พาดหัวข่าวกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 5 มกราคม 2554 ‘จัตุมงคล’ รวมบัญชีธปท. เปิดช่องสางหนี้กองทุน เห็นข่าวแล้ว สังเกตอารมณ์ตัวเอง ว่าค่อนข้างขุ่นมัวกับข่าวเช่นนี้ ซึ่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ผู้เขียนใจห่อเหี่ยวประจำ จำได้ว่าเมื่อก่อนเราไม่เคยมีประธานธนาคารแห่งประเทศไทย คงเพิ่งจะมามีในสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประเทศไทยชอบเพิ่ม “หน่วยงานใหม่” และเพิ่ม”ตำแหน่งใหญ่” ในองค์กรงานต่างๆ มาก บางทีก็ซ้ำซ้อนกับงานเดิม เพิ่มไปแล้วงานก็ไม่เห็นว่าแตกต่างจากเดิมแต่อย่างใด
บางครั้งงานดีอยู่แล้ว กลับไปทำให้งานทรุดลงอีก บางงานที่ทรุดอยู่แล้วก็ทรุดมากขึ้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็น่าจะเป็นตำแหน่งใหญ่และสำคัญที่สุด ก็มีตำแหน่ง “ประธานธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่สูงกว่าผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่มาพร้อมกับคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน หากจำได้ไม่ถูกต้องก็ขออภัย
ปี 2524-2528 มีการลดค่าเงินบาทหลายครั้ง จากระดับ 20.67 มาเป็น 28.40 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF เป็นครั้งแรก เกิดโครงการ 4 เมษายน 2527 ปี 2528 ตั้งกองทุนเพื่อการฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อมาบริการจัดการโครงการ 4 เมษายน 2527 และหาทางป้องกันสถาบันการเงินไม่ให้ล้มลงเหมือนในอดีตอีก
ปี 2540-2544 สภาพคล่องเสียหายอย่างหนัก ต้องลอยค่าเงินบาท จากระดับ 24-25 มาเป็น 55-56 บาท ต้องปิดสถาบันการเงินในช่วงแรก 54 แห่ง ทุกวันนี้ทั้งปิด ทั้งตกเป็นข้องต่างชาติประมาณ 80 แห่ง ภาคการผลิตจริง เกษตรกรล้มลงทั่วหน้า ต้องเข้าโครงการ IMF เป็นครั้งที่ 2
คงเป็นวิสัยทัศน์ปรัชญาที่ไม่ถูกต้อง ของการตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เหตุเพราะไม่ได้จัดการกับต้นเหตุอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหาย โครงการ 4 เมษายน 2527 บันทึกไว้ว่าสถาบันการเงินเกิดความเสียหายและถูกควบกิจการถึง 25 แห่ง ถือว่าเป็นความเสียหายที่รุนแรง
การตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เข้ามาจัดการปัญหาทางด้านสถาบันการเงิน ก็เพื่อหวังจะไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอีก แต่ปรากฏว่าเกิดความเลวร้ายและรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่าเดิม นอกจากไม่สามารถปกป้องฟื้นฟูให้สถาบันการเงินเกิดความมั่นคงแล้ว ยังทำความเสียหายให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าเดิม นอกจากสถาบันการเงินจะเสียหายทั้งระบบแล้ว ค่าเงินบาทเสียหายหนัก ภาคการผลิตจริงเสียหายหนัก ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณแผ่นดินในช่วงเวลาดังกล่าวเสียอีก
บัญชีของธปท.ทุกวันนี้มี 3 บัญชี 1) ฝ่ายออกบัตรธนาคาร 2) ฝ่ายการธนาคาร 3) ฝ่ายหลวงตามหาบัว ที่มีทองคำหนักรวม 12 ตัน (17,143 ล้านบาท) และมีเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ (300 ล้านบาท)
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธาน ธปท.เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาแต่แรก ที่เคยเป็นทั้งปลัดกระทรวงการคลัง และเป็นผู้ว่าธปท.มาก่อน
ปัจจุบัน หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เหลือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท แนวคิดการรวมบัญชี ธปท.มีมาตั้งแต่ปี 2540 ตั้งแต่ยอมจำนนและพ่ายแพ้ต่อการปกป้องสถาบันการเงิน และปกป้องค่าเงินบาท การที่จะเอาทรัพย์สินจากบัญชีอื่น มาช่วยใช้หนี้ฝ่ายการธนาคาร เป็นการไม่ถูกต้อง และไม่น่าจะเอามาใช้ได้ เพราะต้องใช้หนุนการพิมพ์ธนบัตรอยู่ หรือหากแม้จะนำมาสางหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ก็น่าใช้หนี้ได้ไม่หมด เพราะกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯก่อหนี้ไว้มโหฬารเหลือเชื่อ แล้วจะรวมบัญชีไปทำไม
ไม่แต่เพียงเท่านั้น ความเสียหายในอดีตได้เกิดขึ้นซ้ำรอยมา 2 ครั้งแล้ว เห็นได้จาก เราเข้าไอเอ็มเอฟมา 2 ครั้งแล้ว เรายังไม่ได้แก้ไขต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น และมีโอกาสมากที่จะเกิดหนี้รอบใหม่ขึ้นมาอีก คิดดูให้ดี หนี้เก่ายังใช้ไม่หมด หนี้ใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาอีก เพราะการแก้ปัญหาแบบขอไปที จึงทำให้ปัญหาไม่สามารถยุติลงได้ ยิ่งเจอกับนักการเมืองน้ำเน่า มักง่าย ก็มีแต่จะซ้ำเติมปัญหาให้บายปลาย และหนักมากขึ้น
indexthai@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai
บางครั้งงานดีอยู่แล้ว กลับไปทำให้งานทรุดลงอีก บางงานที่ทรุดอยู่แล้วก็ทรุดมากขึ้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็น่าจะเป็นตำแหน่งใหญ่และสำคัญที่สุด ก็มีตำแหน่ง “ประธานธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่สูงกว่าผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่มาพร้อมกับคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน หากจำได้ไม่ถูกต้องก็ขออภัย
ปี 2524-2528 มีการลดค่าเงินบาทหลายครั้ง จากระดับ 20.67 มาเป็น 28.40 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF เป็นครั้งแรก เกิดโครงการ 4 เมษายน 2527 ปี 2528 ตั้งกองทุนเพื่อการฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อมาบริการจัดการโครงการ 4 เมษายน 2527 และหาทางป้องกันสถาบันการเงินไม่ให้ล้มลงเหมือนในอดีตอีก
ปี 2540-2544 สภาพคล่องเสียหายอย่างหนัก ต้องลอยค่าเงินบาท จากระดับ 24-25 มาเป็น 55-56 บาท ต้องปิดสถาบันการเงินในช่วงแรก 54 แห่ง ทุกวันนี้ทั้งปิด ทั้งตกเป็นข้องต่างชาติประมาณ 80 แห่ง ภาคการผลิตจริง เกษตรกรล้มลงทั่วหน้า ต้องเข้าโครงการ IMF เป็นครั้งที่ 2
คงเป็นวิสัยทัศน์ปรัชญาที่ไม่ถูกต้อง ของการตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เหตุเพราะไม่ได้จัดการกับต้นเหตุอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหาย โครงการ 4 เมษายน 2527 บันทึกไว้ว่าสถาบันการเงินเกิดความเสียหายและถูกควบกิจการถึง 25 แห่ง ถือว่าเป็นความเสียหายที่รุนแรง
การตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เข้ามาจัดการปัญหาทางด้านสถาบันการเงิน ก็เพื่อหวังจะไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอีก แต่ปรากฏว่าเกิดความเลวร้ายและรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่าเดิม นอกจากไม่สามารถปกป้องฟื้นฟูให้สถาบันการเงินเกิดความมั่นคงแล้ว ยังทำความเสียหายให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าเดิม นอกจากสถาบันการเงินจะเสียหายทั้งระบบแล้ว ค่าเงินบาทเสียหายหนัก ภาคการผลิตจริงเสียหายหนัก ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณแผ่นดินในช่วงเวลาดังกล่าวเสียอีก
บัญชีของธปท.ทุกวันนี้มี 3 บัญชี 1) ฝ่ายออกบัตรธนาคาร 2) ฝ่ายการธนาคาร 3) ฝ่ายหลวงตามหาบัว ที่มีทองคำหนักรวม 12 ตัน (17,143 ล้านบาท) และมีเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ (300 ล้านบาท)
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธาน ธปท.เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาแต่แรก ที่เคยเป็นทั้งปลัดกระทรวงการคลัง และเป็นผู้ว่าธปท.มาก่อน
ปัจจุบัน หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เหลือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท แนวคิดการรวมบัญชี ธปท.มีมาตั้งแต่ปี 2540 ตั้งแต่ยอมจำนนและพ่ายแพ้ต่อการปกป้องสถาบันการเงิน และปกป้องค่าเงินบาท การที่จะเอาทรัพย์สินจากบัญชีอื่น มาช่วยใช้หนี้ฝ่ายการธนาคาร เป็นการไม่ถูกต้อง และไม่น่าจะเอามาใช้ได้ เพราะต้องใช้หนุนการพิมพ์ธนบัตรอยู่ หรือหากแม้จะนำมาสางหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ก็น่าใช้หนี้ได้ไม่หมด เพราะกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯก่อหนี้ไว้มโหฬารเหลือเชื่อ แล้วจะรวมบัญชีไปทำไม
ไม่แต่เพียงเท่านั้น ความเสียหายในอดีตได้เกิดขึ้นซ้ำรอยมา 2 ครั้งแล้ว เห็นได้จาก เราเข้าไอเอ็มเอฟมา 2 ครั้งแล้ว เรายังไม่ได้แก้ไขต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น และมีโอกาสมากที่จะเกิดหนี้รอบใหม่ขึ้นมาอีก คิดดูให้ดี หนี้เก่ายังใช้ไม่หมด หนี้ใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาอีก เพราะการแก้ปัญหาแบบขอไปที จึงทำให้ปัญหาไม่สามารถยุติลงได้ ยิ่งเจอกับนักการเมืองน้ำเน่า มักง่าย ก็มีแต่จะซ้ำเติมปัญหาให้บายปลาย และหนักมากขึ้น
indexthai@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai
