xs
xsm
sm
md
lg

“อภิสิทธิ์” แค่ปกป้องเอ็มโอยู 43 ไม่ใช่ปกป้องอธิปไตย!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งที่มีพลเรือนของไทย และชุมชนไทยบริเวณตามแนวชายแดนตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของทหารกัมพูชา จนมีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก อีกทั้งทรัพย์สินบ้านเมืองของราษฎร โรงเรียน สถานที่ราชการได้รับความเสียหายหลายแห่ง

ความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างจงใจจากฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่เริ่มโจมตีชายแดนไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงเช้ามืดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชามีการเตรียมการสำหรับมุ่งโจมตีเป้าหมายทางพลเรือนอย่างชัดเจน

ขณะเดียวกัน ระหว่างการโจมตีก็มีการทำหนังสือฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันทีกล่าวหาว่าไทยรุกราน เป้าหมายก็เพื่อให้ นานาชาติเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว ซึ่งไทยในฐานะประเทศที่มีศักยภาพเหนือกว่าทุกด้านจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเกมการเมืองระหว่างประเทศ และการเมืองในประเทศของ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ที่รู้จักใช้ประโยชน์

ตรงกันข้ามกับฝ่ายรัฐบาลไทย สิ่งที่ทำก็คือการตั้งรับ และกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเองด้วยการดึงดันอ้างผลดีของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (เอ็มโอยู 43) ว่าถ้าไม่มีเอ็มโอยูดังกล่าวจะทำให้การปะทะตลอดแนวชายแดนรุนแรงมากกว่านี้ และทำให้มีช่องทางในการเจรจาระหว่างสองฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบจนกว่าจะมีการเจรจาปักปันเขตแดนให้เรียบร้อยเสียก่อน

แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้กล่าวถึงก็คือที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงดังกล่าวมาตลอด อีกทั้งยังได้รุกคืบเข้ามาตั้งรกราก สร้างชุมชน ก่อสร้างอาคารถาวรเพื่อเป็นยุทธศาสตร์ในการอ้างอธิปไตยในอนาคต สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร โดยเฉพาะวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเป็นจุดที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีไทยก่อน ก็มีการชักธงชาติเอาไว้นานนับปี หลังจากรุกล้ำเข้ามาก่อสร้างวัดแก้วฯ เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2541

แม้กรณีการสร้างวัดดังกล่าว ฝ่ายรัฐบาล อภิสิทธิ์ และฝ่ายผู้นำทหารบางคนมักจะอ้างว่าสร้างมาก่อน มีเอ็มโอยู 43 แต่คำถามแรกที่มีไปถึงฝ่ายทหารก็คือทำไมปล่อยให้สร้างล้ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการขัดขวางให้เด็ดขาด เพราะตามคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 ยกเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาเท่านั้น ส่วนพื้นที่โดยรอบยังเป็นของไทย

สำหรับคำถามที่มีไปถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็คือ หากไม่กล่าวถึงวัดแก้วฯ ก็ได้ เพราะยอมรับว่าสร้างมาก่อนมีเอ็มโอยู 43 แต่เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการก่อสร้างถนนขึ้นมาบริเวณนั้นเพิ่มเติมทำไมไม่มีการยับยั้ง ทำไมปล่อยปละละเลย เพราะนี่คือการละเมิดข้อตกลงที่ห้ามทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่จนกว่าจะมีการปักปันเขตแดนให้เรียบร้อย และที่สำคัญก็คือในการยิงถล่มเข้ามาฝ่ายกัมพูชาก็ใช้พื้นที่ในบริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นฝั่งไทย

ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดการสู้รบกันระหว่างสองฝ่ายตั้งแต่เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เปิดการเจรจา จนมีข้อตกลง 4 ข้อ นั่นคือ เน้นเจรจาด้วยสันติ แต่หลังจากนั้นก็เกิดการปะทะโดยฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงถล่มเข้าใส่ทหารไทยขึ้นมาอีก จนเปิดการสู้รบในรอบที่ 4 และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เจตนาของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ หากพิจารณาตามสถานการณ์แล้วเชื่อว่ามุ่งหมายประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนที่เคยรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยมาแต่เดิม เพราะจุดที่ยิงถล่มเข้ามาอยู่ในรัศมีประมาณ 10 กิโลเมตร อันเป็นพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่อยู่โดยรอบปราสาทพระวิหาร พร้อมกับการอ้างอัตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุอยู่ในเอ็มโอยู 43 ขึ้นมายืนยัน ซึ่งจะมีผลต่อเงื่อนไขในการใช้พื้นที่บริหารจัดการตามเงื่อนไขของคณะกรรมการมรโลกของยูเนสโก

นอกเหนือจากนี้ หลังการปะทะฝ่ายกัมพูชาได้รีบทำหนังสือไปฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันที ขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยนายกฯ ฮุนเซน ก็ได้เชิญทูตของประเทศที่เป็นประเทศสมาชิกถาวร 5 ชาติ และประเทศสมทบที่ประจำอยู่ในพนมเปญเข้ารับฟังการชี้แจง ซึ่งจะเห็นได้ว่านี่คือแผนการของฮุนเซนที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า สำหรับดึงเอานานาชาติเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงฮุบดินแดนไทย ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลไทย ได้แต่อ้างเอ็มโอยู 43 ที่เน้นการเจรจา ยึดสันติ เกรงกระทบความสัมพันธ์ทวิภาคี เกรงเสียภาพลักษณ์ในต่างประเทศ รักษาหน้าตาของผู้นำประเทศเท่านั้น

เพราะทั้งก่อนและหลังการที่ฝ่ายโจมตีไทยแล้วเกิดการตอบโต้ปะทะทั้ง 4 ครั้ง นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้แต่กอดเอ็มโอยู 43 เอาไว้แน่น ยังอ้างเสมือนว่านี่คือคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ในการป้องกันสงคราม ทำให้เกิดการเจรจาด้วยสันติ แต่ในความเป็นจริงมันตรงกันข้าม เอ็มโอยูถูกละเมิดมาตลอด โดยที่รัฐบาลไทยไม่มีน้ำยาหาทางป้องกันอะไรได้ ดังนั้น สิ่งที่ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ กำลังทำอยู่ในเวลานี้คือการปกป้องเอ็มโอยูต่างหาก ไม่ใช่ปกป้องอธิปไตยของชาติ!!
กำลังโหลดความคิดเห็น