สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโช ฮุนเซน ซึ่งเชื่อกันในประเทศไทยว่า เป็นนักการเมืองที่เก๋า ชั้นเชิงแพรวพราว เป็นมือวางคนหนึ่งในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ต้องมาตายน้ำตื้น เสียค่าโง่อีกครั้งหนึ่งให้กับ ผู้นำไทยที่เชื่อกันในประเทศไทยว่า อ่อนแอ ไร้ความสามารถ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร อำเภอ กันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแตวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่มีรายงานที่ชัดแจนในเรื่องความสูญเสียของฝ่ายกัมพูชา มีแต่รายงานที่ไม่มีใครยืนยันว่า ฝ่ายกัมพูชานั้น เสียหายหนัก ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ส่วนฝ่ายไทยมีทหารตาย 1 พลเรือน 1 และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
ที่เสียหายนอกเหนือไปจากนี้ คือ ความเดือดร้อนของชาวบ้าน ในพื้นที่ที่ต้องอกสั่น ขวัญหาย ต้องอพยพออกจากบ้านพักไปอยู้ในที่ปลอดภัย เสียเวลา เสียโอกาสทำมาหากิน เด็กๆ ไม่ได้รียนหนังสือ
น่าสังเกตว่า การศึกครั้งนี้ มีการเผยแพร่ภาพอาวุธ กำลังทหารจากทางฝ่ายกัมพุชาผ่านสื่อ แต่ทางฝ่ายไทยนั้น มีแต่ภาพบ้านเรือนราษฎร ที่เสียหายจากการโจมตีของกัมพุชา ประชาชนที่ต้องอพยพหนีภัย และภาพทหารที่บาดเจ็บ ไม่มีภาพแสนยานุภาพที่ชวนให้เกรงขาม เหมือนทางฝ่ายกัมพูชา
ใครแพ้ ใครชนะ เป็นเรื่องที่รู้กันในวงในของผู้คุมกองกำลังทั้งสองฝ่าย และเป็นธรรมเนียมของผู้ชนะ ที่ดี ที่จะไม่ป่าวประกาศ เหยียบย้ำซ้ำเติมอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ผลของการปะทะที่ค่อนข้างชัดเจนข้อหนึ่งคือ โอกาสที่กัมพูชา จะผลัดกันใหคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารโลก เป็นมรดกโลกอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ในการประชุมที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ที่บาห์เรน ถือว่า ปิดประตูลงโดยสิ้นเชิง ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ หลังจากล้มเหลวมาเมื่อปีที่แล้ว ในการประชุมที่บราซิล เพราะประเทศไทยคัดค้าน
ฮุนเซ็น ต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลก เพียงฝ่ายเดียวตั้งแต่แต่ พ.ศ. 2548 แต่ไทยคัดค้านมาโดยตลอด เพราะฮุนเซ็นจะผนวนกเอาพื้นที่รอบๆปราสาท ซึ่งยังมีข้อพิพาทอยู่ว่า เป็นดินแดนของใครเข้าไปด้วย ไทยเสนอทางออกให้ขึ้นทะเบียนร่วม แต่กัมพูชาปฏิเสธ จนกระทั่งถึงปี 2551 ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในแถลงการณ์ยินยอมให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว และยอมยกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบๆ ที่ยังเป็นข้อพิพาท ให้ไปอยู่ใน "แผนบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์" ซึ่งเท่ากับเป็นการยกดินแดนให้กัมพูชาไปโดยปริยาย
เงื่อนไขข้อหนึ่ง ในการให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนประสาพระวิหารโลกคือ กัมพูชาต้องเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ ต่อที่ประชุมมรดกโลกในปี 2553 การเป็นมรดกโลกจึงจะสมบูรณ์ กัมพูชาพยายามเสนอแผนเข้าที่ประชุมที่บระเทศบราซิล เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่ถูกไทยคัคด้าน โดยฝ่ายไทย ได้ให้ข้อมูลกับกรรมการมรดกโลกบางส่วนว่า พื้นที่รอบๆประสาทพระวิหารนั้น ยังมีข้อพิพาทกัน มีการตรึงกำลังทหารทั้งสองฝ่ายอยู่ แล้วจะเป็นมรดกโลกได้อย่างไร ทำให้ คณะกรรมการมรดกโลก ตัดสินใจยกเลิกวาระประชุมเรื่อง การพิจารณาแผนบริหารพื้นที่รอบๆปราสาทพระวิหาร โดยเลื่อนมาไว้ในการประชุม ปีนี้แทน
การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 35 ในเดือนมิถุนายนนี้ คณะกรรมการมรดกโลก คงไม่ต้องรอให้ฝ่ายไทย ไปให้ข้อมูลว่า พื้นที่นี้ยังมีข้อพิพาทอยู่ ข่าวการปะทะกันด้วยกำลังทหาร รอบๆปราสาทพระวิหาร ที่ออกไปทั่วโลก คงทำให้คณะกรรมการมรดกโลกคิดออกเองว่า จะทำอย่างไรกับวาระการประชุมพิจารณา แผนบริหารพื้นที่รอบๆประสาทพระวิหาร
การเปิดสงครามยั่วยุของฮุนเซ็น มีเป้าหมายเพื่อ ยกระดับ ปัญหาข้อพิพาทชายแดน ไทย-กัมพูชา ขึ้นไปอยู่ในเวทีพหุภาคี จะเป็น ยูเอ็น หรืออาเซี่ยนก็ได้ เพราะเขารู้ดีว่า เวทีการประชุมมรดกโลกในปีนี้ ไทยจะต้องคัดค้านแน่ ดังนั้น จึงต้องการไปเล่นในเวทีอื่น โดยดึงชาติอื่นมาเป็นกรรมการ ซึ่งฮุนเซ็น หวังว่า กัมพูชาจะได้เปรียบ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เป็นข้อแก้ตัวที่จะไปอ้างกับคนกัมพูชา สำหรับความล้มเหลวที่ไม่สามารถผลักดันให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้อย่างสมบูรณ์ อย่างที่โม้กับประชาชนชาวกัมพูชาไว้เมื่อ 3 ปีก่อน
ดังนั้น ทันที่ทีสิ้นเสียงปืน นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพุชา จึงยื่นหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เรียกร้องให้เช้ามาแก้ไขปัญหาข้อพิพาท โดยอ้างว่า ไทยรังแก และเมื่อส้นสุดการปะทะครั้งต่อมา ฮุนเซ็น ก็ทำในสิ่งที่โลกต้องตะลึงว่า คิดได้อย่างไร คือ การเรียกร้องให้สหประชาชาติ ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามารักษาความสงบในพื้นที่พิพาท เพราะถูกไทยรุกราน
ดูไปแล้ว ก็เป็นวิธีเดียวกับยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ ของ นช. ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อสู้กันตัวต่อตัว แล้วแพ้ ก็วิ่งไปดึงฝรั่งเข้ามาช่วย โดยแห่ศพคนเสื้อแดง ไปล่อให้ยูเอ็น และศาลอาญาระหว่างประเทศ ยื่นมือเข้ามาแทรกแซง แต่ก็ล้มเหลว เพราะเป็นข้อเรียกร้อง ที่ขัดกับกติกา หลักปฏิบัติของยูเอ็น และศาลอาญาระหว่างประเทศ
ในที่สุด นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ก็ต้องใช้ลูกมั่ว หลอกคนเสื้อแดง ว่า นายอภิสิทธิ์ มีสัญชาติอังกฤษ อังกฤษ ให้สัตยาบันผูกพันต่อธรรมนุญกรุงโรม ว่าด้วย ศาลอาญาระหว่างประเทศ ดังนั้น จึงเอานายอภิสิทธิ์ ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ซ.ต.พ.
แผนโลกล้อมประเทศไทยของฮุนเซ็น ในที่สุดแล้ว ก็คงเป็นเพียง การหลอกตัวเอง และหลอกคนกัมพูชา เพราะการยิงกันไป ยิงกันมาระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชานั้น เป็นเพียงการกระทบกระทั่งกันระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรกับ สันติภาพ ความมั่นคงของโลก เหมือนเกาหลีเหนือรบกับเกาหลีใต้ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ยูเอ็นจะต้องเข้ามาแทรกแซง
ถ้อยแถลงของนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ รัฐบาลสหรัฐฯ และหลายประเทศในอาเซี่ยน ที่แสดงความเป็นกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดทน อดกลั้นนั้น เป็นแบบพิธีทางการฑูตทั่วไป ที่เป็นการแสดงท่าทีของประชาคมนานาชาติหลังจากได้ดู ภาพที่เผยแพร่ผ่านสื่อทั้งสองฝ่ายแล้วว่า จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน