xs
xsm
sm
md
lg

MOU 43 คัมภีร์อันศักดิ์ของผู้นำไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

เมื่อมนุษย์ล้มเหลวในการใช้เหตุผลย่อมสะท้อนให้เห็นถึงภาวะความอับจนทางปัญญา ซึ่งอาจเกิดจากการจำนนในข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับสิ่งตนเองยึดมั่น แต่ด้วยภาวะทางจิตบางประการทำให้เขาพยายามที่แสวงหาหรือประดิษคำพูดที่ดูเผินๆคล้ายกับมีเหตุผล แต่เป็นเหตุผลหรือการวิเคราะห์ที่ห่างไกลหรือบิดเบือนจากโลกของความเป็นจริง

เมื่อมนุษย์ทำตัวให้อยู่ห่างหรือบิดเบือนจากโลกแห่งความเป็นจริง เขาก็ตกอยู่ในวังวนของจินตนาการและความเชื่อที่งมงาย แต่นั่นอาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขาเพราะจินตนาการทำให้เขาลดทอนความเจ็บปวดและความขมขื่นจากการรังเกียจตนเอง เพราะครั้งหนึ่งเขาอาจเคยเป็นผู้ที่บูชาความเป็นจริง แต่เมื่อสภาวะเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เขาต้องละทิ้งความเป็นจริง ด้วยสำนึกดั้งเดิมที่เขามีอยู่เขาจึงรู้สึกเจ็บปวด และเพื่อลดทอนความเจ็บปวดนั้นเขาก็เริ่มต้นสร้างจินตนาการและความเชื่อที่จอมปลอมขึ้นมาห่อหุ้มตนเอง

เมื่อเขานำเสนอบางสิ่งที่โดยลึกๆเองเขาก็รู้ว่ามันขัดแย้งกับความเป็นจริง เขาก็ไม่สามารถเสนออย่างสงบนิ่งและมั่นใจได้ อากัปกิริยาของเขาดูลุกลี้ลุกลน และเคร่งเครียด ผิดไปจากบุคลิกเดิมที่เคยปรากฏต่อสาธารณะ

เขาอาจปิดบังความจริงบางประการอยู่ แต่เขาปรารถนาที่จะให้สาธารณะเชื่อในสิ่งที่เขานำเสนอ เขาจึงใช้ตรรกะที่น่าพิศวงงงงวยต่อวิญญูชนจำนวนมาก บางคนถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่คนมีปัญญาเช่นเขาถึงกับใช้ตรรกะแบบทารกไปได้”

แรงปรารถนาในการรักษาอำนาจอาจเป็นพลังที่กระตุ้นอย่างสำคัญให้แก่เขาในการเปล่งวาจาร้อยเรียงออกมาเช่นนั้น โดยคาดหวังว่าจะทำให้ผู้วิจารณ์เขาอับจนเหตุผลที่จะมาโต้แย้งเขาภายหลัง

เขาตั้งคำถามว่า “หากไม่ใช้ MOU 2543 แล้วจะใช้อะไร” หรือ “ยกเลิก MOU 2543 แล้วยังไงต่อ” การตั้งคำถามเช่นนี้ หากผู้ตั้งเป็นเด็กๆ ผู้คนก็คงเข้าใจได้ในความไร้เดียงสา และความจำกัดของปัญญาที่จะใช้ในการวิเคราะห์เพื่อแสวงหาเลือกที่เหมาะสมมาทดแทนได้ ทว่าเขาเป็นถึงผู้นำของประเทศกำหนดชะตากรรมของผู้คนจำนวนหลายล้านคน การตั้งคำถามเช่นนี้จึงเป็นการสะท้อนและเปิดเผยตัวตนที่ว่างเปล่าของเขาออกมา

เสื้อคลุมของสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติ เสื้อคลุมของผลการเรียนที่ดีเยี่ยม เสื้อคลุมแห่งวาทศิลป์ที่ลื่นไหล ไม่อาจปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อีกต่อไป สถานะของเขาเริ่มตกต่ำอาจจะถึงระดับเดียวกันกับอดีตผู้นำบางคนที่มีความเก่งกาจในการใช้วาทศิลป์แต่ไร้ซึ่งเนื้อหาสาระและตรรกะ และหากแย่กว่านั้นก็อาจตกลงไปสู่ระดับเดียวกับแกนนำเสื้อแดงที่เป็นนักนักการเมือง ที่คำพูดหาสาระแห่งความจริงไม่ได้

เราลองมาดูประโยคตรรกที่เขาใช้ในการอธิบายต่อประชาชน “หากยกเลิก MOU 2543 จะทำให้ประเทศไทยจะมีโอกาสในการที่จะเสียหาย หรือเสียดินแดน อาจจะต้องเข้าสู่สภาวะการสู้รบ” นัยของประโยคที่เขาอ้างหมายความว่า หากประเทศไทยไม่มี MOU 2543 จะทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนแก่ประเทศกัมพูชา หรืออาจต้องทำสงครามกับประเทศกัมพูชา

ข้อเท็จจริงคือ MOU 2543 รับรองการดำรงอยู่ของแผนที่ 1: 200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ทำให้ประเทศกัมพูชาได้ดินแดนของประเทศไทย ส่วนประเทศไทยเขายืนยันว่า เขาใช้หลักสันปันน้ำ แต่ในทางปฏิบัติจริงกัมพูชาได้ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นแนวทางดำเนินงานทางการเมือง การทหาร และการพัฒนาในพื้นที่ชายแดนอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการให้ชาวบ้านไปตั้งชุมชน การปลูกสร้างอาคาร และวัด ในอาณาบริเวณที่แผนที่ดังกล่าวครอบคลุม

แต่เขาและรัฐบาลของเขา แม้จะพูดว่าใช้หลักสันปันน้ำ แต่ไม่มีร่องรอยการปฏิบัติการทั้งทางทหาร การทูต และการพัฒนาใด ที่สอดคล้องกับคำที่เขาประกาศเอาไว้เลย ในทางกลับกัน การปฏิบัติกลับดูเหมือนว่าเป็นการยอมรับข้อกล่าวอ้างของกัมพูชาอย่างกลายๆ เช่น การถอนกำลังทหารออกจากวัดบริเวณเขาพระวิหาร หรือ ปล่อยให้กัมพูชาเขียนป้ายประนามทหารและประเทศไทย เป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งประชาชนผู้รักชาติหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเสนอต่อสาธารณะ เขาจึงยอมลงมือกระทำอะไรบางอย่างลงไป

เขาบอกว่า การไม่มี MOU จะทำให้เกิดสงคราม การกล่าวเช่นนี้เป็นการข่มขู่ประชาชนที่ขาดข้อมูลข่าวสารและมีการรับรู้ที่จำกัดเกิดความกลัว และยอมรับในสิ่งที่เขากล่าว แต่คนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารย่อมคิดได้ว่าการเกิดขึ้นของสงครามระหว่างประเทศนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีหรือไม่มี MOU แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆหลายประการ เช่น ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของชาติ ความเข้มแข็งหรือความอ่อนแอของผู้นำ และ แสนยานุภาพของกองทัพ เป็นต้น

การปะทะกันระหว่างชายแดนไทยกับกัมพูชา มีเกิดขึ้นอย่างประปรายหลายครั้ง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี MOU แต่การมี MOU นั้นจะทำให้ประเทศที่ผู้นำต้องการรักษาหน้าและภาพลักษณ์ในเวทีระหว่างประเทศเสียเปรียบเป็นอย่างไพศาล เพราะว่า ใน MOU มีข้อกำหนดไม่ให้ใช้กำลังทหาร และกำหนดให้รักษาสภาพแวดล้อมเดิมก่อนที่จะมี MOU

เขาเป็นผู้นำประเทศที่รักหน้าและภาพลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงยึด MOU ประดุจคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าผู้คลั่งไคล้ศาสนาที่ยึดมั่นในคัมภีร์ของศาสดาตนเอง หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าศาสดาของเขาเป็นผู้ประกาศใช้ MOU เขาในฐานะที่เป็นสาวกอันซื่อสัตย์จึงได้ยึด MOU ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างแน่นหนาและเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของ MOU อย่างลึกซึ้ง

ขณะที่ผู้นำอีกประเทศหนึ่งหาได้ยึดติดกับ MOU ประดุจคัมภีร์ทางศาสนาแต่อย่างใด และไม่สนใจรักษาหน้าและภาพลักษณ์ของตนเองในเวทีระหว่างประเทศเท่าใดนัก สิ่งที่ผู้นำของกัมพูชาสนใจคือผลประโยชน์ของตัวเขาเองและประเทศของเขา เขาจึงใช้ MOU เป็นเครื่องมือในการที่ทำให้ตนเองได้เปรียบประเทศไทย ขอย้ำ ผู้นำเขมรมอง MOU เป็นเครื่องมือ แต่ผู้นำของไทยมอง MOU เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ผู้นำกัมพูชาจึงใช้เงื่อนไขใน MOU บุกคืบ บุกรุก แผ่นดินของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และใช้ MOU เป็นเครื่องมือในการพันธนาการกองทัพอันทรงแสนยานุภาพของไทยเอาไว้ และพื้นใดที่เขาได้เปรียบอยู่แล้วก็ใช้ MOU ตรึงเอาไว้ ดังที่เกิดขึ้นในพื้นที่บ้านหนองจาน และอีกหลายพื้นที่บริเวณชายแดน

เมื่อนักข่าวถามว่า “ก่อนมี MOU 43 กัมพูชาทำอะไรไทยไม่ได้” ท่านผู้นำเห็นทีได้โอกาสก็รีบสวนกลับทันทีเลยว่า “ใครบอกหละครับ อย่างชุมชนตรงนี้อยู่กันมา 30 ปี ส่วนเอ็มโอยูเพิ่งเกิดมา 11 ปี อะไรเกิดก่อนหลังหละครับ” อนิจจา เขาลืมคิดไปว่า MOU เกิดมา 11 ปี แล้ว แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาข้อพิพาทเหล่านี้ได้แม้แต่น้อย และไม่สามารถทำให้ประเทศไทยได้ดินแดนตรงนี้คืนมาได้ การพูดของเขา ยิ่งสะท้อนให้เห็นความไร้น้ำยาของ MOU 43 และยิ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า MOU 43 หาใช่เครื่องมือวิเศษหรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ประเทศไทยได้ดินแดนที่ถูกกัมพูชาครอบครองแต่อย่างใด

หากท่านผู้นำของเรารู้จักคิดและวิเคราะห์ตามสภาพปัญญาดั้งเดิมของท่าน โดยถอยห่างจากอคติ อวิชาสักนิด ท่านคงคิดได้ และต้องแสวงหาเครื่องมือใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาใช้แทน MOU 2543 แล้ว แต่สิ่งนี้ดูเหมือนจะเลือนรางออกไปทุกที

ผู้นำไทย ยึด MOU 43 ดุจคัมภีร์ทางศาสนา ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดมิไยว่าจะทำให้ประเทศและประชาชนเสียประโยชน์และเดือดร้อนเพียงใด ก็หาได้ตระหนักรู้ไม่ ขณะที่ผู้นำกัมพูชาใช้ MOU 43 เป็นอาวุธอันทรงพลานุภาพสำหรับพันธนาการรัฐบาลไทย กองทัพไทย รวมทั้งบุกรุกยึดพื้นที่ประเทศไทยและใช้อำนาจอธิปไตยของศาลเหนือแผ่นดินไทยอย่างมีประสิทธิภาพ

แล้วอย่างนี้คนไทยผู้มีปัญญาและรักชาติ จะเอา MOU 43 ไว้ทำอะไร

เมื่อคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ผมมีความคาดหวังว่าประเทศไทยคงจะได้นายกรัฐมนตรีที่มีภูมิปัญญาอันแข็งแกร่งในการบริหารประเทศ และสามารถนำพาประเทศไทยไปสู่มิติใหม่ได้

ในการบริหารช่วงสองปีแรกเท่าที่ผมสดับตรับฟัง ส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนว่าคุณอภิสิทธิ์ มีไหวพริบปฏิภาณในการโต้ตอบคำถามจากนักข่าวและฝ่ายค้านได้อย่างแหลมคมพอสมควร อธิบายเรื่องราวหลายเรื่องได้กระจ่างชัด มีหลักการและการใช้เหตุผลที่ดี
กำลังโหลดความคิดเห็น