xs
xsm
sm
md
lg

สร้างอำนาจนำใหม่ (1)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

บทความต่อไปนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอแนวคิดการสร้างชาติไทยใหม่ ซึ่งมีสิ่งที่ “ทุกฝ่าย” จะต้องช่วยกันทำอยู่หลายเรื่อง เฉพาะตอนนี้ จะขอพูดในเรื่องของการ “สร้างอำนาจนำใหม่”

ขอย้ำตรงนี้ให้ชัดๆ เลยนะครับว่า แนวคิดนี้ไม่ได้มีส่วนตรงกันหรือคาบเกี่ยวกันกับแนวคิดเรื่อง “รัฐไทยใหม่” ของกลุ่มคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย เพราะจุดยืน ทัศนะ และวิธีการของผู้เขียน แตกต่างไปจากของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างสิ้นเชิง

แนวคิดของผู้เขียนตั้งอยู่บนฐานความเป็นจริงของประเทศไทย ที่กำลังขับเคลื่อนไปตามกฎเกณฑ์ของตนเอง ในบริบทของสังคมโลกในยุค “สันติภาพและการพัฒนา”

“ตรรกะ” หรือกฎเกณฑ์การขับเคลื่อนของสังคมไทย ที่กำลังดำเนินไปในบริบทที่สังคมโลกกำลัง “ปรับผัง” อย่างรวดเร็ว หลักๆ ก็คือ การเปลี่ยนถ่ายอำนาจนำการบริหารประเทศ จากกลุ่มการเมืองน้ำเน่า ที่ถือเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นตัวตั้ง มาเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นตัวแทนจาก “ทุกฝ่าย” ภายใต้อุดมการณ์การเมืองใหม่ “สะอาด โปร่งใส ก้าวหน้า” มุ่งบริหารประเทศให้เจริญรุ่งเรืองจริงๆ ประชาชนคนไทยได้ประโยชน์จริงๆ

สิ่งที่เรียกว่า “ปรับผัง” ของสังคมโลก โดยปรากฏการณ์ก็คือ การแสดงออกถึงบทบาทที่สำคัญมากยิ่งขึ้นของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ ที่นำโดยจีน อินเดีย รัสเซีย และบราซิล ซึ่งมีแอฟริกาใต้ตามมาติดๆ ในการ “กำหนด” ทิศทางการพัฒนาของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น อย่างเช่นการแก้ไขวิกฤตการเงินโลกที่เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2008 ลำพังการประชุมสุดยอดของกลุ่มประเทศมหาอำนาจเดิมๆ 7-8 ชาติ ไม่อาจทำได้ ต้องเปิดเวทีประชุมสุดยอดผู้นำ 20 ประเทศ

นัยสำคัญของปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็คือ ประเทศกำลังพัฒนามีอำนาจต่อรองสูงขึ้นบนเวทีโลก ตามการพัฒนาก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ที่แต่ละประเทศเน้นการพัฒนาตามสภาพเป็นจริงของตนเอง มากกว่าการยึดถือ “สูตรสำเร็จ” ของทฤษฎีตะวันตก หลุดพ้นจากอิทธิพลครอบงำทางความคิดและวิชาการของโลกตะวันตกได้เป็นเบื้องต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสำเร็จอย่างสูงของประเทศจีน ได้กลายเป็น “แม่แบบ” ให้นานาประเทศนำไปศึกษา ขณะที่อินเดียก็พยายามไล่จี้ตามหลังจีน ซึ่งเพียงสองประเทศนี้ก็สามารถทำให้ “โลกเอียง” ได้

ประเทศไทยซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างจีนกับอินเดีย จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรีบปรับตัว เพื่อให้ทันกับการพัฒนาของจีนและอินเดีย องค์ประกอบใหญ่ของกระบวนการ “ปรับผัง” ของสังคมโลกในยุคปัจจุบัน

มองภาพใหญ่ ประเทศไทยเราแสนที่จะโชคดี มีโอกาสมากที่สุดก็ว่าได้ ในการ “เกาะ” กระแสการพัฒนาของจีนและอินเดีย สานต่อความเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมใหญ่สองสายของเอเชีย กระทั่งของโลก

ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ประเทศไทยมีประวัติของการเป็น “ฮับ” ซึมซับอารยธรรมจีนและอินเดียมาโดยตลอด แล้วหลอมรวมกันเข้าเป็นอารยธรรมแบบไทย โดดเด่นที่สุดในความเป็นวัฒนธรรมผสมผสาน ที่คนทุกชาติพันธุ์ดำรงชีวิตร่วมกันได้อย่างกลมกลืน สร้างความศิวิไลซ์ขึ้นในอาณาบริเวณลุ่มน้ำต่างๆ บนดินแดนสุวรรณภูมิ

เพียงแต่ได้สะดุดลงไปบ้างในห้วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา ด้วยมีอารยธรรมตะวันตก ที่เป็นแบบทันสมัยแผ่เข้าครอบงำ ประเทศไทยถูกกำหนดให้ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นแบบทันสมัยตามอย่างประเทศตะวันตกในแทบทุกด้าน ถึงกับมีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปูพื้นฐานให้แก่การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยในอนาคต เกิดกระทรวงทบวงกรมใหม่ๆ มีการวางระบบการคมนาคมทางรถไฟ และระบบการเงินการธนาคารที่พร้อมจะรองรับการพัฒนาประเทศในขั้นต่อไป ตามกระแสโลกาภิวัตน์ระลอกแรก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2475 ในสภาวะที่เอเชียตะวันออกกำลังคุกรุ่นด้วยไฟสงครามตามการผงาดขึ้นของญี่ปุ่น ที่ดำเนินนโยบายแผ่อำนาจเข้าสู่คาบสมุทรเกาหลีและดินแดนแมนจูเรียของจีน ซึ่งประเทศจีนในตอนนั้นยังอยู่ในสภาพบ้านแตก มีศึกสงครามภายใน ทั้งสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือในระยะแรก และสงครามประชาชนที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนในระยะต่อมา

การขยายตัวของลัทธิทหาร และการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในแผ่นดินใหญ่จีน ส่งผลให้กลุ่มผู้ถืออาวุธในประเทศไทยอยู่ในฐานะกำหนด ประกอบกันเข้าเป็นกลุ่มอำนาจนำใหม่ แทนที่อำนาจนำเจ้า ดำเนินการปกครองประเทศไทย ใช้อำนาจบริหารประเทศไทย ทั้งในรูปของรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือน แต่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของทหาร

ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นแพ้ราบคาบ ลัทธิทหารถูกแยกสลาย สหรัฐฯ เป็น “เจ้าภาพ” จัดระเบียบการปกครองใหม่ กำหนดให้ญี่ปุ่นพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอย่างจริงจัง ขณะที่แผ่นดินใหญ่จีนตกอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนแบบเบ็ดเสร็จ ภูมิทัศน์ทางการเมืองของเอเชียบูรพาเกิดการพลิกเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
กำลังโหลดความคิดเห็น