xs
xsm
sm
md
lg

จีนสร้างชาติด้วยการสร้างพรรค สิงคโปร์สร้างชาติด้วยการสร้างทีม ไทยจะสร้างชาติด้วยอะไร ? (6)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ด้วยเหตุนี้ ในการสร้างพรรคของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน กลุ่มผู้นำพรรคในแต่ละยุค โดยเฉพาะในยุคหลังๆ จึงให้ความเป็นสำคัญสูงสุดที่การสร้างพรรคทางความคิด เพื่อเป็นเกราะป้องกันมิให้พรรคต้องถลำลงไปในท้องร่องทั้ง “ซ้าย” และ “ขวา” ซึ่งเมื่อความคิดถูกต้องแล้ว ก็จะเป็นหลักประกันพื้นฐานที่สุด ให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่อง และอย่างสม่ำเสมอ สามารถแก้ไขปัญหายากๆ และประสบความสำเร็จได้ในทุกขั้นตอน

ปัจจุบัน พรรคและรัฐบาลจีน ได้กำหนดให้มีการอบรมปลูกฝังทัศนะ “สือซื่อฉิวซื่อ” กันอย่างเป็นทางการในทุกระดับขั้นของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอบรมสมาชิกพรรคและผู้ปฏิบัติงานพรรคทั่วประเทศ มีการณรงค์ยกระดับทักษะการใช้ทัศนะดังกล่าวประยุกต์เข้ากับการทำงานจริง โดยวัดผลจากการปฏิบัติงานที่เป็นจริง เพื่อย้ำเน้นถึงสัจธรรมที่ว่า การที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจะสามารถบริหารประเทศได้ดีนั้น จำเป็นที่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีน จะต้องเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นสังคมนิยมแบบจีน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตน ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการปฏิบัติที่เป็นจริงของตน

พวกเขาส่งเสริมให้มีการปฏิบัติที่ยึดเอาความเป็นจริงเป็นตัวตั้ง และถือเอาผลของการปฏิบัติมาเป็นตัววัดในความถูกต้องของความคิดเป็นสำคัญ ด้วยหลัก “สือซื่อฉิวซื่อ” ที่ “ไม่ยึดตำรา และไม่ยึดเบื้องบน (ตัวบุคคล) ยึดแต่ความเป็นจริง”

ในห้วงของการปฏิวัติ กว่าพรรคจีนจะสรุปหลักการ “สือซื่อฉิวซื่อ” ได้อย่างชัดเจน ก็ต้องผ่านกระบวนการ “ปฏิบัติ-รับรู้-ปฏิบัติ” อย่างต่อเนื่องแบบผิดๆ ถูกๆ ถึงเกือบสองทศวรรษ (1921-1937) อันเป็นกระบวนการที่ค่อยๆ ละจากการถือเอาตำราเป็นตัวตั้ง มาเป็นการถือเอาการปฏิบัติเป็นตัวตั้ง กระทั่งได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนในเรื่อง “วิธีการ” ว่าในการเข้าถึงความเป็นจริงหรือกฎเกณฑ์การปฏิวัติประเทศจีนนั้น พรรคจีนจะต้องยืนหยัดปฏิบัติในสิ่งที่เป็นไปได้จริง ตามสภาวะเป็นจริงของประเทศจีนอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งเกิดภาวะรับรู้ที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงของสังคมจีนทีละด้านๆ ทีละขั้นๆ และเชื่อมโยงกันเข้าเป็นองค์ความรู้ที่มีความเป็นบูรณาการในระดับองค์รวม ซึ่งเป็นการยกระดับทางคุณภาพใหม่ ให้เป็นการรับรู้ในระดับจินตภาพ ที่สะท้อนถึงกฎเกณฑ์การปฏิวัติของสังคมจีนอย่างรอบด้านจริงๆ

อีกนัยหนึ่ง ด้วยการปฏิบัติที่เริ่มจากความเป็นจริงเท่านั้น จึงจะนำไปสู่การเกิดความรับรู้ในกฎเกณฑ์การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงของประเทศจีน ว่ามันเป็นอย่างไร และจะต้องทำกันอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จได้จริง

บรรลุสู่สภาวะแห่ง “อิสรภาพทางปัญญา” อย่างใหญ่หลวง

นั่นคือที่มาของทฤษฎี “ลูกไฟน้อยๆ ลามทุ่งได้” “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน” บนฐานการเคลื่อนไหวจัดตั้งชาวนา ต่อสู้โค่นล้มเจ้าที่ดิน ดำเนินการปฏิวัติที่ดิน และก่อตั้งกองทัพลูกหลานชาวนาเป็นกองทัพแดงที่อยู่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์โดยตรง ดำเนินสงครามประชาชน ด้วยยุทธศาสตร์ “ชนบทล้อมเมือง” เพื่อยึดเมืองในที่สุด

พรรคจีนโดยเหมาเจ๋อตง ซึ่งเป็นผู้นำเสนอแนวทางการปฏิวัติด้วยสงครามประชาชน แทนการลุกขึ้นสู้ในเมือง ได้วิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดของพรรค อันเกิดจากลัทธิอัตวิสัยมาโดยตลอดในบทเขียนสำคัญๆ ของเขา จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1937 ก็ได้สรุปออกมาเป็นหลักการชัดเจนว่า แก่นแท้ของหลักวัตถุนิยมวิภาษของคาร์ล มาร์กซ์ ก็คือ การ “หาสัจจะจากความเป็นจริง” “ทุกอย่างต้องเริ่มจากความเป็นจริง” โดยสรุปไว้อย่างเป็นระบบในบทเขียน “ว่าด้วยการปฏิบัติ” และ “ว่าด้วยความขัดแย้ง” ซึ่งเป็นบทเขียนสำคัญทางด้านปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ที่พัฒนาต่อยอดจากคาร์ล มาร์กซ์ และวี.ไอ.เลนิน

ทั้งนี้ เพื่อให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนหลุดพ้นจากลัทธิอัตวิสัยทั้งหลายทั้งปวง สร้างความพร้อมทางความคิดให้แก่สมาชิกและผู้ปฏิบัติงานพรรค สำหรับรับมือกับการต่อสู้อันใหญ่หลวงข้างหน้า ซึ่งก็คือการต่อต้านการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น (ระหว่างปี ค.ศ. 1937-1945)

ซึ่งพรรคจีนสรุปว่า ชัยชนะเหนือกองทัพรุกรานของญี่ปุ่น และต่อมาเหนือกองทัพมหึมาของเจียงไคเช็ค ปลดปล่อยผืนแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ ต่างมีจุดเริ่มต้นที่ความถูกต้องทางความคิดของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนทั้งสิ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น