xs
xsm
sm
md
lg

ก๊วยเจ๋ง-เอี้ยคัง : คนโง่รักชาติ-คนฉลาดขายดินแดน?!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์ : บู๊ลิ้ม
โดย : พชร สมุทวณิช

ขอสารภาพตามตรงว่า จริงๆ แล้ว ผมตั้งใจจะหยุดเขียนคอลัมน์ “บู๊ลิ้ม” เมื่อจบตอนล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเรื่อง “จอมยุทธนอกสายตา” โดยตลอดสองเดือนที่ผ่านมานั้น ผมได้ส่งต้นฉบับล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่

สาเหตุที่จะหยุดคอลัมน์มีสองประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ เขียนคอลัมน์นี้ต้องใช้เวลาและสมาธิสูงมาก เนื่องจากเป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ ดังนั้นระหว่างหนึ่งสัปดาห์ ผมต้องเร่งอ่านนิยายจีนกำลังภายในให้จบหนึ่งเรื่อง แม้บางเรื่องจะเคยอ่านแล้วหลายรอบ แต่การอ่านเพื่อความสนุกสนานกับการอ่านเพื่อให้ได้เนื้อหามาเขียนนั้น มันต่างกันในด้านการใช้สมาธิเป็นอย่างยิ่ง

ประการที่สอง คอลัมน์ “บู๊ลิ้ม” นี้ได้ดำเนินมาระยะหนึ่งแล้ว มีเนื้อหาเพียงพอที่จะรวบรวมเป็นหนังสือได้หนึ่งเล่ม ดังนั้น ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา จึงเป็นการทำการบ้าน อ่านเรื่องย้อนหลัง ตัดต่อแก้ไข และจัดการเพื่อส่งต้นฉบับให้กับ “สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์” ภายใต้ชื่อหนังสือ “รหัสลับบู๊ลิ้ม” ที่คาดว่าจะออกวางแผงภายในเดือนหน้า

ดังนั้น ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ผมจึงไม่ได้เขียนคอลัมน์พูดคุยเกี่ยวกับนิยายจีนกำลังภายใน “บู๊ลิ้ม” คอลัมน์นี้เลย ทั้งหมดเป็นการเขียนทิ้งไว้ล่วงหน้าตามที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี เพื่อนๆ น้ำกมิตรผู้นิยมนิยายจีนกำลังภายใน ต่างพากันบอกว่า อยากให้เขียนต่อ เนื่องจากยังเหลือนิยายจีนกำลังภายในให้พูดคุยอีกเยอะแยะ ซึ่งก็เห็นจริงตามนั้น

การกลับมาเขียนอีกครั้งหลังจากพักยาวสองเดือน บอกตามตรงว่า เป็นเรื่องยากเอาการอยู่ เบื้องแรกตั้งใจจะหาเรื่องง่ายๆ โดยว่าจะเขียนถึง หยิบเอา “อินทรีผงาดฟ้า” เรื่องของ “เต็งพ้ง” ผู้ถือดาบที่จารึกอักษร “ฟังเสียงฝนในหอน้อยเดียวดาย” แต่พอได้คุยกับคุณจิตตนาถ ลิ้มทองกุล หัวเรือใหญ่ที่คุมบังเหียน “ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์” อยู่ คุณปั๊บ-จิตตนาถ บอกว่า “พี่เพชร สถานการณ์การเมืองแบบนี้ พี่น่าจะเขียนเรื่องเอี้ยคังนะ...ฯลฯ”

ด้วยความเห็นพ้องกับคุณปั๊บ ผมจึงตัดสินใจ เคาะสนิมปากกา ด้วยการเขียนเรื่องยากอย่าง “มังกรหยก” สุดยอดนิยายจีนกำลังภายในของ “กิมย้ง”

อย่างไรก็ดี ตามที่ผมกล่าวแล้วตั้งแต่เริ่มเขียนคอลัมน์ “บู๊ลิ้ม” นี้ ก็คือ พื้นที่นี้ ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์นิยายจีนกำลังภายใน แต่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของผมที่แลกเปลี่ยนพูดคุยถึงเรื่องที่ว่า ผมได้ข้อคิดอะไรจากการอ่านนิยายจีนกำลังภายใน ซึ่งตรงจุดนี้ผมว่าน่าจะเป็นความสนุกสนานในการแลกเปลี่ยนพูดคุยระหว่างเจ้าของคอลัมน์และคนอ่านเพื่อจะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้อีกด้วย

ย้อนกลับไปถึงเหตุที่ผมกล่าวว่า “มังกรหยก” เป็นเรื่องยาก ก็ด้วยเหตุสองประการด้วยกัน ประการแรกคือมีเรื่องราวเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์จีนซึ่งผมไม่ค่อยชำนาญ และอีกประการหนึ่งก็คือ เรื่อง “มังกรหยก” นี้มีตัวละครมากมายที่มีจุดเด่นและลีลาเฉพาะตัว พูดง่ายๆ ก็คือ แต่ละคนนั้นเรียกได้ว่าเป็น “ตัวเอก” ในเรื่องย่อยที่อยู่ในโครงเรื่องใหญ่ได้ทั้งสิ้น

สำหรับเรื่อง “มังกรหยก” นี้ นอกจาก “ก๊วยเจ๋ง” และ “อึ้งย้ง” แล้ว เรายังคุ้นเคยกับตัวละครต่างๆ ที่เรียกขานเป็นห้าสุดยอดแห่งยุทธภพ (ตามท้องเรื่อง) ไม่ว่าจะเป็น “เทพมัชฌิม-เฮ้งเตงเอี้ยง แห่งสำนักช้วนจินก่า” -“มารบูรพา-อึ้งเอี๊ยะซือ” - “ยาจกอุดร-อั้งฉิกกง” - “ราชันย์ทักษิณ-กษัตริย์ต้วนแห่งต้าลี่” - “พิษประจิม-อาวเอี้ยงฮง”

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ไม่ว่าจะเป็น “เทพมัชฌิม-มารบูรพา-ยาจกอุดร-ราชันย์ทักษิณ-พิษประจิม” ทั้งห้าคนนี้ ต่างเป็นองค์ประกอบสำคัญในนิยายจีนกำลังภายใน “มังกรหยก” ได้รับการยกย่องให้เทียบเคียง “มหากาพย์” ที่ส่วนใหญ่นั้นจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญเชิงแฟนตาซีในรูปแบบเทพนิยายของสากลนิยมไม่ว่าจะเป็นทางตะวันตกหรือตะวันออก

กล่าวคือ “ห้าสุดยอดฝีมือแห่งยุทธภพ” นอกจากในฐานะสุดยอดฝีมือเชิงยุทธแล้ว ยังเป็นการสร้างสัญลักษณ์เชิงมหากาพย์ ที่มักจะสร้างตัวละครที่เป็นตัวแทนคนแต่ละชั้น แต่ละกลุ่ม ที่เรามักจะเห็นกันในมหากาพย์เทพนิยายทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ตัวละคร “กษัตริย์-นักบวช(หรือพ่อมด)-เทพ-มาร-มนุษย์” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในความเป็น “มหากาพย์” และแต่ละตัวแทนต่างก็ต้องมี “บทบาทหน้าที่” และ “อิทธิฤทธิ์” ต่างๆ กันไป

หากมองวรรณคดีลักษณะมหากาพย์เช่นนี้ คงจะนึกภาพของ “กษัตริย์” เช่น “พระราม-พระลักษณ์” ในการต่อสู้กับ “ยักษ์มาร” อย่าง “ทศกัณฑ์” และสัตว์ในจิตนาการอย่าง “หนุมานและพวกพ้อง” ใน “รามเกียรติ์” ได้เป็นอย่างดี หรือหากจะสมัยใหม่หน่อย ใครที่เคยดูหนังเรื่อง “ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง” ก็คงนึกออก

นอกจากนี้ องค์ประกอบสำคัญอีกอย่างในเชิง “มหากาพย์” ของนิยายจีนกำลังภายใน “มังกรหยก” ก็คือ เรื่องของการ “ต่อสู้เพื่อรักษาชาติ” นั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ “มหากาพย์” เป็นโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ และสร้างความกินใจในหมู่มวลมหาชน บางคนอาจจะมองถึงความต้องการสะท้อนอีกมุมของ “สำนึกในความเป็นชาติ” หรือบางท่านอาจจะมองเป็น “มหากาพย์เพื่อชาตินิยม” นั่นแล

สำหรับเรื่อง “มังกรหยก” นี้ มีนักวิจารณ์บางท่านกล่าวถึงเอาไว้ว่า นอกจากในฐานะนิยายจีนกำลังภายในแล้ว เรื่องนี้ยังสะท้อนการแสดงออกในฐานะการสะท้อนภาพ “เชื้อชาตินิยม” ของชาวฮั่น แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในเชื้อชาติของชาวจีน ซึ่งอาจจะมีการพาดพันกันระหว่างความรู้สึกของ “เชื้อชาตินิยม” และการแสดงออกไปถึง “อนุรักษ์นิยมโบราณ” ที่บางครั้งโดนวิพาษ์วิจารณ์ว่าอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่สะท้อนความพยายามจะคงสภาพระบอบดั้งเดิม และเป็นขวากหนามทางความคิดต่อ “การเปลี่ยนแปลง” สู่ “ระบอบก้าวหน้า” ทั้งในด้าน “โครงสร้างการเมือง” และในด้าน “วัฒนธรรม-จารีต-ประเพณี”

“ชาตินิยม” นั้นจะว่าไปแล้ว คือสำนึกให้เรารักชาติในฐานะดินแดนแห่งรากวัฒนธรรมประเพณีอันยาวนาน หาใช่เรื่อง “คลั่งชาติ” ในฐานะยึดติดแห่งพื้นที่หรือดินแดน เช่นนั้นก็หาไม่


“กิมย้ง” วางโครง “ชาวฮั่น” ผู้อยู่ในสภาวะคับขัน ถูกรุกรานโดยชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่กว่า อย่าง “ไต้กิม” และ “มองโกล” สร้างตัวละคร “บุรุษหนุ่มผู้รักชาติ” อย่าง “ก๊วยเจ๋ง” ขึ้นมา และวางบทบาท “ผู้ทรยศต่อชาติ” อย่าง “เอี้ยคัง”

นิยายจีนกำลังภายในเรื่อง “มังกรหยก” นี้จึงเป็นทั้ง “มหากาพย์เชิงแฟนตาซี” และ “เรื่องราวปลูกจิตสำนึกให้รักชาติ” ไปพร้อมๆ กัน


อย่างไรก็ดี “มังกรหยก” ยังคงรูปแบบและสไตล์ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของ “กิมย้ง” ในบางประเด็น เช่น การสร้างตัวละครที่เริ่มต้นเท่ากัน ให้แยกออกเป็นสองทาง และสร้างความขัดแย้งในบุคลิกเชิงตรงกันข้าม เราจะเห็นแนวทางนี้ในหลายเรื่องของ “กิมย้ง” ไม่ว่าจะเป็น “สองพี่น้องตระกูลเจี๊ยะ” ในเรื่อง “มังกรทลายฟ้า” (เคยกล่าวถึงไปแล้วในคอลัมน์นี้) ที่เป็นพี่น้องฝาแฝดถูกจับแยกไปเลี้ยงในต่างสภาพแวดล้อม และหล่อหลอมออกมาเป็นฝ่ายดีและฝ่ายชั่วร้าย

และไม่ว่าจะเป็น “เซียวฮื้อยี้” และ “ฮวยบ้อข่วย” สองพี่น้องฝาแฝดอีกเช่นกัน ที่ถูกจับไปแยกเลี้ยงแยกอบรมต่างสภาพแวดล้อม จนได้ตัวละครสองบุคลิกที่ต่างกันออกมา

“ก๊วยเจ๋ง” และ “เอี้ยคัง” แม้จะไม่ใช่สองพี่น้องฝาแฝดเช่นสองพี่น้องตระกูลเจี๊ยะ หรือเซียวอื้อยี้และฮวยบ้อข่วย แต่ทั้งสองก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากสองครอบครัวที่พ่อของแต่ละคนเป็นพี่น้องร่วมสาบาน เกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยจุดมุ่งหมายให้ “รักชาติและกู้ชาติ” เหมือนกัน แต่ถูกแยกออกไปต่างสภาพแวดล้อม ให้คนหนึ่งกลายเป็น “ตัวดี” และ “ตัวร้าย”

นอกจากนี้ ดูเหมือนว่า “กิมย้ง” จะโปรดปรานในการสร้างบุคลิกตัวละครที่ “สัตย์ซื่อจนดูเหมือนโง่งม” (แต่ไม่โง่งม) บุคลิกลักษณะนี้ ผมเคยเขียนถึงตัวละครเช่น “เจี๊ยะพั่วเทียน” ไปแล้ว ในนิยายจีนกำลังภายในเรื่อง “มังกรทลายฟ้า” ที่สะท้อนปรัชญาที่ว่า “ว่างเปล่าจึงกินอิ่ม”

“ก๊วยเจ๋ง” นี้ก็เช่นกัน “เจ็ดประหลายแดนกังหนำ” ที่เป็นอาจารย์ของเขากล่าวถึงบุคลิกของเขาไว้ว่า “เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ฉลาดเฉลียวปราดเปรื่อง เปรียบเทียบกับคนธรรมดายังโง่เขลากว่าเสียสามส่วน แถมพอบังเกิดความตระหนกลนลานยิ่งมือไม้ปั่นป่วน” และพอจะระดมสั่งสอนวิชามากหลายของแต่ละคนทั้งเจ็ด กลับปรากฏสภาพที่ว่า “คิดเร่งเร็วกลับไม่บรรลุ-ตะกละตะกลามกลับเคี้ยวไม่ละเอียด”

ซึ่งตรงนี้ต่างกับคู่ชีวิตของเขา “อึ้งย้ง” อย่างสิ้นเชิง ขณะที่ “อึ้งย้ง” เป็นผู้ฉลาดเฉลียว เรียนรู้เร็ว “ก๊วยเจ๋ง” ในเบื้องแรกจึงด้อยวิชากว่า “อึ้งย้ง” มากนัก

อย่างไรก็ดี “สัตย์ซื่อถือเป็นชามเปล่า” ดังที่ “จิวแป๊ะทง” ผู้มีฉายา “เฒ่าทารก” ศิษย์ร่วมสำนักของ “เทพมัชฌิม” ได้กล่าวว่า “ชามใบหนึ่งเพราะตรงกลางว่างเปล่า จึงสามารถบรรจุใส่ข้าว หากเป็นดินเหนียวตัน จะใส่ข้าวได้อย่างไร” ซึ่งสะท้อนหลัก “ปั้นดินเหนียวเป็นภาชนะจากความว่างเปล่า ก่อเกิดคุณสมบัติของภาชนะ”

ดังนั้น เมื่อ “บุรุษเข้าใจช้า” อย่าง “ก๊วยเจ๋ง” เหม่อมองกลุ่มดาวเหนือบนท้องฟ้า เข้าใจหลักธรรมชาติ ตีแตกความซับซ้อนของ “คัมภีร์นพยม” อันลึกซึ้ง เป็นการบรรลุจาก “ด้านใน” จึงก่อเกิดเป็นยอดฝีมือขึ้นมาได้ เหมือนดังก่อนหน้าที่ “กิมย้ง” เคยเขียนให้ความสำคัญ “ภายใน” มากกว่า “ภายนอก” มาแล้ว ตอนที่ “เจ็ดประหลาดแดนกังหนำ” ต่างพากันสั่งสอนยอดวิชาของตัวเองให้ “ก๊วยเจ๋ง” เท่าไร แต่กลับไม่คืบหน้า ขณะที่มี “นักพรตช้วนจินก่า” ลอบถ่ายทอดพื้นฐาน “ลมปราณ” อันเป็นการ “ก่อเกิดจากข้างใน” พลังฝีมือของ “ก๊วยเจ๋ง” จึงรุดหน้า

“ภายนอก” แม้จะมากหลาย แต่มิใช่การเรียนรู้ที่สร้าง “ปัญญากระจ่าง” หากแต่ การก่อเกิดจาก “ภายใน” ต่างหากเล่า “ปัญญา” จึงบรรลุเป็นผลเด่นล้ำ

นอกจากนี้ “ก๊วยเจ๋ง” ยังดีเด่นในด้าน “คุณธรรม” เหตุแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าของส่วนตัว คุณธรรมและจิตสำนึกรักชาติของ “ก๊วยเจ๋ง” จึงทำให้เขามีคำนำหน้าเรียกขานว่า “วีรบุรุษ”

ด้าน “เอี้ยคัง” นั้น แท้จริงแล้วมีบุคลิก “หล่อและฉลาด” หากแต่ “เอี้ยคัง” เหตุแก่ตนเองเป็นที่ตั้ง “เอี้ยคัง” นั้น เติบโตขึ้นมาภายใต้ “สถาบันที่เก่าแก่ ยิ่งใหญ่ และมีอำนาจ” สืบสายทายาทของอ๋องแห่งไต้กิม เมื่อ “เอี้ยคัง” พบว่าแท้จริงนั้นตนคือ “ชาวซ้อง” ที่ถูกฝากความหวังให้ “กู้ชาติ” แต่ “เอี้ยคัง” กลับยึดติด “กับดักแห่งความยิ่งใหญ่ของสถาบันอันเก่าแก่ทางการเมือง” หลงใหลในลาภยศสรรเสริญ โดยมุ่งหวังจะรักษาตำแหน่ง “อ๋อง” ไว้เพื่อตัวเองได้ยิ่งใหญ่ มากกว่าการสำนึกเพื่อชาติและดินแดน “เอี้ยคัง” จึงตัดสินใจที่จะทรยศต่อชาติของส่วนรวม เพียงเพื่อรักษาความเป็น “อ๋องแห่งไต้กิม” ที่เป็นสถานะส่วนตัว

และสุดท้าย “เอี้ยคัง” ก็พบจุดจบที่ไม่สวยงามตามท้องเรื่องในนิยายจีนกำลังภายในเรื่องนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น