“มาร์ค” ชี้ ไม่จำเป็นฝรั่งเศสขอจุ้น ชู ยูเอ็นอยากให้ 2 ชาติถกกัน ย้ำ ทบทวนขึ้นทะเบียนพระวิหาร หากปลดชนวนได้ก็จบ ส่ง “สุวิทย์-อัษฎา” แจงยูเนสโก ชี้ “กษิต” แฉตามรายงาน เชื่อ เขมรยกระดับ เพราะโดนกดดันจัดการพื้นที่ ยันแฉภาพพระวิหารเป็นประโยชน์ ถ้ายูเนสโกไม่ฟังค่อยว่ากัน
วันนี้ (10 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่เจรจากับไทย ว่า ตอนนี้เราได้แสดงท่าทีชัดเจน และข้อเท็จจริงกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และตนมั่นใจว่า ทุกองค์กรที่มาติดตาม ก็สนับสนุนให้มีการเจรจากัน ส่วนกรณีที่ประเทศฝรั่งเศสจะมาเป็นตัวกลางในการเจรจานั้น คงยังไม่จำเป็น เพราะทางอาเซียนได้ทำหน้าที่ในการสนับสนุนให้มีการเจรจา และจากที่ได้ฟัง นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ตนเองมั่นใจว่า สหประชาชาติ ก็ต้องการให้มีการเจรจากัน
เมื่อถามว่า การเสนอตัวของฝรั่งเศสในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนหรือไม่ว่า ประเทศมหาอำนาจต้องการมีบทบาทในการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร เพื่อประโยชน์ของตัวเอง จนมีปัญหา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าการเสนอตัวเข้ามาของฝรั่งเศสต้องการลักษณะอย่างไร แต่ถ้าต้องการแสดงความปรารถนาดี และให้มีการพูดคุยกันก็ไม่เป็นไร เมื่อถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะต่างชาติต้องการเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ จึงทำให้เรื่องบานปลาย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ที่ได้บอกกับทางสหประชาชาติให้ทบทวนดูปัญหาที่เกิดขึ้น และเชื่อว่า เหตุการณ์ และข้อเท็จจริงที่เสนอไปน่าจะทำให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจดีขึ้น
เมื่อถามว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งข้อสังเกต การใช้อาวุธของทางกัมพูชา น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับหลายประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยมีรูปถ่าย และจะมีการติดตามในเรื่องนี้ต่อ ซึ่งในตนสัปดาห์นี้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และ นายอัษฎา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ก็จะเดินทางไปยังที่กรุงปารีส เพื่อที่จะไปชี้แจงคณะกรรมการยูเนสโก
เมื่อถามว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่ นายกษิต ระบุว่า มีประเทศมหาอำนาจเข้ามาหนุนหลัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ ถูกสอบถามเกี่ยวกับท่าทีของประเทศต่างๆ ที่อยู่ในคณะมนตรีความมั่นคง โดยได้บอกว่า จากรายงานและที่วิเคราะห์จากที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่ไทยก็เดินหน้าทำความเข้าใจกับทุกประเทศ
เมื่อถามว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน ออกมาระบุว่า ไม่ได้เป็นการปะทะ แต่เป็นการทำสงคราม และจะไม่คุยกับประเทศไทยอีกแล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงกับสิ่งที่ตนเองได้พูดกับเลขาฯ สหประชาชาติ ว่า กัมพูชาต้องการยกระดับเรื่องดังกล่าว ทั้งที่จริงแล้วไม่ควรเกิดขึ้น และก็เกิดขึ้น เพราะมีแรงกดดันจากการเข้ามาจัดการพื้นที่ ซึ่งตนเองได้ชี้แจงในสภาไปแล้ว เมื่อถามว่า กัมพูชาระบุว่าต้องมีการให้ประเทศที่ 3 เข้า มาเจรจากับไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นความพยายามของทางกัมพูชา แต่เชื่อว่า หากประเทศต่างๆ เห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ก็จะบอกให้กลับมาคุยกันระหว่าง 2 ประเทศ เหมือนเดิม
เมื่อถามว่า สิ่งที่จะผูกมัดให้กัมพูชาเข้าสู่ระบบทวิภาคี อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าสิ่งที่จะทำได้ คือ เมื่อประชาคมโลกได้เห็นข้อเท็จจริงทั้งหมด และเห็นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีประเทศที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นเรื่องที่ปัญหาจะจบได้ในระดับทวิภาคี และตนคิดว่าถ้าช่องทางที่กัมพูชาพยายามที่จะฟ้องต่างประเทศ ทั้งที่ความเป็นจริงไทยไม่ได้เป็นฝ่ายดำเนินการก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏประเทศที่กัมพูชาไปฟ้องก็จะบอกเอง ว่า เรื่องดังกล่าวต้องจัดการกันเอง และอยู่ในอาเซียนด้วยกัน เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดอาเซียนก็จะมีบทบาทในการสนับสนุนให้มีการเจรจา อย่างที่อาเซียนได้แถลงไปแล้ว
เมื่อถามว่า จะมีการชี้แจงกับประเทศฝรั่งเศสที่เสนอตัวเข้ามาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ทำความเข้าใจกับทุกประเทศอยู่แล้ว และตนเห็นว่า การชี้แจงในการประชุมสภาก็เป็นการยืนยันชัดเจนว่าไม่เฉพาะฝ่ายบริหารของไทย แต่ฝ่ายนิติบัญญัติของไทยก็สนับสนุนให้แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และเห็นได้ชัดว่าไทยไม่มีความคิดหรือเจตนาที่จะไปรุกรานใคร แต่มีความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตยของไทย ซึ่งการดำเนินงานในระดับทวิภาตี ที่ต้องทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ทุกฝ่ายก็จะเดินหน้าในการแก้ไขปัญหา
เมื่อถามว่า มองดูแล้วว่าจะเป็นปัญหายืดเยื้อ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่ประชาคมโลกที่จะให้เห็นข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วปลดชนวนที่เป็นแรงกดดัน ซึ่งชนวนสำคัญคือเรื่องมรดกโลก
“ถ้ายูเนสโกปลดชนวนตรงนี้ ผมเชื่อว่า 2 ฝ่ายจะคุยกันได้ และไม่มีแรงกดดันเพราะอย่างไรผลประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ ในการให้ประชาชนแนวชายแดนอยู่อย่างสงบสุข ผมมั่นใจว่าทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องการแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในเดือนมิ.ย. แต่ควรจะได้มีการกระหนักถึงปัญหาที่ถูกสร้างขึ้นมา และมีบทบาทแก้ปัญหานั้น ตนเข้าใจว่าเลขาธิการสหประชาชาติได้พูดกับทางยูเนสโกบางแล้ว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า จะทำอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะใช้วิธีไหนก็ได้ในการปลดล็อกแรงกดดันเกี่ยวกับการเสนอแผนการบริหารจัดการในเดือน มิ.ย.ต่อข้อถามว่า การส่งภาพถ่ายที่ทางกัมพูชายึดปราสาทพระวิหารเป็นฐานโจมตีทางทหาร จะเป็นประโยชน์ต่อไปมากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นประโยชน์ เพราะคิดว่าการที่มีกองกำลังในปราสาทพระวิหารเป็นการยืนยันชัดแจ้งว่าไม่ได้ เป็นการดำเนินการตามเจตนารมณ์ความเป็นมรดกโลกแน่นอน
เมื่อถามว่า ทางประเทศฝรั่งเศสต้องการเป็นตัวกลางในการเจรจาโดยจะนำแผนที่ฉบับที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้จัดทำมาใช้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันไม่เกี่ยว แผนที่ไม่ได้มีประเด็นเลย ฝรั่งเศสจะมาบอกให้เราทำอะไรได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของเราที่ต้องแก้ไขปัญหา ความจริงฝรั่งเศส ถ้าอยากจะช่วยก็ขอให้ไปบอกให้ยูเนสโก เพราะยูเนสโก มีสำนักงานอยู่ที่ปารีส เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรให้เป็นแค่ปัญหาของระหว่าง 2 ประเทศ ไม่ให้ประเทศอื่นๆเข้ามาหาผลประโยชน์ตรงส่วนนี้จะทำให้ลุกลามมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังมั่นใจว่า อาเซียนกับสหประชาชาติ ได้แสดงท่าทีให้มีการเจรจา เดินหน้าสนับสนุนเจรจาต่อไป เมื่อถามว่า ถ้ายูเนสโกไม่ฟังเท่ากับเป็นเครื่องมือการล่าผลประโยชน์ของประเทศอื่นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องมีการดำเนินการต่อไป