ASTVผู้จัดการรายวัน-"สุเทพ"ไฟเขียวนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มอีก 1.2 แสนตัน ขีดเส้นให้เสร็จใน 2 เดือน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนให้กับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่ใช้เป็นวัตถุดิบ "ยรรยง"คาดเมื่อนำเข้าบวกกับผลผลิตเริ่มออก จะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ อคส.เตรียมเรียกผู้ขายเสนอราคาวันนี้ เล็งกดราคาซื้อไม่ให้แพงกว่าล็อตเดิม หรือให้ใกล้เคียงราคาตลาด ก่อนนำไปจัดสรร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีมติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 1.2 แสนตันจากต่างประเทศ ภายในระยะเวลา 2 เดือน (ก.พ.-มี.ค.) โดยมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นหน่วยงานในการนำเข้า และกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการจัดสรรให้กับผู้บริโภครายย่อยและผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้น้ำมันปาล์ม ซึ่งขณะนี้ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน และไก่แปรรูปแช่แข็ง เป็นต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในภาคการผลิต
"การนำเข้าจำนวนดังกล่าว เป็นจำนวนที่เหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับการบริโภครายย่อยในครัวเรือน และแก้ไขปัญหาให้กับภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบน้ำมันปาล์มในการผลิตที่หาซื้อได้ยาก จากความขาดแคลน และมีราคาสูง ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการติดตามสถานการณ์น้ำมันปาล์มทุก 15 วัน เพื่อดูแลปรับเปลี่ยนนโยบายให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อลดการขาดแคลน และยืนยันว่าการนำเข้าในช่วงนี้จะไม่กระทบต่อราคาผลปาล์มดิบในประเทศอย่างแน่นอน เนื่องจากผลปาล์มภายในประเทศยังออกมาไม่มาก”นายสุเทพกล่าว
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ยังไม่ได้สรุปว่าจะนำเข้าน้ำมันปาล์มจำนวน 1.2 แสนตัน จากประเทศไหน แต่ในเรื่องราคานำเข้า จะพิจารณาต่อรองให้ได้ราคาที่ใกล้เคียงกับการนำเข้าครั้งแรก 3 หมื่นตันให้ได้มากที่สุด หรือตามกลไกราคาตลาด ซึ่งการนำเข้าในจำนวน1.2 แสนตัน หรือ 130 ล้านลิตรนั้น ถือว่ามีความเหมาะสม โดยสต็อกน้ำมันปาล์มในขณะนี้มีจำนวน 6.4 หมื่นตัน ในขณะที่ความต้องการใช้มีจำนวน 1 แสน 8 พันตัน ซึ่งการอนุมัตินำเข้าดังกล่าว เมื่อรวมกับผลผลิตปาล์มที่เริ่มออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือนก.พ.นี้ จะทำให้มีปริมาณน้ำมันปาล์มเพียงพอต่อความต้องการอย่างแน่นอน
”หากผลผลผลิตในช่วงเดือนก.พ.ที่จะออกมาสมทบกับที่มีการนำเข้า และมีปริมาณเพียงพอ เชื่อว่าคงไม่มีการนำเข้าเพิ่มอีก แต่หากไม่เพียงพอ ก็คงต้องพิจารณาว่าจะต้องมีการนำเข้าอีกหรือไม่"
สำหรับการนำเข้าครั้งนี้ จะนำมากระจายเพื่อ 2 กลุ่ม คือ ผู้บริโภครายย่อยที่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น แต่ภาคอุตสาหกรรมยังขาดแคลนน้ำมันปาล์มในการผลิต จึงจำเป็นที่จะต้องมีการนำเข้าเพื่อเป็นการช่วยเหลือ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก
นายอนุกูล แต้มประเสริฐ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ในวันนี้ (2 ก.พ.) จะมีการหารือกับผู้ส่งออกหลายๆ รายทั้งในมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อสอบถามราคาก่อนนำเสนอให้โรงกลั่นพิจารณาว่าจะยอมรับราคาได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่รู้สึกหนักใจ เพราะการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (CPO) ปริมาณ 1.2 แสนตัน เป็นข้อดีในแง่การต่อรองราคาที่คาดว่าจะได้ราคาไม่ต่างจากการนำเข้าครั้งก่อน หรือเฉลี่ยกก.ละ 39 บาท แม้ว่าทิศทางราคาตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
“การนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ 1.2 แสนตัน ไม่ได้มากอย่างที่คิด เพราะสามารถใช้ได้จริงเพียง 1-2 เดือนเท่านั้น และการนำเข้าครั้งก่อน ยังมีโรงกลั่นหลายรายไม่ได้รับจัดสรร ซึ่งครั้งนี้ กำหนดจะจัดสรรให้ทั่วถึง ซึ่งแนวทางดำเนินการจะเริ่มจากการเรียกราคาจากผู้ส่งออกในต่างประเทศมาดู อาจต่อรองเบื้องต้น ก่อนนำเสนอให้โรงกลั่นเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะขอรับสัดส่วนนำเข้าหรือไม่ นอกจากนี้ เชื่อว่าจะมีบริษัทที่พร้อมเสนอราคาให้ไทยจำนวนมาก ทำให้ไทยสามารถเลือกซื้อน้ำมันปาล์มได้ในราคาที่เหมาะสมที่สุด” นายอนุกูล กล่าว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีมติให้นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 1.2 แสนตันจากต่างประเทศ ภายในระยะเวลา 2 เดือน (ก.พ.-มี.ค.) โดยมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นหน่วยงานในการนำเข้า และกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการจัดสรรให้กับผู้บริโภครายย่อยและผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้น้ำมันปาล์ม ซึ่งขณะนี้ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน และไก่แปรรูปแช่แข็ง เป็นต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในภาคการผลิต
"การนำเข้าจำนวนดังกล่าว เป็นจำนวนที่เหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับการบริโภครายย่อยในครัวเรือน และแก้ไขปัญหาให้กับภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบน้ำมันปาล์มในการผลิตที่หาซื้อได้ยาก จากความขาดแคลน และมีราคาสูง ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการติดตามสถานการณ์น้ำมันปาล์มทุก 15 วัน เพื่อดูแลปรับเปลี่ยนนโยบายให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อลดการขาดแคลน และยืนยันว่าการนำเข้าในช่วงนี้จะไม่กระทบต่อราคาผลปาล์มดิบในประเทศอย่างแน่นอน เนื่องจากผลปาล์มภายในประเทศยังออกมาไม่มาก”นายสุเทพกล่าว
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ยังไม่ได้สรุปว่าจะนำเข้าน้ำมันปาล์มจำนวน 1.2 แสนตัน จากประเทศไหน แต่ในเรื่องราคานำเข้า จะพิจารณาต่อรองให้ได้ราคาที่ใกล้เคียงกับการนำเข้าครั้งแรก 3 หมื่นตันให้ได้มากที่สุด หรือตามกลไกราคาตลาด ซึ่งการนำเข้าในจำนวน1.2 แสนตัน หรือ 130 ล้านลิตรนั้น ถือว่ามีความเหมาะสม โดยสต็อกน้ำมันปาล์มในขณะนี้มีจำนวน 6.4 หมื่นตัน ในขณะที่ความต้องการใช้มีจำนวน 1 แสน 8 พันตัน ซึ่งการอนุมัตินำเข้าดังกล่าว เมื่อรวมกับผลผลิตปาล์มที่เริ่มออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือนก.พ.นี้ จะทำให้มีปริมาณน้ำมันปาล์มเพียงพอต่อความต้องการอย่างแน่นอน
”หากผลผลผลิตในช่วงเดือนก.พ.ที่จะออกมาสมทบกับที่มีการนำเข้า และมีปริมาณเพียงพอ เชื่อว่าคงไม่มีการนำเข้าเพิ่มอีก แต่หากไม่เพียงพอ ก็คงต้องพิจารณาว่าจะต้องมีการนำเข้าอีกหรือไม่"
สำหรับการนำเข้าครั้งนี้ จะนำมากระจายเพื่อ 2 กลุ่ม คือ ผู้บริโภครายย่อยที่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น แต่ภาคอุตสาหกรรมยังขาดแคลนน้ำมันปาล์มในการผลิต จึงจำเป็นที่จะต้องมีการนำเข้าเพื่อเป็นการช่วยเหลือ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก
นายอนุกูล แต้มประเสริฐ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ในวันนี้ (2 ก.พ.) จะมีการหารือกับผู้ส่งออกหลายๆ รายทั้งในมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อสอบถามราคาก่อนนำเสนอให้โรงกลั่นพิจารณาว่าจะยอมรับราคาได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่รู้สึกหนักใจ เพราะการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (CPO) ปริมาณ 1.2 แสนตัน เป็นข้อดีในแง่การต่อรองราคาที่คาดว่าจะได้ราคาไม่ต่างจากการนำเข้าครั้งก่อน หรือเฉลี่ยกก.ละ 39 บาท แม้ว่าทิศทางราคาตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
“การนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ 1.2 แสนตัน ไม่ได้มากอย่างที่คิด เพราะสามารถใช้ได้จริงเพียง 1-2 เดือนเท่านั้น และการนำเข้าครั้งก่อน ยังมีโรงกลั่นหลายรายไม่ได้รับจัดสรร ซึ่งครั้งนี้ กำหนดจะจัดสรรให้ทั่วถึง ซึ่งแนวทางดำเนินการจะเริ่มจากการเรียกราคาจากผู้ส่งออกในต่างประเทศมาดู อาจต่อรองเบื้องต้น ก่อนนำเสนอให้โรงกลั่นเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะขอรับสัดส่วนนำเข้าหรือไม่ นอกจากนี้ เชื่อว่าจะมีบริษัทที่พร้อมเสนอราคาให้ไทยจำนวนมาก ทำให้ไทยสามารถเลือกซื้อน้ำมันปาล์มได้ในราคาที่เหมาะสมที่สุด” นายอนุกูล กล่าว
