ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การออกมาเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในนาม “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” กรณีปราสาทพระวิหาร ตลอดรวมไปถึงการจับกุมคณะของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์และนายวีระ สมความคิด ที่ขณะนี้ทวีความดุเดือดถึงขั้นปิดการจราจรหน้าทำเนียบรัฐบาลและเคลื่อนขบวนไปถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น แม้จะมีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัดในการปกป้องดินแดนแห่งราชอาณาจักร แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดคำถามและข้อสงสัยตามมามากมายเช่นกัน
คำถามแรกคือ กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ตลอดรวมถึงสื่อที่อยู่ในมืออย่าง “ช่อง 13 สยามไท” นั้น คือใครมาจากไหน
และคำถามที่สองคือ ทำไม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ถึงไม่ผนึกกำลังร่วมต่อสู้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนกลุ่มนี้ ยิ่งเมื่อเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติเชื้อเชิญ “กลุ่มเส้นทางสีแดง” ขึ้นเวทีเมื่อวัน 16 ม.ค.ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยตามมาถึงรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม
แน่นอน ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ย่อมมีเบื้องหน้า เบื้องหลังและที่มาที่ไปซึ่งต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ทั้งสองคำถามก็มีคำตอบที่สามารถใช้อธิบายซึ่งกันและกันได้
**เปิดตัวผู้อยู่เบื้องหลัง 13 สยามไท
สำหรับคำถามแรกคือเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติเป็นใครมาจากไหนนั้น ถ้าหากตรวจสอบรายชื่อตามที่ปรากฏเป็นข่าวก็จะพบว่า คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอดีตแนวร่วมหรือคนคุ้นเคยเมื่อของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีการชุมนุมในช่วงปี 2549 ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ แกนนำระดับหัวขบวนของกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายวีระ สมความคิด นายการุณ ใสงาม นายสมบูรณ์ ทองบุราณ และนายไพศาล พืชมงคล
การก่อกำเนิดของคนกลุ่มนี้เริ่มต้นรวมตัวกันอย่างเป็นรูปเป็นร่าง หลังเสร็จสิ้นจากชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ เนื่องเพราะแม้เป้าหมายจะเหมือนกัน แต่แนวทางในการขับเคลื่อนทางยุทธวิธีแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะพวกเขาเห็นว่าพันธมิตรฯ ต่อสู้ไม่เด็ดขาดและมุ่งมั่นอยู่กับแนวทาง “สงบ สันติ อหิงสา” มากเกินไป
ยิ่งเมื่อต้องผิดหวังกับการที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ตัดสินใจตั้ง “พรรคการเมืองใหม่” โดยไม่สนใจ “พรรคประชาภิวัฒน์” ที่พวกเขาแอบไปจดทะเบียนล่วงหน้าเอาไว้ โดยนำคำว่าประชาภิวัฒน์จากการปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุลในเรื่องการเมืองใหม่ ก็ยิ่งทำให้นายไชยวัฒน์อกหักเพราะเหวังจะได้คะแนนเสียงทางการเมืองของมวลชนพันธมิตรฯ มาสนับสนับสนุนพรรคการเมืองของตน กระทั่งกระโดดออกมาวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านการตั้งพรรคของพันธมิตรฯ อย่างรุนแรงหลายครั้งหลายครา
ว่ากันว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตั้งพรรคของนายไชยวัฒน์มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเจ้าเก่าอย่าง พล.ต.มนุญกฤต รูปขจร และนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ต้องถือเป็นคนคุ้นเคยกับนายการุณ ใสงามและนายสมบูรณ์ ทองบุราณด้วยเช่นกันเมื่อครั้งตั้งพรรคมัชฌาธิปไตย ก่อนที่จะวงแตกในกาลต่อมา
จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็แยกตัวออกจากพันธมิตรฯ พร้อมทั้งดึงมวลชนบางส่วนของพันธมิตรฯ ออกไปทำกิจกรรมเองในนาม “สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย” พร้อมทั้งก่อตั้ง “บริษัท เสียงประชาชนไทย” ขึ้นมาเพื่อประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม โดยใช้ชื่อว่า “ช่อง 13 สยามไท” มีสถานที่ตั้งอยู่เลขที่ 74/19 ซอยนวมินทร์ 85 แขวงคลองกุ่ม กรุงเทพฯ โดยมุ่งหวังที่จะใช้เป็นกระบอกเสียงของตนเอง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นไปในร่องเดียวกับพันธมิตรประชาธิปไตยที่มีทีวีของประชาชนอย่าง “เอเอสทีวี” เป็นแก่นแกนในการเคลื่อนไหว
ทั้งนี้ ช่อง 13 สยามไทมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 20 ล้านบาท ตามที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวอ้าง พร้อมทั้งจัดสรรหุ้นให้ประชาชนเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของจำนวน 1 ล้านหุ้นหุ้นละ 10 บาท
สำหรับช่อง 13 สยามไทนั้น นอกจากจะรับชมผ่านดาวเทียมแล้ว ยังสามารถรับฟังได้ทางสถานีวิทยุอีก 2 สถานีคือ สถานีวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 104.25 กรุงเทพฯ และคลื่นเอฟเอ็ม 104.25 จังหวัดนครราชสีมา
นอกจากนั้น เมื่อตรวจสอบรายชื่อ “คณะผู้ก่อตั้ง” ช่อง 13 สยามไทแล้วก็ยิ่งเห็นภาพการขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน กล่าวคือมี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานบริษัท มีนายไพศาล พืชมงคลเป็นที่ปรึกษาบริษัท นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นประธานผังรายการ และมีนายสมบูรณ์ ทองบุราณ เป็นผู้อำนวยการสถานี
ทั้งนี้ เมื่อถอดรหัสแกนนำคนสำคัญก็จะพบความน่าสนใจประการหนึ่งว่า หัวขบวนผู้คิดการใหญ่ในครั้งนี้คือ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ซึ่งเป็นทั้งคนหาทุนและผู้นำทางความคิด ในฐานะนักล็อบบี้ยิสต์ที่มีความสัมพันธ์กับทั้งกลุ่มการเมือง กลุ่มทุนทางธุรกิจและเครือข่ายทหารอย่างกว้างขวาง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในล้อมกรอบ) พร้อมทั้งเชื่อมต่อผู้ที่อกหักทางการเมืองมาอยู่รวมกัน
ขณะที่คนอื่นๆ ก็แบ่งแยกหน้าที่กันไปตามความถนัดของแต่ละคน กล่าวคือ นายไชยวัฒน์คือผู้ประสานงานมวลชน รวมทั้งเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวทุกระนาบ ขณะที่นายวีระคือหัวหมู่ทะลวงฟันที่ทำหน้าที่นำการเคลื่อนไหว ส่วนนายไพศาลก็เสมือนหนึ่งเป็นกุนซือในการวางแผนและถ่ายทอดความคิดจากแกนนำไปสู่มวลชนของตนเอง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ การที่นายทุนคนสำคัญในการดำเนินการจัดตั้งช่อง 13 สยามไทมีชื่อว่า พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เพราะนั่นส่งผลทำให้สังคมเห็นเป้าหมายในการเคลื่อนไหวของบุคคลกลุ่มนี้ชัดเจนขึ้นว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังเช่นไร ดังเช่นที่ “พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร” เคยเผชิญด้วยตนเองมาแล้ว
คำถามที่หลายคนอยากรู้มีอยู่ว่า เงินจำนวน 20 ล้านที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์อ้างว่า เป็นทุนในการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท เสียงประชาชนไทย หรือดำเนินการทำโทรทัศน์ช่อง 13 สยามไทนั้น เงินจำนวนนี้มีที่มาและที่ไปอย่างไร รวมทั้งคำถามที่ว่า มีกลุ่มทุนใดเป็นผู้สนับสนุนการก่อกำเนิดของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องนี้หรือไม่
และแน่นอนว่า เมื่อจัดตั้งขึ้นมาในรูปของบริษัท และมีสื่อโทรทัศน์เป็นของตัวเอง ก็ย่อมที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายิงสัญญาณผ่านดาวเทียมที่เป็นภาระอันหนักหนาสาหัส ดังนั้น จึงจำต้องหาหนทางที่จะหล่อเลี้ยงสถานีของตนเองให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่พวกเขาจำเป็นที่จะต้อง “ช่วงชิงการนำ” ให้จงได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว การขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ก็จะสะดุดและติดขัด
ส่วนถามว่า เป้าหมายของคนกลุ่มนี้คืออะไร
แน่นอน เป้าหมายระยะสั้นเบื้องหน้าคือการดึงมวลชนให้เข้ามาเป็นเครือข่ายเพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการเมือง ทั้งจากรัฐบาลและภาคส่วนอื่นๆ อันจะนำมาซี่งสิ่งที่ทุกคนรู้ดีว่าคืออะไร ส่วนเป้าหมายระยะยาวก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า น่าจะมุ่งหน้าไปที่การจัดตั้งพรรคการเมืองตามความฝันที่พวกเขาปรารถนา
**สันติอโศก-พันธมิตรฯ สัมพันธ์ไม่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งที่สังคมไม่เข้าใจก็คือ การที่ “สมณะโพธิรักษ์” แห่งสันติอโศกตัดสินใจนำเหล่าสมณะ สิกขมาตร(นักบวชหญิง) และกองทัพธรรม เข้าร่วมปักหลักชุมนุมกับกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติที่ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ประธานมูลนิธิกองทัพธรรมซึ่งรั้งตำแหน่งแกนนำพันธมิตรฯ อย่าง “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” ไม่ได้ผลักดันและขับเคลื่อนให้พันธมิตรฯ เข้าร่วมต่อสู้อย่างเต็มตัว โดยเลื่อนกำหนดการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯ จากเดิมที่วางเอาไว้ในวันที่ 25 ธันวาคมมาเป็นในช่วงนี้แทนจนสังคมอดสงสัยถึงความแตกแยกที่เกิดขึ้นไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากวิเคราะห์ถึงการตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติของสมณะโพธิรักษ์แล้วก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะต้องไม่ลืมว่า ในบรรดากลุ่มคนที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมนั้นเป็นคนของสันติอโศกชัดๆ อย่างน้อย 3 คนด้วยกันคือ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นายตายแน่ มุ่งมาจนและ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งในฐานะผู้นำทางความคิดก็มิอาจนิ่งดูดายต่อการถูกจับกุมตัวของลูกศิษย์ได้
ดังนั้น จึงมิได้หมายความว่า สันติอโศกและพันธมิตรฯ แตกแยกกันประการใด
ดังเช่นที่ทั้งสมณะโพธิรักษ์ให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลายคราถึงความสัมพันธ์ที่ยังเหมือนเดิม
“ยืนยันว่าความสัมพันธ์ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่มีการแตกแยกหรือเปลี่ยนแปลง แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง แต่เป้าหมายคือต้องการทำให้สังคมดีขึ้น ยังเป็นเป้าหมายเดียวกัน จึงขอให้ทุกคนอย่างหวั่นไหวกับกระแสข่าวที่ออกมา”พ่อท่านของชาวสันติอโศกยืนยัน
เช่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ที่ไม่ว่าจะสัมภาษณ์กี่ครั้งก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้แตกแยกกับสันติอโศก
เพราะต้องยอมรับว่า ความสำเร็จของพันธมิตรฯ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดซึ่งพลังหนุนที่เข้มแข็งของกองทัพธรรมและสันติอโศก
ขณะที่ดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสมณะโพธิรักษ์กับนายไชยวัฒน์เองก็มิได้ราบรื่นเท่าใดนัก เนื่องจากแนวนโยบายในการขับเคลื่อนของนายไชยวัฒน์ยึดหลักรุนแรงเป็นสำคัญ ดังเช่นการประกาศแผนนำม็อบเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติไปชุมนุมปิดด่านอรัญประเทศที่จังหวัดสระแก้ว ก่อนที่จะล้มพับพาบไม่เป็นท่าและย้ายไปปักหลักที่หน้ากระทรวงกลาโหมแทน ท่ามกลางความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นแน่
ว่ากันว่า สาเหตุที่แผนของนายไชยวัฒน์ล้มลงไปนั้น เป็นผลมาจากเสียงคัดค้านด้วยความไม่สบายใจจากสมณะโพธิรักษ์ที่ไม่ต้องการออกนอกแนวทางสงบ สันติ อหิงสา จึงเรียกนายไชยวัฒน์เข้ามาพูดคุยเพื่อขอร้องให้เปลี่ยนยุทธวิธีเพื่อมิให้เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อในเกมสร้างสถานการณ์ของฝ่ายอำนาจรัฐ
และหลังจากนั้น เวทีชุมนุมของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติก็ถูกกองทัพธรรมเข้ามาบริหารจัดการ ทั้งเรื่องไฟ แสง สี เสียง เวที โรงครัว รวมถึงการถ่ายทอดสดผ่าน “เอฟเอ็มทีวี” ของสันติอโศก
**เป็นมิตรหรือศัตรู
ส่วนประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติในการชุมนุมเพื่อปกป้องดินแดนของราชอาณาจักรไทยเหนือปราสาทพระวิหาร รวมทั้งในการช่วยเหลือคณะ 7 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไปนั้น ใครที่เข้าร่วมชุมนุมหน้าทำเนียบฯ กับคนกลุ่มนี้ก็จะพบว่า บรรยากาศเต็มไปด้วยความหนักหน่วง เคร่งเครียดและมีกลิ่นอายของความไม่เป็นมิตรกับพันธมิตรฯ ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
ไม่ว่าจะเป็นการออกอากาศของช่อง 13 สยามไทที่โจมตีพันธมิตรฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์จากท่วงทำนองของการนำเสนอก็มิอาจทำให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ว่า มีเป้าประสงค์เพื่อต้องการดึงมวลชนและสร้างกระแสความเกลียดชังให้เกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรฯ ชนิดเปิดหน้าชก
ไม่ว่าจะเป็นบรรดา “การ์ด” ของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติที่เวทีทำเนียบรัฐบาลที่แสดงอากัปกิริยาที่ก้าวร้าวต่อ “ผู้สื่อข่าวของเอเอสทีวี” ที่ต้องการจะเข้าไปรายงานความเคลื่อนไหว จนถึงขนาดสั่งห้ามเข้ามาในพื้นที่เลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นการที่ “อัญชะลี ไพรีรัก” เดินทางไปร่วมชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลตามคำเชิญของกลุ่มสันติอโศกที่ถือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพันธมิตรฯ แต่กลับถูกแกนนำของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติกลุ่มหนึ่งไล่ลงจากเวที เสมือนหนึ่งคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
เช่นเดียวกับการที่เครือข่ายพันธมิตรฯ บางคนตั้งใจนำข้าวปลาอาหารไปช่วยสนับสนุนการชุมนุมเนื่องจากเห็นใจบรรดาพี่น้องประชาชนที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่ก็กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใย
นอกจากนี้ การแสดงออกถึงความไม่พอใจพันธมิตรฯ ปรากฏขึ้นหลายครั้งหลายคราจากบรรดาแกนนำของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติและช่อง 13 สยามไท ดังเช่นที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน หนึ่งในหัวขบวนของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ในฐานะประธานสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยที่มีแกนนำอย่างนายวีระและนายไชยวัฒน์ ร่วมด้วย และในฐานะประธานบริษัท เสียงประชาชนไทย เจ้าของช่อง 13 สยามไท ให้สัมภาษณ์เอาไว้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายฯกับกลุ่มพันธมิตรฯในเรื่อง 7 คนไทย เอาไว้ว่า “ไม่ใช่เขาไม่สนใจน้อย เขาไม่ได้สนใจเลย วันนี้สันติอโศกก็ได้เข้าร่วมแล้ว สันติอโศกอยู่ในเครือข่ายคนไทยฯ แต่วันนี้ประกาศเข้าร่วมอย่างชัดเจน ตอนนี้มีการเคลื่อนทัพมาร่วมชุมนุมแล้ว มากันเป็นหมื่น คือเครือข่ายก็แล้วแต่ใครมีความเห็นก็มาด้วยกัน ถามว่ายังเป็นพันธมิตรฯมั๊ย เราก็ยังเป็นพันธมิตรฯ ถ้าหัวข้อที่พันธมิตรฯเดินเป็นหัวข้อที่ตรงกับเรา เมื่อจบแล้วผมก็ออกจากพันธมิตรฯ มาตั้งเป็นสมัชชาประชาชน”
“เราเดินในนามเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งคุณไชยวัฒน์ (สินสุวงศ์) เป็นผู้รับใช้เครือข่ายฯ เราไม่มีหัวหน้า เราไม่มีกรรมการ เราไม่มีผู้รับใช้เครือข่าย “สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย” ที่มีคุณไชยวัฒน์เป็นเลขาฯ อันนี้ผมเป็นประธานก็เข้าไปร่วมเป็นเครือข่าย กลุ่มของวีระ สมความคิด ก็ไปร่วมในเครือข่าย เครือข่ายนี้ประกอบด้วยคนมากครับ พันธมิตรฯจำนวนหนึ่งก็มาร่วมในเครือข่าย เรามาร่วมต่อสู้เพื่อ 7 ท่านนี้ แล้วเราก็จะสลายเครือข่าย “สันติอโศก” ก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายเรา”
“ทำไมเราใช้ชื่อ “เครือข่ายฯ” เพราะว่าเสื้อแดงก็มาร่วมกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะ “แดง” จะ “เหลือง” ไม่ได้แล้ว เพราะว่าทั้ง 7 ท่านก็เป็นคนไทย คนไทยหัวใจรักชาติ เสื้อแดงเขาก็รักชาตินะครับ เขามาร่วมกับเราตั้งหลายคน ที่มาอยู่กับผม โทรศัพท์เข้ามา ผมเสื้อแดงนะแต่ก็มาร่วมกับเรา เราถึงใช้ชื่อเครือข่ายคนไทยฯ ผมเชื่อเหลือเกินว่า คุณวีระจะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล จะเอาไปทรมานอย่างไร ก็ไม่ยอมรับ เพราะว่าจะต้องรักษาอธิปไตยของไทยไว้ ถ้ายอมรับก็แปลว่า แผ่นดินตกเป็นของเขาทันที เพราะฉะนั้นวีระไม่ใช่ไม่รับคำตัดสิน แต่ไม่รับการดำเนินการของศาลกัมพูชาเลย”
**เป้าหมายเดียวกัน แต่ยุทธวิธีต่างกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สังคมมองเห็นชัดเจนระหว่างเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติกับพันธมิตรฯ ก็คือ แม้มีเป้าหมายเดียวกันคือการปกป้องอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย แต่ยุทธวิธีในการขับเคลื่อนกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครั้งที่พันธมิตรฯ ประกาศชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลขณะที่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิลกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ยกเลิก MOU43 แต่เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ยอมที่จะมารับฟังปัญหาและชี้แจงข้อสงสัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยตนเองที่สนามกีฬาเวสส์ จึงทำให้พันธมิตรฯ ตัดสินใจไม่ชุมนุม ซึ่งกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ โดยเฉพาะนายไชยวัฒน์ที่ไม่พอใจ พร้อมทั้งประกาศชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเหมือนเดิมก่อนที่จะตัดสินใจย้ายไปที่บริเวณหน้ากองทัพภาพที่ 1 ในภายหลัง
จากนั้นเมื่อพันธมิตรฯ รวมพลังเพื่อคัดค้านการที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์นำผลบันทึกการประชุม JBC เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งผิดเงื่อนไขและตกลงที่นายอภิสิทธิ์รับปากไว้ โดยในครั้งนั้นเมื่อสภามีมติเลื่อนการพิจารณาบันทึก JBC ออกไป และ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองประกาศสลายตัว เครือข่ายคนไทยฯ และนายไชยวัฒน์ก็มิได้สนใจ พร้อมเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมอยู่ต่อเพื่อยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาลแทน
หรือล่าสุดกับกรณีที่ “นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” ทอดไมตรีต่อกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยการต้อนรับ “กลุ่มเส้นทางสีแดง” ให้ขึ้นไปบนเวทีพร้อมทั้งออกปากด้วยความมั่นใจว่า “งานนี้ไม่มีสี มีแต่การรักชาติ ซึ่งคนเสื้อแดงพร้อมมาร่วมชุมนุมด้วย หากอยากให้ตนไปกราบคนเสื้อแดงตนก็ยินดี เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องบ้านเมือง รัฐบาลนี้ปากบอกว่าปรองดอง แต่กลับส่งกำลังไล่ล่าคนเสื้อแดง รัฐบาลนี้ต้องออกไปได้แล้ว” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พวกเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ โดยมิได้สนใจความถูกต้องหรือหลักการแต่ประการใด
ที่สำคัญคือ จากการตรวจสอบข้อมูลของสื่อหลายสำนัก รวมทั้งในกลุ่มคนเสื้อแดงเองก็มีการตั้งข้อสงสัยถึงความเป็นมาของกลุ่มเส้นทางสีแดงก็พบว่า มีนัยที่น่าสนใจหลายประการ และน่าจะเป็นก๊วนเดียวกับนายไชยวัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นนายอนุรักษ์ จินตวนิช หรือฟอร์ด ส.อ.ฉลาด สงเคราะห์สุขหรือผู้กองเต่า เรืออากาศตรีธนะสิทธิ์ พิพุฒหรอืเล็ก นายสำเริง โพดกหรือเสธ.ดำ ดังเช่นที่ “นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์” โฆษก นปช.ที่ระบุชัดเจนว่า คนกลุ่มนี้น่าจะเป็นแดงเทียม เพราะถ้าเป็นแดงแท้จะไม่มีทางไปจับมือหรือขึ้นเวทีกับกลุ่มคนที่สนับสนุนการรัฐประหาร และคนเสื้อแดงเองก้ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับ “บก.นิ้วกลาง-นายสมบัติ บุญงามอนงค์” แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง อดีตที่ปรึกษาของกลุ่มเส้นทางสีแดง และนายพิธาน ทรงกัมพล หรือแป๊ะ บางสนาน ศิลปินเสื้อแดง ซึ่งเคยร่วมในกลุ่มเส้นทางสีแดงที่พร้อมใจกันบอกว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของกลุ่มดังกล่าว เพราะแยกตัวออกมานานแล้ว และปัจจุบันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย
นั่นแสดงให้เห็นว่า การพบกันระหว่างกลุ่มเส้นทางสีแดงและนายไชยวัฒน์น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่ทางเกิดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ตราบใดที่พวกเขายังคงบูชา นช.ทักษิณ ชินวัตรโดยที่มิได้คำนึงถึงเหตุและผล
ยิ่งเมื่อชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลนานวันเข้าและไม่สามารถระดมคนออกมาได้ดั่งใจ ก็ยิ่งทำให้พวกเขาหงุดหงิดขึ้น ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกันที่ นายไชยวัฒน์และนายสมบูรณ์ แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติจึงประกาศหลังเดินทางไปยื่นถวายฎีกาที่สำนักพระราชวังแล้วเสร็จว่า จะเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีชุมนุมหน้าสนามบิน จับกุม แต่หาก พล.ต.ท.สมยศไม่จับกุม จะเข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีต่อ พล.ต.ท.สมยศ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ไปปรากฏตัวที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่มีใครมาจับกุม
ทว่า ระหว่างทางเมื่อถึงบริเวณหน้าห้างโลตัส สาขาพระรามที่ 1 นายไชยวัฒน์ได้แวะเข้าไปรับประทานอาหาร จึงถูกตำรวจ บก.น.6 เข้าจับกุมตัวตามหมายจับเดิมในข้อหาร่วมกันชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ และหน้าสนามบินดอนเมือง เมื่อครั้งชุมนุมขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เรียกว่า เปิดเกมยอมถูกจับและประกาศไม่ประกันตัวเพื่อ “เรียกแขก” ให้เข้ามาร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นงเกิดขึ้นกับกลุ่กนใจความถูกต้องหรือหลักการแต่ประการใดอจัดตั้งพรรคการเมือง
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯ มิได้เคยมีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เช่นเดียวกับสื่อในเครือของเอเอสทีวี ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ ที่รายงานข่าวเรื่องการจับกุมนายพนิช นายวีระอย่างตรงไปตรงมา เพราะประจักษ์แจ้งในหลักฐานว่า คณะคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับในดินแดนของราชอาณาจักรไทย
ที่สำคัญคือ ประจักษ์แจ้งในท่าทีที่ไม่เอาอ่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่ทำให้ประเทศไทยสูญเสียศักดิ์ศรีด้วยความอ่อนแอและไม่กล้าที่จะใช้ยุทธศาสตร์ตาต่อตาฟันต่อฟันกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา
เพียงแต่แนวทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ และสื่อในเครือเอเอสทีวีไม่สอดคล้องและถูกใจแกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเท่านั้น
“นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์” โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันถึงความสัมพันธ์ของพันธมิตรฯ กับเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ สันติอโศกและช่อง 13 สยามไทเอาไว้ว่า ภาพรวมของทั้ง 2 กลุ่มมีจุดยืนร่วมกันมาตั้งแต่รวมตัวคัดค้านอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือระบอบทักษิณ เหมือนกัน หลังจากนั้นต่อมาก็ยังมีเป้าหมายในจุดยืนเรื่องพื้นที่เขาพระวิหาร ในการคัดค้านประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกมาโดยตลอด จึงเหมือนกันในยุทธศาสตร์และจุดยืน
อย่างไรก็ตาม แนวทางการต่อสู้อาจจะไม่เหมือนกันในทางยุทธวิธี เพราะในส่วนของพันธมิตรฯ จะมีวิธีการร่วมกำหนดแนวทางการต่อสู้กันก่อน ทั้งผ่านการกลั่นกรองจากหลายฝ่าย หลายคน จึงจะสามารถออกมาเป็นยุทธวิธีในแนวทางการต่อสู้ในเรื่องต่างๆ แต่สำหรับในส่วนของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ จะมีลักษณะอีกแบบหนึ่งที่มีความแตกต่างกับพันธมิตรฯ
ยกตัวอย่างเช่นกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด ที่ทางกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในเขตพื้นที่พิพาท จากการชักชวนของ นายพนิช วิกิตเศรษฐ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพันธมิตรฯ ไม่เลือกแนวทางนั้น เพราะมีจุดยืนว่า ถ้าจะเข้าไปต้องไปเพื่อปักธงชาติไทยเพื่อแสดงให้เห็นว่า เป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทย ขณะเดียวกันก็ต้องมีการประเมินถึงความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจับกุมจากทหารกัมพูชา ซึ่งสุดท้ายแล้ว พันธมิตรฯจะเลือกเดินไปสำรวจพื้นที่ด้วยการมีทหารไทย หรือตำรวจตะเวนชายแดน เดินทางไปพร้อมคณะด้วย
นอกจากนั้น ในอีกมุมหนึ่ง การที่นายวีระตกลงไปร่วมเดินทางไปกับนายพนิช จนถูกทหารกัมพูชาจับตัว และทำให้เกิดเป็นกระแสในสังคมและเพื่อหาแนวร่วม ก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง แต่ก็เกิดปัญหาใหญ่ตามมาคือ ไม่รู้ว่าจะช่วย นายวีระให้ออกจากเรือนจำได้หรือไม่ อีกทั้งทางประเทศกัมพูชาเอง โดยเฉพาะนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ยังได้แสดงอำนาจอีกต่างหากว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของประเทศกัมพูชาด้วยเช่นกัน กระทั่งเหตุการณ์บานปลาย กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ จึงได้ออกมายกระดับการชุมนุม โดยมีการขับไล่ให้รัฐบาลลาออก ซึ่งแตกต่างกับพันธมิตรฯ เพราะในประเด็นนี้ พันธมิตรฯ ต้องการให้รัฐบาลได้ทำหน้าที่ก่อน ยกตัวอย่างเช่น การให้รัฐบาลเปิดเผยข้อเท็จจริง ข้อมูลต่างๆ ที่ประชาชนควรรับรู้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
สำหรับความสัมพันธ์กันนั้น นายปานเทพกล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ ไม่เคยว่ากล่าวให้ร้ายกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเลย ทั้งผ่านเวทีปราศรัย หรือไม่ว่าจะเป็นช่องทางใด แต่ที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ถูกให้ร้ายผ่านเวทีปราศรัย รวมไปถึง ช่อง 13 สยามไท เช่นมีการตั้งประเด็นว่าพันธมิตรฯ ไปสมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาล ในเรื่องที่นายวีระ สมความคิด ถูกจับกุม หรือใครไม่เห็นด้วยในแนวคิดหรือแนวทางก็จะมีการต่อว่าในหลายๆเรื่อง
“พันธมิตรฯ ไม่ได้ถือสาอะไรและจะไม่มีการโต้ตอบกับกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติในทุกกรณี เพราะถือว่าเคลื่อนไหวต่อสู้ในเป้าหมายเดียวกันแต่แตกต่างกันในยุทธวิธี เพราะมีความเป็นอิสระต่อกัน”นายปานเทพให้ทัศนะ
...ถึงตรงนี้ ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติและช่อง 13 สยามไทมีความคิดอย่างไรกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
มองเห็นว่าเป็นมิตร....หรือศัตรูกันแน่