xs
xsm
sm
md
lg

เขมรตัดสิน1ก.พ."เทือก"ขอศาลเมตตา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาลเขมรนัดอ่านคำพิพากษาคดี 7 คนไทย วันที่ 1 ก.พ. "วีระ"ลั่นสู้จนหยดสุดท้าย เหมือนรู้ชะตาต้องนอนคุกยาว ขอบคุณทุกกำลังใจ "มาร์ค"นัดหารือผู้เกี่ยวข้องวันนี้(20 ม.ค.) เพื่อหาทางช่วยเหลือ ส่วน"ไชยวัฒน์" ไม่ขอประกันตัวจะถูกส่งฝากขังคุกลาดยาว ด้านกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ประกาศชุมนุมยืดเยื้อ ประณามตำรวจจับกุม 2 แกนนำเป็นการกระทำรุนแรงแรงเกินกว่าเหตุ เตรียมฟ้องแพ่ง "เทือก" วอนศาลกัมพูชามีเมตตาธรรม

เมื่อวานนี้ (19 ม.ค.) นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า สถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญได้แจ้งมาว่า ศาลกัมพูชาได้นัดอ่านคำพิพากษาในคดี 7 คนไทยที่ถูกจับกุม ในวันที่ 1 ก.พ. แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่า จะพิพากษาเฉพาะข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และเข้าพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือจะรวมข้อหาประมวลข่าวสาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศด้วย

โดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ได้หารือกับ 6 คนไทย ที่ทำเนียบทูต เกี่ยวกับแนวทางการสู้คดี โดยขณะนี้ยังไม่มีลูกความคนใดแจ้งขอเปลี่ยนตัวทนายความ

สำหรับนายวีระ สมความคิด ที่ยังอยู่ในเรือนจำเปรซอว์นั้น ทางทนายชาวกัมพูชาได้หารือกับนายวีระ เพื่อร่างคำร้องขออุทธรณ์เรื่องการประกันตัวต่อศาลฎีกา หลังร่างเสร็จก็จะยื่นในวันที่ 19 ม.ค. และยังได้หารือถึงเรื่องการเปลี่ยนตัวล่ามของศาลด้วย เนื่องจากขณะนี้ทางสถานทูตได้จัดหาล่ามไว้ให้แล้ว 1 คน แต่ก็ต้องรอคำตอบจากนายวีระ ว่าจะเลือกล่ามที่จัดหามาให้หรือไม่ เพราะทราบว่านายการุณ ใสงาม นักกฎหมายของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับคดี ก็พูดภาษาเขมรได้

"วีระ" แถลงผ่านการุณ ใสงาม

วันเดียวกันนายการุณ ใสงาม ได้นำคลิปวีดีโอที่อ้างว่านายวีระ ได้พูดเปิดใจในช่วงที่ได้เข้าพบในเรือนจำเปรซอว์ มาเผยแพร่ 4 ข้อ โดยมีใจความว่า

1. ยืนยันว่า ขณะโดนจับกุมนายวีระและคนไทย ทั้ง 7 คน ยังอยู่ในเขตประเทศไทย 2. ศาลกัมพูชาไม่มีสิทธิ์เข้ามาตัดสินคดีนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย 3. นายวีระ ยืนหยัดจะต่อสู้จนหยดสุดท้าย ไม่หวั่นว่าจะถูกจำคุกนานแค่ไหน และ 4. ขอบคุณคนไทยที่คอยเป็นกำลังใจให้กันตลอด

ด้านนายณฐพร โตประยูร ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เดินทางไปกัมพูชา เมื่อเช้าวันที่ 18 ม.ค. เพื่อช่วยเรื่องคดีความให้กับนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ขอความช่วยเหลือมา และจะเข้าเยี่ยม 6 คนไทย ที่ได้รับการประกันตัวออกมาแล้ว ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ จากนั้นช่วงบ่ายเข้าเยี่ยม นายวีระ ที่เรือนจำ เปรย์ซอร์ โดยได้เตรียมพยานหลักฐาน และจะแต่งตั้งทนายความคนใหม่ เพื่อเตรียมยื่นประกันตัวต่อศาลฎีกาต่อไป

"มาร์ค"นัดหารือผู้เกี่ยวข้องวันนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลกัมพูชาว่า ยังมีการประสานเพิ่มเติมอยู่ และในวันนี้( 20 ม.ค.) ตนจะนัดทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาคุยกันอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากศาลได้มีการเลื่อนนัดออกไปจากที่มีการคาดการณ์ จะส่งผลกระทบอะไร หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้กำลังประสานงานกันอยู่ และในวันนี้( 20 ม.ค.) ตนได้เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือในเวลา 12.00 น.

เมื่อถามว่าแนวทางที่ควรจะเดินไปเป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ในวันนี้จะสรุปให้ทราบ ส่วนกรณีของนายวีระ ก็ได้มีการประสานกันอยู่ ในเรื่องของการฎีกา เรื่องการประกันตัว เราก็พยายามสนับสนุนหาทางให้เขาได้ออกมาก่อน

เมื่อถามว่ากรณีของนายวีระ ความหวังที่จะได้ประกันตัวมีมากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องพยายามทำต่อ ต้องคิดในแง่ที่ว่า รอบแรกเราได้มา 2 คน รอบที่ 2 ได้มาอีก 4 คนก็ต้องพยายามทำให้ได้

เมื่อถามว่ามีการอ้างว่า นายวีระ จะไม่ได้รับความปลอดภัย นายกฯ กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวเราบอกว่า เราดูแลได้ เพราะถ้าเขามาอยู่สถานทูตเขาจะปลอดภัย เมื่อถามว่าในการประชุม จะได้แนวทางในการดำเนินการช่วยเหลือ 7 คนไทย หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ใช่ครับ แล้วจะเรียนให้ทราบอีกที
ส่วนกรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ถูกจับกุมตัว จะทำให้เกิดม็อบขึ้นมาอีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่จริงเราไม่ได้ค้านประกัน

เมื่อถามต่อว่า แต่การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ส่งความเห็นไป ทำให้นายไชยวัฒน์ ต้องอยู่ในเรือนจำต่อไป นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวตนจะดู เพราะแนวปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้เสมอภาคกันในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน และจะสอบถามทางตำรวจด้วย โดยเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมา

เมื่อถามต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะไปเพิ่มเงื่อนไขในการชุมนุมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้สอบถามทางตำรวจ เขาก็ชี้แจงว่า เขามีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ก็มีเสียงท้วงติง ตนกำลังสอบถาม

ส่วนการชุมนุมจะบานปลายหรือไม่ เราต้องพยายามดูแล อย่าไปสร้างเงื่อนไขให้เกิดปัญหาขึ้น แต่ทุกฝ่ายต้องมีความพอเหมาะพอดีในทุกเรื่อง อย่างที่บริเวณหน้าทำเนียบฯ ได้พยายามพูดคุยกันมา ตอนนี้เข้าใจว่า กำลังจะเปิดการจราจรได้บ้างแล้ว ซึ่งความจริงแล้วก็ควรจะเปิดให้ได้ตลอด

ม็อบคนไทยฯ ลั่นชุมนุมยืดเยื้อ

สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ที่บริเวณถนนพิษณุโลก ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเช้าวานนี้ (19 ม.ค.) ว่า เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ถึงแม้ว่านายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ สองแกนนำจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไป เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ในข้อหาก่อการร้าย คดีบุกยึดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อครั้งร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามหมายจับเก่า

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนน้อยลงกว่าเมื่อวันก่อน เนื่องจากหลังที่กลุ่มมวลชนเดินขบวนไปถวายฎีกา ที่หน้าพระบรมมหาราชวังเสร็จสิ้น ต่างก็ทยอยเดินทางกลับ เหลือเพียงบางส่วนซึ่งยังปักหลักนั่งฟังการปราศรัยบนเวที

ทั้งนี้ ทางแกนนำที่เหลือได้มีการประชุมเพื่อกำหนดท่าที ก่อนประกาศแถลงการณ์ 5 ข้อ ยกระดับการชุมนุม ปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ พร้อมประณามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมนายไชยวัฒน์ และนายสมบูรณ์ สองแกนนำ ว่ากระทำรุนแรงแรงเกินกว่าเหตุ เตรียมดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่ง และจะยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย

ผู้ชุมนุมเปิดช่องจราจรช่วงเช้าและเย็น

พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) กล่าวภายหลังการหารือกลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และสมณะโพธิรักษ์ ได้ข้อสรุปว่ากลุ่มผู้ชุมนุม จะยอมเปิดการจรจาจรด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล จากหน้าแยกมิสกวัน ถึงแยกพาณิชยการ 2 ช่วง ไป-กลับ อย่างละ 1 ช่องจราจร รวมเป็น 2 ช่องจราจร โดยช่วงเช้า จะเปิดตั้งแต่ 06.00-10.00 น. และช่วงเย็น 15.00-18.00 น. เริ่มตั้งแต่วันนี้ (20 ม.ค.) เนื่องจากจะต้องรื้อเวทีที่ตั้งหน้าอยู่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ออกไปก่อน

สำหรับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ถูกจับกุม ได้ถูกขออำนาจศาลอาญารัชดาฯ ฝากขังผลัดแรก เป็นเวลา 12 วัน ล่าสุดผู้ต้องหายืนยันไม่ขอยื่นประกันตัว จะต้องถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ลาดยาว

นายโสภณ นิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จะคุมขังนายไชยวัฒน์ และนายสมบูรณ์ แยกจากแกนนำกลุ่มนปช. โดยจะขังไว้ที่แดนแรกรับหรือแดน 1 รวมทั้งกำหนดเวลาเยี่ยมผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มนายไชยวัฒน์ คนละเวลา โดยกลุ่มคนเสื้อแดง จะให้เข้าเยี่ยม เวลา 10.00-11.00 น. ส่วนกลุ่มนายไชยวัฒน์ เข้าเยี่ยมเวลา 13.00 น. และเฝ้าดูพฤติกรรมผ่านกล้องวงจรปิด

เร่งดันร่าง พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ

นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นคณะกรรมการกลั่นกรองของวิปรัฐบาล แต่ยังไม่ได้ส่งเข้ามา คาดว่าสัปดาห์หน้าจะเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมวิปรัฐบาล โดยสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวคือ หากจะมีการชุมนุมจะต้องแจ้งให้ทราบและห้ามชุมนุมในสถานที่บางแห่งเช่น วัด โรงเรียน พระราชวัง รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล เป็นต้น ทั้งนี้ หลังจากพ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่าน การจะชุมนุมก็จะทำได้ในเฉพาะสถานที่ที่ไม่ได้ห้ามชุมนุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมของคนไทยหัวใจรักชาติ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ผิดหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ถ้าไม่ปิดทางเข้าออกก็คงไม่ผิด แต่กฎหมายฉบับนี้ยังไม่ผ่าน ขออย่าถามล่วงหน้า

ส่วนที่ผ่านมากลุ่มผู้ชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลมีการปิดถนน รัฐบาลควรจะต้องทำอย่างไร นายวิทยา กล่าวว่า ก็ต้องไปถามรัฐบาล ซึ่งก็ต้องให้รัฐบาลตัดสินใจตามสถานการณ์ ซึ่งการใช้ความรุนแรง ก็ไม่มีใครชอบ อ่อนแอเราก็ไม่ชอบ มันไม่มีความพอดี ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องแสวงหาความพอดีร่วมกัน จะทำตามอารมณ์ทุกคนไมได้ ไม่ใช่จะเอาแต่ใจคนที่อยากให้ปราบปราม แต่พอคนตายก็มาตามหาคนปราบ ขณะที่คนที่ชุมนุมก็อยากแสดงความคิดเห็น คนที่ไม่เห็นด้วยก็อยากให้จัดการ สังคมมี 2 ด้านเสมอ ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องพยายามคิดให้รอบคอบ

"เทือก"ขอให้มองเขมรในแง่บวก

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงการช่วยเหลือคนไทย 7 คน ที่ถูกดำเนินคดีในศาลกัมพูชาว่า ทางรัฐบาลได้พยายามช่วยเหลือโดยช่องทางต่างๆ ในการพูดคุยเจรจามาโดยตลอด มาถึงวันนี้เหตุการณ์คลี่คลายในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าในที่สุดทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพปกติ สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศต่อไป ทั้งนี้ตนมองในแง่บวก ในแง่ดี และอยากให้คนไทยกรุณามองในแง่ดีเช่นนี้ด้วย

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่ศาลกัมพูชาจะพิจารณาปล่อยตัวคนไทยทั้งหมดหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ศาลกัมพูชาคงจะพิจารณาคดีด้วยความยุติธรรม และมีเมตตาธรรมต่อพี่น้องประชาชนคนไทย เพราะไม่ได้ตั้งใจเข้าไปทำร้ายอะไรในประเทศกัมพูชา

ส่วนการดำเนินการหลังจากที่ศาลพิพากษา คงต้องรอดูผลการพิพากษากันต่อไป ถ้าศาลจะกรุณาลงโทษสถานเบา เราก็จะได้กลับบ้านกันเร็วขึ้น ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ขอให้อดใจรอผลการพิจารณาคดีก่อน

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามระบบศาลของกัมพูชา ก็เหมือนกับศาลไทย เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วทางฝ่ายญาติของผู้เสียหายสามารถยื่นขออภัยโทษได้ ทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน

เมื่อถามว่าเชื่อมั่นหรือไม่จะได้รับการอภัยโทษ นายสุเทพ กล่าวว่า คงตอบแทนไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อมั่นว่าผู้นำกัมพูชา และผู้นำไทย ต่างมีความปรารถนาให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาไปด้วยดี เพราะฉะนั้นถ้าทั้งสองฝ่ายมีความคิดพื้นฐานอย่างนี้แล้ว การแก้ปัญหาต่างๆคงจะเป็นไปในทางที่ดี

ส่วนกรณีนายวีระ สมความคิด ที่ไม่ได้รับประกันตัวนั้น เราอย่าไปแยกเป็นบุคคล เราก็ดูภาพรวม เราต้องให้ความเคารพในกระบวนการยุติธรรมของศาลกัมพูชา เช่นเดียวกับศาลไทย

เมื่อถามว่าเป็นเพราะนายวีระ มีแนวคิดที่แข็งกร้าวหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่าตนไม่สามารถไปวิจารณ์ท่าที ความคิด ของนายวีระ หรือของใคร

เผยตำรวจจำเป็นต้องจับไชยวัฒน์

นายสุเทพ ยังกล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ ว่า เป็นการจับกุมตามหมายศาล เพราะสองคนนี้เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาไว้ จากกรณีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีผู้ต้องหา 100 กว่าคน ซึ่งประมาณ 100 คน มามอบตัวแล้ว และเหลืออยู่ 7 คนที่ไม่มามอบตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไปขออำนาจศาล เพื่อติดตามจับกุม ซึ่งนายไชยวัฒน์ และนายสมบูรณ์ ก็เป็น 2 ใน 7 คน ซึ่งบังเอิญ นายไชยวัฒน์ ไปแสดงตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ต้องดำเนินการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาไม่มีอะไร ทั้งนี้พี่น้องประชาชนต้องแยกกัน เพราะเป็นการจับกุมในคดีเก่า ไม่ใช่เรื่องของการมาชุมนุมในครั้งนี้

เมื่อถามถึง ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่หน้าทำเนียบฯ อาจจะยืดเยื้อ นายสุเทพ กล่าวว่า การชุมนุมไม่ว่าจะกลุ่มไหน ตนขอความกรุณาผู้ชุมนุนมต้องปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลรักษากฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องกำกับควบคุมให้การชุมนุมเป็นไปอย่างถูกต้องชอบธรรม ตามที่กฎหมายกำหนด ต้องไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ ที่ใช้ชีวิตโดยปกติ เพราะฉะนั้นต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

สถานการณ์ชายแดนยังปกติ

พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนทางด้าน จ.สระแก้ว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อเช้าวันที่ 19 ม.ค. ได้มีการตรวจสอบความเคลื่อนไหว พบว่ายังอยู่ในขั้นปกติ แต่ได้เน้นย้ำให้กองกำลังบูรพาเข้มงวดในการตรวจพื้นที่ตามแนวชายแดน ไม่มีความผิดปกติ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ส่วนข่าวการเสริมกำลังทหารกัมพูชาฝั่งตรงข้ามความรับผิดชอบของกองกำลังบูรพานั้น ตนมองว่าอาจไม่ใช่การเสริมกำลังเลยทีเดียว เพราะกัมพูชามีกำลังของหน่วยที่เขารับผิดชอบในพื้นที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหารประจำ จังหวัดบันเตียเมียนเจย หรือกำลังพลที่ดูในภาพรวมในพื้นที่ด้านตรงข้ามกับกองกำลังบูรพา

" ผมตรวจสอบดูแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอะไร เช่นเดียวกับในส่วนของกองกำลังบูรพา ก็มีกำลังพลอยู่ในกองกำลังบูรพาอยู่แล้ว หากจะเกิดเหตุการณ์ซึ่งจะดูว่าเป็นพิเศษ บางครั้งบางคราว กองกำลังบูรพาก็จะใช้กำลังพลของเราเอง ซึ่งมีส่วนที่ปฏิบัติการอยู่ที่แนว และส่วนที่อยู่ด้านใน ก็จะใช้กำลังด้านในออกมาลาดตระเวนเสริมเพิ่มเติมบางครั้ง ถือเป็นส่วนในการแก้ไข ไม่ได้มีการเพิ่มเติม เป็นการทำหน้าที่ให้ครบถ้วน ช่วยเสริมในจุดการปฏิบัติที่ปกติ รวมถึงการทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านต่างๆ เช่น ยาเสพติด ผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย" แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าว

วอนอย่าไปชุมนุมที่ชายแดน

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายยังกังวลว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ อาจจะไปเคลื่อนไหวชุมนุมที่ชายแดนอีกครั้งนั้น พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาที่รัฐดำเนินการไปนั้นได้ทำอย่างรอบคอบ และเป็นไปตามลำดับขั้น ซึ่งความรับผิดชอบในระดับรัฐบาล และผู้บังคับบัญชาระดับสูง จะมองด้านเดียวไม่ได้ แต่คงต้องทำด้วยความเหมาะสม ถูกต้อง ถ้าแนวร่วมกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ได้ติดตามดู น่าจะเป็นที่เข้าใจว่าไม่มีใครทอดทิ้งปัญหานี้ จึงคิดว่าการจะเดินทางไปที่ชายแดน ไม่น่าจะทำ และเดินทางไปแล้วคงไม่ทำให้เกิดผลดี อาจจะทำให้เกิดผลเสียด้วยซ้ำไป

"จะเห็นได้ว่าเมื่อมีข่าวว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะไปที่บริเวณชายแดน ข่าวนั้นจะไม่ได้อยู่ในส่วนของประเทศไทยเท่านั้น แต่จะไปถึงฝั่งตรงข้ามด้วย ซึ่งอันนี้จึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของกำลังที่กลัวว่ากลุ่มม็อบจะข้ามแดนไป ซึ่งเราเองก็พยายามทำความเข้าใจว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นข่าวก็จะทำให้อีกส่วนหนึ่งเขามีการขยับตัวเคลื่อนไหว ทำให้ดูแล้วไม่เกิดผลดี เพราะฉะนั้น ก็หวังว่าการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาของรัฐบาลและกองทัพ ก็น่าจะเป็นที่พึงพอใจแล้ว ไม่ควรเข้าไปในพื้นที่อีก" พล.ท.อุดมเดชกล่าว

แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ในขณะนี้คงเลยขั้นตอนที่ตนจะไปพูดคุยกับพล.ท.บุญ เซ็ง ผบ.ภูมิภาคที่ 5 ของกัมพูชา ในเรื่องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากกรณี 7 คนไทยถูกจับแล้ว คงเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไป และรัฐบาลคงจะเจรจาพูดคุยช่วยเหลือตามลำดับ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้ระบุแล้วว่า ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงทางทหารของไทยได้ช่วยเหลือมาตลอด ทำอย่างดีที่สุดแล้วตั้งแต่ต้น และปัจจุบันนี้ท่านก็พยายามจะประสานงานอยู่ และคงทำต่อไป ไม่ได้ละทิ้งความสำคัญตรงจุดนี้ เพราะเห็นใจทุกท่านอยู่แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น