียบกันก็ได้ว่า การชุมนุมของ “เสื้อแดง” กับ “เสื้อเหลือง” ฝ่ายแรกออกมานานเท่าไร ยิ่งทำให้ รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้คะแนนเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่ พันธมิต รฯออกมามันก็ออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะออกมาด้วยเรื่องส่วนรวม เป็น “วาระแห่งชาติ” ไม่ใช่ผลประโยชน์ของ “สนธิ” หรือ “จำลอง” หรือแกนนำคนอื่น มีแต่เจ็บตัว และรู้ล่วงหน้าว่าการสู้กับ “มารในร่างเทพ” นี่มันยากเลือดตาแทบกระเด็นแค่ไหน แต่ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ค่อยๆนวดไปเรื่อยๆ ดังนั้นนี่คือเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลถึงต้อง “ผลักดัน” ออกไป หรือเรียกอีกอย่างก็คือ “ฆ่าปิดปาก” นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรงานนี้ ถือว่ามาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อกันทั้งสองฝ่ายแล้ว
00 พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า “เอ็มโอยู 43” ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การที่ “หน้าหล่อ” กอดเอาไว้แน่น ก็แค่เพื่อกลบเกลื่อนความผิดตัวเองเท่านั้น บอกว่าป้องกันสงครามไทย-เขมร หรือทำให้เกิดเจรจากันได้ แต่ล่าสุดเป็นไง “ฮุนเซน” มันบอกว่าจะไม่มีการเจรจา “ทวิภาคี” จะลากยูเอ็น และ “นายเก่า” ไอ้ “เศสฝรั่ง” พร้อมทั้งมหาอำนาจที่กระหายน้ำมัน ทั้ง จีน อินเดีย รัสเซีย เข้ามา แถมยูเนสโกก็รับลูก เตรียมส่งตัวแทนเข้ามาตรวจสอบประสาทพระวิหาร ในวันที่ 14 ก.พ.โดยอ้างว่า “มรดกโลก” เสียหาย นาทีนี้ถือว่าไทยยังเสียเปรียบในเกมระหว่างประเทศ มิหนำซ้ำ ทั้งหทาร และชาวบ้านยังตายฟรีเสียอีก !!
00 ขณะเดียวกันจะเรียกว่า “การทูตทารก” ก็ว่าได้ สำหรับ กษิต ภิรมย์ ที่ออกมาด่ากราดไปหมดทั้งพันธมิตรฯ ฮุนเซน-ฮอร์นัมฮง ไล่ดะไปจนถึงมหาอำนาจทั้ง จีน ผรั่งเศส เว้นอย่างเดียวยังไม่เผลอด่าตัวเองเข้าไปด้วย ทำให้ปัญหาเวลานี้ไม่รู้จะไปเจรจากับใครได้แล้ว อย่างไรก็ดีการพูดแบบนี้แม้ว่าจะรู้อะไรลึกๆถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกัมพูชากับมหาอำนาจที่คอยเข้ามาผลประโยชน์ในด้านทรัพยากรในประเทศนั้น หรือที่พูดแบบนั้นเพราะเริ่มรู้ตัวแล้วว่า “ก้นเริ่มลอย” พ้นเก้าอี้เรื่อยๆ เพราะนาทีนี้ถือว่า “เดียวดาย” เต็มทีแล้ว
00 ขณะที่ “หน้าหล่อ” ของเราตอนแรกใครๆ ก็ปรามาสว่าเป็น “เด็กทารก” ทางการเมือง แต่เอาเข้าจริง “โคตรเขี้ยว” เพราะการประกาศ “ยุบสภา” เป็นรอบที่ร้อย เพื่อลดแรงกดดันทางการเมืองมีออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ล่าสุดออกมาบอกว่า อาจยุบสภาภายใน “ครึ่งปีแรก” แต่ทุกครั้งก็ต้องมีเงื่อนไข ซึ่งก็มีอยู่สองสามข้อ ขี้เกียจพูดซ้ำ แต่ขณะเดียวกันตัวเองและปชป. ต้องได้ประโยชน์นั่นคือ ต้องให้ รธน.ผ่านเพื่อใช้กติกาใหม่ในการเลือกตั้ง และอย่างน้อยต้องผ่าน “งบกลางปี” ไปก่อน
00 เมื่อเสียงปี่กลองเริ่มเชิด บรรดา “นักเลือกตั้ง” ก็เริ่มเคลื่อนไหวกันวูบวาบ เห็นได้จาก “พรรคโคราช” ถูกกำหนดชื่อเอาไว้เบื้องต้น แม้ว่าในความเป็นจริงในข้อสรุป หากตั้งพรรคจริงคงต้องใช้ชื่ออื่น คงไม่จำกัดเฉพาะโคราชจังหวัดเดียวแน่นอน แต่เป้าหมายเวลานี้คือต้องการสร้างกระแส “โคราชฟีเวอร์” เพราะถ้านับจำนวนแล้วมีจำนวน ส.ส.ทั้งหมดรองแค่กรุงเทพฯเท่านั้น น้อยเสียเมื่อไหร่ แต่เอาเป็นว่า “3พี+1ส.” คือ พินิจ-ปรีชา-ไพโรจน์-สุวัจน์ รวมหัวกันตั้งพรรคแน่ และเที่ยวหน้ามีลุ้นให้เป็น “พรรคขนาดกลาง” เป็นรัฐบาลเท่านั้น !!