xs
xsm
sm
md
lg

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไทยอพยพเครียด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เป็นเวลา 5 วัน 5 คืน แล้วที่ชาวบ้านตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในต.เสาธงชัย และ ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องทิ้งบ้านเรือนมาอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพ และนับวันผู้อพยพจะเพิ่มจำนวนขึ้นนับหมื่น เพราะหมู่บ้านตามตะเข็บชายแดนแถบอ.ภูสิงห์ อ.ขุนหาญ ที่อกสั่นขวัญแขวนกับเหตุการณ์ปะทะหนักเมื่อคืนวันที่ 6 ก.พ. ต่างหอบลูกจูงหลานมาพักพิงอยู่ที่ศูนย์ เช่นเดียวกันกับชาวอ.น้ำขุ่น จ.อุบลฯ ที่ยังหลบภัยอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวเหมือนกัน

ถึงแม้ว่าสภาพที่ศูนย์พักพิงจะมีการดูแลอย่างดีอาหารการกินพร้อม แถมมีรสชาติอร่อย สะอาด มีเครื่องห่มกันหนาวแจกจ่าย ไม่มีขาดตกบกพร่อง มีพยาบาล อาสาสมัคร เฝ้าคอยดูแลและบริการอย่างเต็มที่ แต่ใจของพวกเขาก็อยากกลับคืนบ้าน กลับไปทำมาหากิน มีชีวิตปกติสุข

“ศูนย์อพยพเขาดูแลดีมาก แต่ไม่มีใครอยากอยู่หรอก เราอยากกลับบ้าน” วิศิษฐ์ ดวงแก้ว ชาวบ้านภูมิซอล บอกความรู้สึก

ใจหนึ่งห่วงบ้าน ห่วงทรัพย์สินซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีอะไรมากมายนักในสายตาคนนอกแต่สำหรับชาวบ้านมันมีค่า มีความผูกพันกัน ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย เป็ด ไก่ ที่เลี้ยงไว้ ยิ่งตอนย่องกลับไปดูบ้านแต่ละครั้งในช่วงกลางวันที่เหตุการณ์สงบคราวละ 2-3 ชั่วโมงก่อนเผ่นกลับมาที่ศูนย์อพยพ พอมองเห็นเป็ด ไก่ ที่ช็อคตายจากเสียงปืนใหญ่ และวัว ควายที่เลี้ยงไว้เริ่มผอมโซเพราะอดหญ้า อดน้ำ ผักหญ้าที่ปลูกไว้เหี่ยวเฉาก็ยิ่งเศร้าใจ

ไม่เพียงแค่นั้น ตามหมู่บ้านที่ร้างราผู้คน กลับมีพวกฉวยโอกาสลักโขมย บางบ้านถูกยกเค้า บางบ้านถูกขโมยข้าวเปลือกที่เพิ่งเก็บเกี่ยว การเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ที่ตระเวนไปตามหมู่บ้านไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง เพราะตรวจตราเฉพาะถนนสายหลักที่ผ่านหมู่บ้าน แต่ไม่ได้เข้าไปดูถึงตรอกซอกซอย อีกอย่างเจ้าหน้าที่ก็ไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร พวกหัวขโมยที่จ้องอยู่ก็สวมรอย ขณะที่ชุด ชรบ. อปพร.และพวกผู้ชายที่เฝ้าหมู่บ้านก็เหลือน้อยหลังคืนยิงปืนใหญ่อย่างหนัก หลายคนรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่หลังออกจากพื้นที่มาได้ ดังนั้นจึงไม่ขอกลับเข้าไปเฝ้าหมู่บ้านอีกจนกว่าจะแน่ใจว่าเหตุการณ์สงบจริงๆ

กลายเป็นว่า ตอนนี้ความวิตกกังวลไม่เพียงแค่กลัวลูกกระสุนปืนใหญ่ตกใส่หลังคาเรือน แต่ยังกลัวพวกหัวขโมยอีกต่างหาก อย่างเช่น นางฉวีวรรณ บุญเสนอ แม่เฒ่าวัย 70 ปี ที่สูญเสียขันเงินแท้สินสอดของหมั้นอนุสรณ์แห่งรักกับสามีผู้จากไป ที่ถูกขโมยไปในช่วงที่แม่เฒ่าอพยพมาอยู่ที่ศูนย์ การสูญเสียของรักทำให้แม่เฒ่าน้ำตาไหลพราก

ไม่นับความวิตกจากการเฝ้าคอยติดตามสถานการณ์สู้รบที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ความเงียบหลังคืนระดมยิงปืนใหญ่เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้การติดตามเหตุการณ์เต็มไปด้วยความระทึกขวัญ เสียงพูดคุย ประเมินสถานการณ์ทั้งกันเองและปะติดปะต่อข่าวคราวจากหลายแห่ง เป็นผลให้บางคนในศูนย์อพยพ “ตาค้าง” นอนไม่หลับ เพราะรู้นิสัยฝ่ายเขมรจากการที่คบค้าสมาคมกันมานานว่า ยังไม่เลิกราง่ายๆ แน่ เงียบๆ อย่างนี้แหละต้องระวังให้ดี
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จิตใจคนชายแดนที่อยู่กับสงคราม อยู่กับการสู้รบ อยู่กับความไม่สงบนับแต่คราวเขมร 3 ฝ่ายรบกัน หรือสงครามปราบคอมมิวนิสต์ ที่มีเหตุปะทะทั้งปืนเล็กและปืนใหญ่ เคยวิ่งลงหลุมภัยมาแล้ว ต่างก็เข้าใจการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารหาญซึ่งสู้รบเพื่อปกป้องอธิปไตยและดินแดน โดยเฉพาะคนรุ่นวัยกลางคนขึ้นไปที่เป็นเสาหลักในครอบครัวขณะนี้

“ทหารเขายังไม่ให้กลับไป เขาเป็นห่วงว่าจะไม่ปลอดภัย เพราะสถานการณ์ยังไม่ปกติ เราก็ต้องอยู่ไปก่อน ทหารเขาจะได้ทำหน้าที่ได้สะดวก รถทหารยังวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ไม่ขาดสาย หากประชาชนกลับเข้าไปในช่วงสถานการณ์อย่างนี้ก็จะทำให้เขาทำงานลำบาก เห็นพวกเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ก็อุ่นใจ ทหารบอกกับชาวบ้านหนักแน่นว่าเขาก็คนไทยรักแผ่นดินเหมือนกัน” นางเต็มดวง ชาวบ้านหนองอุดม ต.รุง บอกเล่า
กำลังโหลดความคิดเห็น