ASTVผู้จัดการรายวัน-ครม.เห็นชอบแผนปฏิรูปประเทศไทย พร้อมตั้งกรรมการติดตามและขับเคลื่อน "มาร์ค" ขอเป็นประธานเอง เผยใช้งบทั้งหมด 9 พันล้านบาท ภาคอุตสาหกรรมอาการหนัก แอลพีจีจ่อขยับขึ้นรับประชาวิวัฒน์กิโลละ 8-9 บาท ด้านผู้ค้าแอลพีจี เตรียมบุกพบนายกฯ หวั่นร้านย่อยเจ๊ง เพื่อไทยอัดรัฐบาลทุ่มเงินหวังผลเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (11 ม.ค.) ว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยที่รัฐบาลได้มีการนำเสนอไปแล้วในวันที่ 1 ม.ค.และวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของการศึกษา กระบวนการยุติธรรม สวัสดิการคุณภาพชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเรื่องเศรษฐกิจ ที่ให้โอกาสให้เกิดความเป็นธรรมเกิดความเท่าเทียม ซึ่งครม. ได้ให้ความเห็นชอบปรับรายละเอียด อาทิ การเพิ่มหน่วยงานหรือปรับเปลี่ยนหน่วยงานที่ไปดำเนินการ และจะมีการตั้งคณะกรรมการที่เข้าไปติดตาม และขับเคลื่อน โดยจะเป็นประธานเอง เพื่อให้การทำงานทุกด้านปรากฏผลเป็นรูปธรรมตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย
ส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการปฏิรูปประเทศทั้งหมด จะมีทั้งส่วนที่เป็นงบประจำที่อาจจะปรับเปลี่ยนจากแผนงานปกติ อีกส่วนก็จะมาจากเงินของหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานส่งเสริมคุณภาพการเรียนรู้ (สสค.) ที่ใช้เงินยืมจากเงินกู้ที่มีอยู่แล้วในอดีต และเมื่อมีกฎหมายมารองรับก็จะมีเงินรายได้จากภาษีเหมือนสำนักงานสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) เคยทำในปี 2543-2545 และอีกส่วนจะเป็นเงินจากภาคเอกชน ซึ่งภาระทั้งหมดนั้นอยู่ประมาณ 9 พันล้านบาท โดย 2 พันล้านจะใช้ในส่วนของ 9 มาตรการที่ได้ประกาศไปแล้ว แต่ที่เป็นโครงการใหญ่จริงๆ ก็เป็นโครงการบ้านมั่นคง ที่จะใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านบาท
***แย้มต่ออายุใช้ไฟฟ้าฟรีถึงก.ค.
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะใช้งบประมาณจากส่วนไหนมารับภาระค่าไฟฟ้าตามโครงการนี้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท นายกฯ กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าประชาชนในปัจจุบันจะไปสิ้นสุดในเดือนก.พ. หลังจากนั้นตั้งแต่เดือนก.พ.-ก.ค. ก็จะมีการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมในแง่ของผู้ใช้มากและน้อย หากไม่ทันในปลายเดือนก.พ. ก็อาจจะมีการต่ออายุมาตรการไปจนถึงเดือนก.ค.
สำหรับการปรับโครงสร้าง จะมีการปรับจากเดิมที่ผู้เสียภาษีอากรจะเป็นผู้รับภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วย แต่จากนี้ไปก็จะเป็นผู้ใช้ไฟมากจะเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้แทน ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมนั้นได้ดูแล้วว่าภาระจะไม่เพิ่มขึ้น เพราะที่ได้คำนวณในเบื้องต้นแล้วนั้นแนวโน้มค่าเอฟทีจะลดลงในเดือนพ.ค. จะไปชดเชยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีเสียงทักท้วงว่าต่อไปคนใช้ไฟฟ้าน้อยจะไปใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ก็ต้องบอกว่าเมื่อใช้ไฟฟ้ามากขึ้นก็จะไม่ได้ใช้ไฟฟ้าฟรีและต้องเสียเงินค่าไฟฟ้า
***ย้ำจำเป็นต้องลอยตัวแอลพีจีภาคอุตฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรการตรึงราคาแก๊สแอลพีจีในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่ง แต่จะลอยตัวในภาคอุตสาหกรรม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อเสนอเรื่องแอลพีจีนั้น ที่ผ่านมามีการพูดกันถึงการปรับราคาขึ้น แต่ยืนยันที่จะตรึงราคาในส่วนของครัวเรือนกับขนส่งอยู่แล้ว และกระทรวงพลังงานก็จะมีมาตรการรองรับไว้แล้วว่าจะไม่ให้เอาแอลพีจีราคาถูกในส่วนที่เป็นของภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งไปใช้ในอุตสาหกรรมได้
ส่วนกรณีที่ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ามาตรการทั้งเรื่องแอลพีจีและต้นทุนต่างๆ จะมีส่วนที่กระทบกับปตท.บ้าง ในฐานะผู้ประกอบการ
***คาดแอลพีจีอุตฯขึ้นกก.ละ8-9บาท
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวว่า หากพิจารณาราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นตลาดโลกขณะนี้ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 930 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาหน้าโรงแยกก๊าซเฉลี่ยที่ 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน การคำนวณ คือ นำโรงกลั่นมาคิด 40% และโรงแยกก๊าซฯ มาคิด 60% ดังนั้น เฉลี่ยก็จะอยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเฉลี่ยน่าจะปรับขึ้นอีก 8-9 บาทต่อกก. จากเดิมที่ตรึงราคาหน้าโรงกลั่นไว้ 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือ 18.13 บาทต่อกก.
อย่างไรก็ตาม การลักลอบบรรจุนั้นไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก เนื่องจากรูปแบบของการบรรจุมีความชัดเจน กล่าวคือใช้รถบรรจุกับรูปแบบของการใช้ถังบรรจุ การถ่ายเทจึงไม่ง่าย แต่ข้อเสียของนโยบายที่กำหนดมา คือ การแก้ไขไม่เบ็ดเสร็จทำครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งรัฐควรจะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งด้วย เนื่องจากหากตรึงส่วนนี้ต่อไป จะทำให้รถยนต์หันมาติดแอลพีจีเพิ่ม แล้วในที่สุดการนำเข้าก็ยังคงสูงและปัญหาก็จะไม่จบเช่นปัจจุบันที่บิดเบือนโครงสร้างจนทำให้การใช้ในภาคอุตสาหกรรมโตขึ้น เพราะราคาต่ำกว่าน้ำมันเตา
***ผู้ค้าแอลพีจีร้อง"มาร์ค"ช่วยก่อนเจ๊ง
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวว่า ได้ทำแบบสอบถามให้กับร้านจำหน่ายแอลพีจีที่เป็นสมาชิก 2,000 รายตอบกลับถึงผลกระทบต่อนโยบายการลอยตัวราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม เพื่อสรุปก่อนที่จะเดินทางไปพบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้มีแนวทางในการช่วยเหลือหรือแก้ไขผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะร้านจำหน่ายหลายแห่งอาจต้องปิดตัวลง เพราะส่วนหนึ่งจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรม
นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กำลังให้สมาชิกรวบรวมผลกระทบต่อนโยบายลอยตัวแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมก่อนที่จะสรุปเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือต่อไป เนื่องจากยอมรับว่าแอลพีจีเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหากต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีไปใช้พลังงานอื่นแทนระยะสั้นอาจทำได้ยากจึงต้องดูแลส่วนนี้ด้วย ซึ่งส.อ.ท.ไม่ได้คัดค้านนโยบายแยกราคาดังกล่าว แต่ขอให้ดูแลผลกระทบระยะสั้นก่อน
***แจงโทษหนักลอบใช้แอลพีจีผิดประเภท
นายเมตตา บันเทิงสุข รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การป้องกันการถ่ายเทระหว่างแอลพีจี 2 ราคานั้น ได้เสนอให้ใช้พ.ร.บ.แก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 มาใช้ โดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี มีโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำคุกและปรับ โดยกำหนดหากมีการลักลอบนำแอลพีจีราคาถูกที่ผู้ค้ามาตรา 7 ขายให้สถานีบริการแอลพีจีและโรงบรรจุแอลพีจี ไปลักลอบขายให้ภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีข้อกำหนดใช้ก๊าซในราคาสูงกว่าจะมีโทษดังกล่าว นอกจากนี้ ยังจะออกคำสั่งไม่ให้โรงงานอุตสาหกรรมซื้อแอลพีจีจากผู้อื่นนอกเหนือจากผู้ค้ามาตรา 7 อีกด้วย และยังจะออกกฎระเบียบในการดูแลเอกสาร การขนส่งแอลพีจี การดูแลสต็อก การใช้เทคโนโลยีระบบจีพีเอส ระบบออนไลน์มาควบคุมการขนส่งแอลพีจีทั้งระบบต้นทางและปลายทาง
***ไฟฟรี90หน่วยเริ่มเดือนพ.ค.นี้
นายเมตตากล่าวอีกว่า นโยบายที่ให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วยต่อเดือน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สามารถเริ่มได้หลังจากมีการคิดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟทีงวดใหม่ หรือระหว่างเดือนพ.ค. แต่นโยบายเดิมของรัฐบาลที่ให้ผู้ใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วยฟรี จะสิ้นสุดลงในเดือนก.พ.นี้ จะทำให้เกิดช่องว่างของเดือนระหว่างเดือนมี.ค.-เม.ย. หากรัฐบาลต้องการให้นโยบายดังกล่าวต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพ.ค. กระทรวงการคลังจะต้องหาเงินเข้ามาจ่ายชดเชยให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีการจ่ายอยู่ที่เดือนละประมาณ 1,200-1,400 ล้านบาท
***ฝ่ายค้านจวกเทงบหวังผลเลือกตั้ง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ครม. อนุมัติงบประมาณ 9 พันล้านบาทเพื่อใช้ในการปฏิรูปประเทศและนโยบายประชาวิวัฒน์ ว่า มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในช่วงที่รัฐบาลใกล้จะหมดวาระ เพื่อหวังผลทางการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการใช้งบประมาณเพื่อขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) ไปแล้ว ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดว่าเป็นไปตามนโยบายที่วางไว้หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (11 ม.ค.) ว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยที่รัฐบาลได้มีการนำเสนอไปแล้วในวันที่ 1 ม.ค.และวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของการศึกษา กระบวนการยุติธรรม สวัสดิการคุณภาพชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเรื่องเศรษฐกิจ ที่ให้โอกาสให้เกิดความเป็นธรรมเกิดความเท่าเทียม ซึ่งครม. ได้ให้ความเห็นชอบปรับรายละเอียด อาทิ การเพิ่มหน่วยงานหรือปรับเปลี่ยนหน่วยงานที่ไปดำเนินการ และจะมีการตั้งคณะกรรมการที่เข้าไปติดตาม และขับเคลื่อน โดยจะเป็นประธานเอง เพื่อให้การทำงานทุกด้านปรากฏผลเป็นรูปธรรมตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย
ส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการปฏิรูปประเทศทั้งหมด จะมีทั้งส่วนที่เป็นงบประจำที่อาจจะปรับเปลี่ยนจากแผนงานปกติ อีกส่วนก็จะมาจากเงินของหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานส่งเสริมคุณภาพการเรียนรู้ (สสค.) ที่ใช้เงินยืมจากเงินกู้ที่มีอยู่แล้วในอดีต และเมื่อมีกฎหมายมารองรับก็จะมีเงินรายได้จากภาษีเหมือนสำนักงานสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) เคยทำในปี 2543-2545 และอีกส่วนจะเป็นเงินจากภาคเอกชน ซึ่งภาระทั้งหมดนั้นอยู่ประมาณ 9 พันล้านบาท โดย 2 พันล้านจะใช้ในส่วนของ 9 มาตรการที่ได้ประกาศไปแล้ว แต่ที่เป็นโครงการใหญ่จริงๆ ก็เป็นโครงการบ้านมั่นคง ที่จะใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านบาท
***แย้มต่ออายุใช้ไฟฟ้าฟรีถึงก.ค.
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะใช้งบประมาณจากส่วนไหนมารับภาระค่าไฟฟ้าตามโครงการนี้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท นายกฯ กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าประชาชนในปัจจุบันจะไปสิ้นสุดในเดือนก.พ. หลังจากนั้นตั้งแต่เดือนก.พ.-ก.ค. ก็จะมีการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมในแง่ของผู้ใช้มากและน้อย หากไม่ทันในปลายเดือนก.พ. ก็อาจจะมีการต่ออายุมาตรการไปจนถึงเดือนก.ค.
สำหรับการปรับโครงสร้าง จะมีการปรับจากเดิมที่ผู้เสียภาษีอากรจะเป็นผู้รับภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วย แต่จากนี้ไปก็จะเป็นผู้ใช้ไฟมากจะเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้แทน ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมนั้นได้ดูแล้วว่าภาระจะไม่เพิ่มขึ้น เพราะที่ได้คำนวณในเบื้องต้นแล้วนั้นแนวโน้มค่าเอฟทีจะลดลงในเดือนพ.ค. จะไปชดเชยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีเสียงทักท้วงว่าต่อไปคนใช้ไฟฟ้าน้อยจะไปใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ก็ต้องบอกว่าเมื่อใช้ไฟฟ้ามากขึ้นก็จะไม่ได้ใช้ไฟฟ้าฟรีและต้องเสียเงินค่าไฟฟ้า
***ย้ำจำเป็นต้องลอยตัวแอลพีจีภาคอุตฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรการตรึงราคาแก๊สแอลพีจีในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่ง แต่จะลอยตัวในภาคอุตสาหกรรม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อเสนอเรื่องแอลพีจีนั้น ที่ผ่านมามีการพูดกันถึงการปรับราคาขึ้น แต่ยืนยันที่จะตรึงราคาในส่วนของครัวเรือนกับขนส่งอยู่แล้ว และกระทรวงพลังงานก็จะมีมาตรการรองรับไว้แล้วว่าจะไม่ให้เอาแอลพีจีราคาถูกในส่วนที่เป็นของภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งไปใช้ในอุตสาหกรรมได้
ส่วนกรณีที่ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ามาตรการทั้งเรื่องแอลพีจีและต้นทุนต่างๆ จะมีส่วนที่กระทบกับปตท.บ้าง ในฐานะผู้ประกอบการ
***คาดแอลพีจีอุตฯขึ้นกก.ละ8-9บาท
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวว่า หากพิจารณาราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นตลาดโลกขณะนี้ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 930 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาหน้าโรงแยกก๊าซเฉลี่ยที่ 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน การคำนวณ คือ นำโรงกลั่นมาคิด 40% และโรงแยกก๊าซฯ มาคิด 60% ดังนั้น เฉลี่ยก็จะอยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเฉลี่ยน่าจะปรับขึ้นอีก 8-9 บาทต่อกก. จากเดิมที่ตรึงราคาหน้าโรงกลั่นไว้ 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือ 18.13 บาทต่อกก.
อย่างไรก็ตาม การลักลอบบรรจุนั้นไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก เนื่องจากรูปแบบของการบรรจุมีความชัดเจน กล่าวคือใช้รถบรรจุกับรูปแบบของการใช้ถังบรรจุ การถ่ายเทจึงไม่ง่าย แต่ข้อเสียของนโยบายที่กำหนดมา คือ การแก้ไขไม่เบ็ดเสร็จทำครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งรัฐควรจะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งด้วย เนื่องจากหากตรึงส่วนนี้ต่อไป จะทำให้รถยนต์หันมาติดแอลพีจีเพิ่ม แล้วในที่สุดการนำเข้าก็ยังคงสูงและปัญหาก็จะไม่จบเช่นปัจจุบันที่บิดเบือนโครงสร้างจนทำให้การใช้ในภาคอุตสาหกรรมโตขึ้น เพราะราคาต่ำกว่าน้ำมันเตา
***ผู้ค้าแอลพีจีร้อง"มาร์ค"ช่วยก่อนเจ๊ง
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวว่า ได้ทำแบบสอบถามให้กับร้านจำหน่ายแอลพีจีที่เป็นสมาชิก 2,000 รายตอบกลับถึงผลกระทบต่อนโยบายการลอยตัวราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม เพื่อสรุปก่อนที่จะเดินทางไปพบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้มีแนวทางในการช่วยเหลือหรือแก้ไขผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะร้านจำหน่ายหลายแห่งอาจต้องปิดตัวลง เพราะส่วนหนึ่งจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรม
นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กำลังให้สมาชิกรวบรวมผลกระทบต่อนโยบายลอยตัวแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมก่อนที่จะสรุปเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือต่อไป เนื่องจากยอมรับว่าแอลพีจีเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหากต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีไปใช้พลังงานอื่นแทนระยะสั้นอาจทำได้ยากจึงต้องดูแลส่วนนี้ด้วย ซึ่งส.อ.ท.ไม่ได้คัดค้านนโยบายแยกราคาดังกล่าว แต่ขอให้ดูแลผลกระทบระยะสั้นก่อน
***แจงโทษหนักลอบใช้แอลพีจีผิดประเภท
นายเมตตา บันเทิงสุข รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การป้องกันการถ่ายเทระหว่างแอลพีจี 2 ราคานั้น ได้เสนอให้ใช้พ.ร.บ.แก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 มาใช้ โดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี มีโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำคุกและปรับ โดยกำหนดหากมีการลักลอบนำแอลพีจีราคาถูกที่ผู้ค้ามาตรา 7 ขายให้สถานีบริการแอลพีจีและโรงบรรจุแอลพีจี ไปลักลอบขายให้ภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีข้อกำหนดใช้ก๊าซในราคาสูงกว่าจะมีโทษดังกล่าว นอกจากนี้ ยังจะออกคำสั่งไม่ให้โรงงานอุตสาหกรรมซื้อแอลพีจีจากผู้อื่นนอกเหนือจากผู้ค้ามาตรา 7 อีกด้วย และยังจะออกกฎระเบียบในการดูแลเอกสาร การขนส่งแอลพีจี การดูแลสต็อก การใช้เทคโนโลยีระบบจีพีเอส ระบบออนไลน์มาควบคุมการขนส่งแอลพีจีทั้งระบบต้นทางและปลายทาง
***ไฟฟรี90หน่วยเริ่มเดือนพ.ค.นี้
นายเมตตากล่าวอีกว่า นโยบายที่ให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วยต่อเดือน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สามารถเริ่มได้หลังจากมีการคิดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟทีงวดใหม่ หรือระหว่างเดือนพ.ค. แต่นโยบายเดิมของรัฐบาลที่ให้ผู้ใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วยฟรี จะสิ้นสุดลงในเดือนก.พ.นี้ จะทำให้เกิดช่องว่างของเดือนระหว่างเดือนมี.ค.-เม.ย. หากรัฐบาลต้องการให้นโยบายดังกล่าวต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพ.ค. กระทรวงการคลังจะต้องหาเงินเข้ามาจ่ายชดเชยให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีการจ่ายอยู่ที่เดือนละประมาณ 1,200-1,400 ล้านบาท
***ฝ่ายค้านจวกเทงบหวังผลเลือกตั้ง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ครม. อนุมัติงบประมาณ 9 พันล้านบาทเพื่อใช้ในการปฏิรูปประเทศและนโยบายประชาวิวัฒน์ ว่า มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในช่วงที่รัฐบาลใกล้จะหมดวาระ เพื่อหวังผลทางการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการใช้งบประมาณเพื่อขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) ไปแล้ว ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดว่าเป็นไปตามนโยบายที่วางไว้หรือไม่