ASTVผู้จัดการรายวัน-แฉขาใหญ่ยี่ห้อองุ่น ปั่นราคาน้ำมันถั่วเหลือง อัพราคาขาย 2 แสนลิตร ฟันกำไรลิตรละเกือบ 10 บาท ขณะที่ผู้ซื้อนำไปใส่ถุงปั่นราคาต่อเป็น 55-60 บาท “พาณิชย์”ฟ้องดำเนินคดี “พรทิวา”ชูไอเดียใครแจ้งเบาะแสได้สินบนนำจับ 25% ของค่าปรับ ส่วนกระจายปาล์ม 1.2 แสนตัน ขอให้อุตสาหกรรมยื่นรายละเอียดที่ต้องการใช้แล้ว ฉุนเด็กปชป.ตีปี๊บปั่นราคาตัวเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมการค้าภายในได้มีการตรวจสอบพบว่า มีผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองรายใหญ่รายหนึ่ง จงใจทำให้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองมีราคาแพงขึ้นเกินความเป็นจริง โดยจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์จำนวน 2 แสนลิตร ให้กับผู้ผลิตที่ซื้อน้ำมันไปบรรจุใส่ถุงในราคาลิตรละ 48.55 บาท
ซึ่งราคาขายดังกล่าวเป็นราคาที่เกินไปกว่าราคาควบคุมที่คณะอนุกรรมการพิจารณาน้ำมันพืชบริโภคกำหนดไว้ที่ลิตรละ 46 บาท ซึ่งได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนไปแล้วในข้อหาจงใจทำให้ราคาสินค้าสูงเกินสมควร ตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 โดยมีโทษสูงสุด คือ จำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรายดังกล่าวจงใจปั่นราคาน้ำมันถั่วเหลือง เนื่องจากการบรรจุใส่ขวดขาย ต้องขายในราคาควบคุม 46 บาท แต่ผู้ผลิตรายนี้ไม่ทำ กลับเอาน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์ ซึ่งพร้อมจะบรรจุขวดไปขายต่อให้กับผู้ผลิตรายอื่นนำไปใส่ถุง และขายในราคาที่แพงกว่าราคาควบคุมที่ 48.55 บาท โดยพบว่าต้นทุนจริงๆ ของน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์อยู่ที่ลิตรละ 39 บาทเท่านั้น ทำให้ได้กำไรสูงถึงลิตรละ 9.55 บาท
การกระทำในลักษณะนี้ ถือเป็นการสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาด เพราะตัวเองเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ แต่กลับไม่ยอมบรรจุขวดขาย ทั้งๆ ที่ปริมาณน้ำมันถั่วเหลืองอยู่ในภาวะขาดแคลน ปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือน และประชาชนมีการร้องเรียนจำนวนมาก แต่กลับหาประโยชน์ด้วยการไปขายให้ผู้ผลิตรายอื่นในราคาที่แพงกว่าปกติ
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า ผู้ผลิตที่ซื้อน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์จากผู้ผลิตรายใหญ่นี้ ได้นำไปบรรจุถุงขาย โดยขายในราคาถุงละ 55-60 บาทต่อกก. และยังมีการนำไปขายต่อให้กับผู้ผลิตน้ำมันไบโอดีเซลด้วย ซึ่งปกติการทำไบโอดีเซลจะใช้แต่น้ำมันปาล์ม เพราะน้ำมันถั่วเหลือง ผลผลิตในประเทศก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว และการนำเข้าก็ให้ใช้เพื่อการบริโภคเท่านั้น ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบและดำเนินการเอาผิดต่อไป
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า บริษัทที่กรมการค้าภายในไปแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ก็คือ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชตราองุ่น ส่วนบริษัทที่รับซื้อน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์ไปบรรจุถุงจำหน่ายต่อ ก็คือ บริษัท สันติภาพอุตสาหกรรม จำกัด
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปตรวจสอบข้อมูลกำลังการผลิต ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง หากพบว่ามีความผิดปกติให้ดำเนินการทางกฎหมายทันที และมั่นใจว่าสถานการณ์น้ำมันถั่วเหลืองไม่น่าจะรุนแรง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่ปริมาณเข้าสู่ตลาดลดลง ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองแทน
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า หากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายน้ำมันพืชเกินราคา กักตุนสินค้า ปฏิเสธการจำหน่าย แจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ กรมฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากพบการกระทำผิดจะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที และผู้ที่แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินสินบนนำจับร้อยละ 25ของค่าปรับที่ผู้กระทำความผิดได้ชำระต่อศาล
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วานนี้ (3 ก.พ.) กรมการค้าภายในในฐานะผู้ทำหน้าที่กระจายน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศปริมาณ 1.2 แสนตัน ได้แจ้งไปยังอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน และไก่แปรรูป เพื่อขอทราบความต้องการใช้ และให้ส่งปริมาณความต้องการกลับคืนมาภายในวันนี้ (4 ก.พ.)จากนั้นจะเสนอไปยังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อตรวจสอบก่อนที่จะจัดส่งน้ำมันปาล์มที่นำเข้าไปให้แต่ละรายตามความเหมาะสม
สำหรับต้นทุนในการนำเข้า เบื้องต้นได้เปิดช่องทางการนำเข้าทั้งจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อให้เลือกนำเข้าจากแหล่งที่เสนอราคาดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องนำเข้าทั้ง 1.2 แสนตันในคราวเดียว แต่ในเดือนก.พ.นี้ ควรจะนำเข้าไม่น้อยกว่า 6 หมื่นตัน และเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายน้ำมันปาล์มขวดในขณะนี้ เพราะต้นทุนน่าจะยังผันผวน อย่างไรก็ตาม หากให้มีการปรับขึ้นราคา ก็จะมีเงื่อนไขว่าหากสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มคลี่คลายในช่วงเดือนพ.ค. ก็ต้องมีการลดราคาขายลงมาตามต้นทุนทันทีเช่นกัน
*****อุตฯเริ่มขาดแคลนน้ำมันปาล์ม
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ส.อ.ท.อยู่ระหว่างการ สำรวจความต้องการใช้น้ำปาล์มเพื่อรวบรวมไปชี้แจงกระทรวงพาณิชย์เพื่อจัดสรรให้ภาคอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอกับความต้องการใช้เพราะขณะนี้ภาคการผลิตก็หาซื้อยากไม่ต่างจากผู้บริโภคทั่วไป เบื้องต้นคาดว่าการใช้โดยรวมจะน่าจะอยู่ที่ประมาณ หมื่นตันต่อเดือน นำไปใช้ในอุตสาหกรรมไก่ปรุงสุก บะหมี่สำเร็จรูป ครีมเทียม เนยเทียม อาหารกระป๋อง รวมถึงอาหารประเภททอด
**“พรทิวา”ฉุนเด็กปชป.ตีปี๊บปั่นราคาตัวเอง
วานนี้( 3 ก.พ. ) ที่รัฐสภา นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวตอบโต้กรณีที่นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่า ราคาของน้ำมันพืช แบบปี๊บที่ปกตินั้นมีราคาอยู่ปี๊บละ 560 บาท แต่ปัจจุบันกลับมีราคาปี๊บละ 1,150 บาท ซึ่งถือว่าราคาเพิ่มขึ้น 590 บาท ว่า เรื่องราคาสินค้าถือว่าเป็นภาระหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องพยายามแก้ไขปัญหา แต่ประเด็นน้ำมันปาล์มที่ขึ้นราคา อยากให้นายวัชระใช้แนวทางและความคิด วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นว่ามาจากอะไร เพราะกระทรวงพาณิชย์มาดูตรงปลายน้ำ แต่เราต้องดูต้นน้ำว่าเกิดจากความขาดแคลน เพราะฉะนั้น ไม่ควรออกมาตีปี๊บเอามัน ไม่เอาข้อเท็จจริงมาว่าเป็นอย่างไร หรือเหยียบบ่าเพื่อน เพื่อสร้างราคา
“ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็ต้องเข้าใจที่มาว่าเป็นอย่างไร เราพยายามทำเต็มที่ ไม่ใช้ออกมาโวยวายว่ากระทรวงพาณิชย์ไม่ทำอะไร อยากให้คิดให้ละเอียดรอบคอบ เพราะเรื่องดังกล่าวกระทบกับประชาชน แต่เราก็พยายามทำเต็มที่ ” นางพรทิวา กล่าว
นางพรทิวา กล่าวต่อว่ากระทรวงพยายามที่จะตรึงราคาให้นานให้ถึงเดือนมีนาคม แต่ผลผลิตมันน้อย แต่เกษตรกรได้ประโยชน์ ขณะที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าสินค้าเกษตรไม่ดีกระทรวงก็โดนต่อว่า แต่เกษตรได้ราคา ซึ่งทุกฝ่ายต้องเข้าใจ ประชาชนต้องเดือดร้อน ดังนั้น อยากให้ประชาชนเข้าใจ และอยากให้รู้ว่ากระทรวงพาณิชย์พยายามทำอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาทั้งหมดเกิดจากกลไกของตลาด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ให้ดูต้นทางหมายถึงอะไร นางพรทิวา กล่าวว่า การปลูกปาล์มมาจากพื้นที่ภาคใต้ เมื่อผลผลิตออกมาน้อย หลักง่าย ๆ คือ เมื่อมีความต้องการมากในท้องตลาดราคาก็สูงขึ้น เป็นสิ่งที่เรากำลังทำ ให้เกิดความเท่าเทียม
เมื่อถามว่า หมายถึงคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน ใช่หรือไม่ นางพรทิวา กล่าวว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวรับผิดชอบเรื่องตรงนี้อยู่แล้ว แต่ต้นทางคือการเพาะปลูก แต่ปลายทางกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวแกนนำหรือผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจดี แต่นายวัชระไม่เข้าใจมาทำภาพรัฐบาลเสียหาย เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เกิดกับใครคนใดคนหนึ่ง
**“มาร์ค”โทษดินฟ้าอากาศทำปาล์มแพง
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันเดียวกัน นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กระทู้ถามสดเรื่องการแก้ไขปัญหาประเทศที่ไร้ทิศทาง ถามนายกรัฐมนตรีโดย กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไม่มีทิศทางภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ก็แก้ไม่ถูกทางโดยเฉพาะปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด และการขายไข่เป็นกิโล ขณะที่การแก้ไขปัญหาการเมือง นายกฯยังดำเนินการเป็นลักษณะสองมาตรฐานสร้างความสับสนให้กับประชาชน จากการตอกย้ำเรื่องการยุบสภา นอกจากนี้ นายกฯยังทำเรื่องที่ไม่สมควร อย่างการนำหมวกที่ทำจากถุงยางอนามัยมาสวม ซึ่งไม่เคยมีผู้นำประเทศคนไหนทำมาก่อน
ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวชี้แจงโดยยืนยันว่ารัฐบาลมีการแก้ไขปัญหาแบบมีทิศทางแน่นอน ปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลชุดนี้มาทำงานทั้งหมด อย่างการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลมีทิศทางมาตลอดว่าต้องไม่ให้ตัวเลขว่างงานสูงขึ้น ซึ่งสามารถทำได้จนมีตัวเลขเพียง 1 % น้อยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ส่วนการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจล่าสุดที่ออกมาก็อยู่ในระดับเฉลี่ย 8 %
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันปาล์ม ส่วนหนึ่งมาจากดินฟ้าอากาศทำให้ผลผลิตขาดแคลน การนำเข้าไม่กระทบผลตอบแทนของเกษตรกรแน่นอน แต่ยอมรับว่าอาจทำให้เกษตรกรมีกำไรน้อยลงเท่านั้น แต่จะไม่ขาดทุน เช่นเดียวกับการขายไข่เป็นกิโล เป็นเพียงทางเลือกให้ประชาชนเท่านั้น ถ้าใครอยากซื้อแบบเดิมก็สามารถทำได้ สำหรับการยุบสภาฯเป็นฝ่ายท่านต่างหากต้องการมาตลอด 2 ปี ผมก็พยายามทำเพื่อให้เกิดความคลี่คลายเท่านั้น
ส่วนเรื่องการทำงานแล้วแต่ใครจะหยิบเอาโพลไหนขึ้นมา อย่างที่ผ่านมาก็มีบางสำนักก็บอกว่า อยากให้ตนทำงานในตำแหน่งนายกฯ มากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมการค้าภายในได้มีการตรวจสอบพบว่า มีผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองรายใหญ่รายหนึ่ง จงใจทำให้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองมีราคาแพงขึ้นเกินความเป็นจริง โดยจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์จำนวน 2 แสนลิตร ให้กับผู้ผลิตที่ซื้อน้ำมันไปบรรจุใส่ถุงในราคาลิตรละ 48.55 บาท
ซึ่งราคาขายดังกล่าวเป็นราคาที่เกินไปกว่าราคาควบคุมที่คณะอนุกรรมการพิจารณาน้ำมันพืชบริโภคกำหนดไว้ที่ลิตรละ 46 บาท ซึ่งได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนไปแล้วในข้อหาจงใจทำให้ราคาสินค้าสูงเกินสมควร ตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 โดยมีโทษสูงสุด คือ จำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรายดังกล่าวจงใจปั่นราคาน้ำมันถั่วเหลือง เนื่องจากการบรรจุใส่ขวดขาย ต้องขายในราคาควบคุม 46 บาท แต่ผู้ผลิตรายนี้ไม่ทำ กลับเอาน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์ ซึ่งพร้อมจะบรรจุขวดไปขายต่อให้กับผู้ผลิตรายอื่นนำไปใส่ถุง และขายในราคาที่แพงกว่าราคาควบคุมที่ 48.55 บาท โดยพบว่าต้นทุนจริงๆ ของน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์อยู่ที่ลิตรละ 39 บาทเท่านั้น ทำให้ได้กำไรสูงถึงลิตรละ 9.55 บาท
การกระทำในลักษณะนี้ ถือเป็นการสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาด เพราะตัวเองเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ แต่กลับไม่ยอมบรรจุขวดขาย ทั้งๆ ที่ปริมาณน้ำมันถั่วเหลืองอยู่ในภาวะขาดแคลน ปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือน และประชาชนมีการร้องเรียนจำนวนมาก แต่กลับหาประโยชน์ด้วยการไปขายให้ผู้ผลิตรายอื่นในราคาที่แพงกว่าปกติ
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า ผู้ผลิตที่ซื้อน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์จากผู้ผลิตรายใหญ่นี้ ได้นำไปบรรจุถุงขาย โดยขายในราคาถุงละ 55-60 บาทต่อกก. และยังมีการนำไปขายต่อให้กับผู้ผลิตน้ำมันไบโอดีเซลด้วย ซึ่งปกติการทำไบโอดีเซลจะใช้แต่น้ำมันปาล์ม เพราะน้ำมันถั่วเหลือง ผลผลิตในประเทศก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว และการนำเข้าก็ให้ใช้เพื่อการบริโภคเท่านั้น ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบและดำเนินการเอาผิดต่อไป
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า บริษัทที่กรมการค้าภายในไปแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ก็คือ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชตราองุ่น ส่วนบริษัทที่รับซื้อน้ำมันถั่วเหลืองกลั่นบริสุทธิ์ไปบรรจุถุงจำหน่ายต่อ ก็คือ บริษัท สันติภาพอุตสาหกรรม จำกัด
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปตรวจสอบข้อมูลกำลังการผลิต ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง หากพบว่ามีความผิดปกติให้ดำเนินการทางกฎหมายทันที และมั่นใจว่าสถานการณ์น้ำมันถั่วเหลืองไม่น่าจะรุนแรง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่ปริมาณเข้าสู่ตลาดลดลง ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองแทน
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า หากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายน้ำมันพืชเกินราคา กักตุนสินค้า ปฏิเสธการจำหน่าย แจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ กรมฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากพบการกระทำผิดจะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที และผู้ที่แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินสินบนนำจับร้อยละ 25ของค่าปรับที่ผู้กระทำความผิดได้ชำระต่อศาล
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วานนี้ (3 ก.พ.) กรมการค้าภายในในฐานะผู้ทำหน้าที่กระจายน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศปริมาณ 1.2 แสนตัน ได้แจ้งไปยังอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน และไก่แปรรูป เพื่อขอทราบความต้องการใช้ และให้ส่งปริมาณความต้องการกลับคืนมาภายในวันนี้ (4 ก.พ.)จากนั้นจะเสนอไปยังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อตรวจสอบก่อนที่จะจัดส่งน้ำมันปาล์มที่นำเข้าไปให้แต่ละรายตามความเหมาะสม
สำหรับต้นทุนในการนำเข้า เบื้องต้นได้เปิดช่องทางการนำเข้าทั้งจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อให้เลือกนำเข้าจากแหล่งที่เสนอราคาดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องนำเข้าทั้ง 1.2 แสนตันในคราวเดียว แต่ในเดือนก.พ.นี้ ควรจะนำเข้าไม่น้อยกว่า 6 หมื่นตัน และเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายน้ำมันปาล์มขวดในขณะนี้ เพราะต้นทุนน่าจะยังผันผวน อย่างไรก็ตาม หากให้มีการปรับขึ้นราคา ก็จะมีเงื่อนไขว่าหากสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มคลี่คลายในช่วงเดือนพ.ค. ก็ต้องมีการลดราคาขายลงมาตามต้นทุนทันทีเช่นกัน
*****อุตฯเริ่มขาดแคลนน้ำมันปาล์ม
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ส.อ.ท.อยู่ระหว่างการ สำรวจความต้องการใช้น้ำปาล์มเพื่อรวบรวมไปชี้แจงกระทรวงพาณิชย์เพื่อจัดสรรให้ภาคอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอกับความต้องการใช้เพราะขณะนี้ภาคการผลิตก็หาซื้อยากไม่ต่างจากผู้บริโภคทั่วไป เบื้องต้นคาดว่าการใช้โดยรวมจะน่าจะอยู่ที่ประมาณ หมื่นตันต่อเดือน นำไปใช้ในอุตสาหกรรมไก่ปรุงสุก บะหมี่สำเร็จรูป ครีมเทียม เนยเทียม อาหารกระป๋อง รวมถึงอาหารประเภททอด
**“พรทิวา”ฉุนเด็กปชป.ตีปี๊บปั่นราคาตัวเอง
วานนี้( 3 ก.พ. ) ที่รัฐสภา นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวตอบโต้กรณีที่นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่า ราคาของน้ำมันพืช แบบปี๊บที่ปกตินั้นมีราคาอยู่ปี๊บละ 560 บาท แต่ปัจจุบันกลับมีราคาปี๊บละ 1,150 บาท ซึ่งถือว่าราคาเพิ่มขึ้น 590 บาท ว่า เรื่องราคาสินค้าถือว่าเป็นภาระหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องพยายามแก้ไขปัญหา แต่ประเด็นน้ำมันปาล์มที่ขึ้นราคา อยากให้นายวัชระใช้แนวทางและความคิด วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นว่ามาจากอะไร เพราะกระทรวงพาณิชย์มาดูตรงปลายน้ำ แต่เราต้องดูต้นน้ำว่าเกิดจากความขาดแคลน เพราะฉะนั้น ไม่ควรออกมาตีปี๊บเอามัน ไม่เอาข้อเท็จจริงมาว่าเป็นอย่างไร หรือเหยียบบ่าเพื่อน เพื่อสร้างราคา
“ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็ต้องเข้าใจที่มาว่าเป็นอย่างไร เราพยายามทำเต็มที่ ไม่ใช้ออกมาโวยวายว่ากระทรวงพาณิชย์ไม่ทำอะไร อยากให้คิดให้ละเอียดรอบคอบ เพราะเรื่องดังกล่าวกระทบกับประชาชน แต่เราก็พยายามทำเต็มที่ ” นางพรทิวา กล่าว
นางพรทิวา กล่าวต่อว่ากระทรวงพยายามที่จะตรึงราคาให้นานให้ถึงเดือนมีนาคม แต่ผลผลิตมันน้อย แต่เกษตรกรได้ประโยชน์ ขณะที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าสินค้าเกษตรไม่ดีกระทรวงก็โดนต่อว่า แต่เกษตรได้ราคา ซึ่งทุกฝ่ายต้องเข้าใจ ประชาชนต้องเดือดร้อน ดังนั้น อยากให้ประชาชนเข้าใจ และอยากให้รู้ว่ากระทรวงพาณิชย์พยายามทำอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาทั้งหมดเกิดจากกลไกของตลาด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ให้ดูต้นทางหมายถึงอะไร นางพรทิวา กล่าวว่า การปลูกปาล์มมาจากพื้นที่ภาคใต้ เมื่อผลผลิตออกมาน้อย หลักง่าย ๆ คือ เมื่อมีความต้องการมากในท้องตลาดราคาก็สูงขึ้น เป็นสิ่งที่เรากำลังทำ ให้เกิดความเท่าเทียม
เมื่อถามว่า หมายถึงคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน ใช่หรือไม่ นางพรทิวา กล่าวว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวรับผิดชอบเรื่องตรงนี้อยู่แล้ว แต่ต้นทางคือการเพาะปลูก แต่ปลายทางกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวแกนนำหรือผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจดี แต่นายวัชระไม่เข้าใจมาทำภาพรัฐบาลเสียหาย เพราะเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เกิดกับใครคนใดคนหนึ่ง
**“มาร์ค”โทษดินฟ้าอากาศทำปาล์มแพง
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันเดียวกัน นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กระทู้ถามสดเรื่องการแก้ไขปัญหาประเทศที่ไร้ทิศทาง ถามนายกรัฐมนตรีโดย กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลไม่มีทิศทางภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ก็แก้ไม่ถูกทางโดยเฉพาะปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด และการขายไข่เป็นกิโล ขณะที่การแก้ไขปัญหาการเมือง นายกฯยังดำเนินการเป็นลักษณะสองมาตรฐานสร้างความสับสนให้กับประชาชน จากการตอกย้ำเรื่องการยุบสภา นอกจากนี้ นายกฯยังทำเรื่องที่ไม่สมควร อย่างการนำหมวกที่ทำจากถุงยางอนามัยมาสวม ซึ่งไม่เคยมีผู้นำประเทศคนไหนทำมาก่อน
ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวชี้แจงโดยยืนยันว่ารัฐบาลมีการแก้ไขปัญหาแบบมีทิศทางแน่นอน ปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลชุดนี้มาทำงานทั้งหมด อย่างการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลมีทิศทางมาตลอดว่าต้องไม่ให้ตัวเลขว่างงานสูงขึ้น ซึ่งสามารถทำได้จนมีตัวเลขเพียง 1 % น้อยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ส่วนการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจล่าสุดที่ออกมาก็อยู่ในระดับเฉลี่ย 8 %
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันปาล์ม ส่วนหนึ่งมาจากดินฟ้าอากาศทำให้ผลผลิตขาดแคลน การนำเข้าไม่กระทบผลตอบแทนของเกษตรกรแน่นอน แต่ยอมรับว่าอาจทำให้เกษตรกรมีกำไรน้อยลงเท่านั้น แต่จะไม่ขาดทุน เช่นเดียวกับการขายไข่เป็นกิโล เป็นเพียงทางเลือกให้ประชาชนเท่านั้น ถ้าใครอยากซื้อแบบเดิมก็สามารถทำได้ สำหรับการยุบสภาฯเป็นฝ่ายท่านต่างหากต้องการมาตลอด 2 ปี ผมก็พยายามทำเพื่อให้เกิดความคลี่คลายเท่านั้น
ส่วนเรื่องการทำงานแล้วแต่ใครจะหยิบเอาโพลไหนขึ้นมา อย่างที่ผ่านมาก็มีบางสำนักก็บอกว่า อยากให้ตนทำงานในตำแหน่งนายกฯ มากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร.