xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ชายแดนบูรพา ขุมทรัพย์“บิ๊ก ป.” ต้นเหตุเขมรล้ำแดน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจาก 7 คนไทยซึ่งลงไปตรวจสอบพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตามที่ได้รับร้องเรียนว่าถูกกัมพูชาเข้ายึดครอง กระทั่งถูกทหารของรัฐบาลนายฮุนเซนเข้าจับกุม และนำตัวไปดำเนินคดีที่กรุงพนมเปญ พร้อมตั้งข้อหาละเมิดชายแดนกัมพูชานั้น

เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อยคงต้องแปลกใจกับท่าทีของผู้นำกองทัพไทยบางคนที่นอกจากจะไม่หือไม่อือ ไม่ตอบโต้หรือมีปากเสียงใดๆกับฝ่ายเขมรแล้ว พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกองทัพกลับออกมายอมรับว่าจุดที่คนไทยถูกจับกุมอยู่ในเขตกัมพูชา ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการลงไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุด้วยซ้ำ

อีกทั้งข้อมูลจากหลายฝ่ายยังยืนยันตรงกันว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขมรได้รุกล้ำและเข้ามายึดครองแผ่นดินไทยในหลายพื้นที่ โดยที่ทหารไม่ได้ดำเนินการผลักดันออกไปแต่อย่างใด กลับปล่อยให้ราษฎรเขมรเข้ามาสร้างบ้านเรือนตั้งเป็นชุมชนหมู่บ้านบนผืนแผ่นดินไทย

จากกรณีดังกล่าวทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เหตุใดกองทัพไทยซึ่งมีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และเหล่าทหารหาญที่ชำนาญในการรบ กลับมาสยบให้กับกองทัพกัมพูชา ประเทศด้อยพัฒนาที่มีศักยภาพด้านใดที่เทียบกับไทยได้เลย ??

ทั้งนี้ หากสืบสาวให้ลึกลงไปก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์จำนวนมหาศาลที่ปิดหูปิดปิดตา โดยเฉพาะ 'บิ๊ก ป.' พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ที่กุมกำลังหลักอยู่ในขณะนี้นั้นว่ากันว่าเขาทำมาหากินในกัมพูชามานานแล้ว ทั้งธุรกิจขุดดินจากกัมพูชาไปขายที่สิงคโปร์ และธุรกิจถ่านหินและก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา

และจากผลประโยชน์ทางธุรกิจนี่เองที่ทำให้ บิ๊ก ป. ที่เคย มีสายสัมพันธ์กับนักโทษชายหนีคดีคอร์รัปชั่นตั้งแต่ครั้งที่นักโทษรายนี้ยังมีตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ ต้องมาผิดใจกันเนื่องจาก บิ๊ก ป.มีโครงการจะเข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานในกัมพูชาเช่นเดียวกับนักโทษหนีคดี บิ๊ก ป.ตัดสินใจเปลี่ยนขั้วย้ายข้างมาอยู่ฝั่งประชาธิปัตย์

ดังนั้น จึงอย่าแปลกใจว่า ทำไม บิ๊ก ป.จึงปิดปากเงียบ ยอมให้กัมพูชาล้ำแดนและเหิมเกริมข่มขู่คนไทยอยู่ทุกวี่วัน เพราะคำตอบมีอยู่ชัดเจนแล้วว่า เขามีธุรกิจการค้าในกัมพูชาอยู่นั่นเอง หากทำอะไรให้สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งกัมพูชาไม่พอใจก็อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเขาได้ เพราะที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันดีว่าคนที่จะเข้าไปลงทุนนั้นถ้าไม่ได้ไฟเขียวจากฮุน เซน หรือ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กัมพูชา ก็ไม่มีทางเข้าไปได้

ขณะที่บรรดาน้องๆในกองทัพ(บางคน) ที่ดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนก็ล้วนมีผลประโยชน์จากธุรกิจค้าไม้เถื่อนที่ตัดจากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา ซึ่งทางเดียวที่จะทำให้การลักลอบตัดไม้เถื่อนดังกล่าวเป็นไปอย่างราบรื่นก็คือตีขลุมว่าพื้นที่ป่าทั้งหมดเป็นของกัมพูชาหรือเป็นพื้นที่ทับซ้อน เพราะจะทำให้เจ้าหน้าที่ของไทยไม่สามารถเข้าไปดำเนินการจับกุมใดๆได้

นี่ไม่นับรวมถึงธุรกิจลักลอบขนของเถื่อนและค้าอาวุธเถื่อนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่เหล่าทหารมาเฟียบางคนทำการค้าและให้การดูแลคุ้มครองอยู่ด้วย

ดังนั้นเมื่อราษฎรกัมพูชาล้ำแดนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตไทย ทหารเหล่านี้จึงนิ่งดูดายไม่ผลักดันออกไป เพราะตัวเขาเองก็ได้ประโยชน์เช่นกัน เพราะในสายตาเของทหารเหล่านี้นั้นความ 'ร่ำรวย' และผลประโยชน์ย่อมหอมหวาน แม้จะต้องแลกมาด้วยการ 'เสียดินแดน' ก็ตามที

งานนี้ ว่ากันว่า “บิ๊กตู่” ที่ปกติมีบุคลิกห้าวหาญ ยอมหักไม่ยอมงอต่อเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

รวมกระทั่งไม่น่าแปลกใจที่มีข้อมูลเล็ดลอดออกมาว่า “บิ๊ก ป.” ได้ติดต่อไปยังนายพลคนหนึ่งของกัมพูชา เพื่อให้จับกุมคนไทยทั้งหมด

อย่างไรก็ดี มิใช่เพียงฝ่ายทหารที่ยอมสยบให้กัมพูชา เพราะนักการเมืองที่มีหน้าที่บริหารประเทศก็ดูจะเกรงอกเกรงใจนายกรัฐมนตรี ดีกรีประถมปลาย อย่างสมเด็จฮุน เซน อย่างออกหน้าออกตา ชนิดที่เรียกว่าถ้ายกพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาได้ก็คงทำไปแล้ว

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ “รองนายกฯ สปก.4-01 หนึ่งในคีย์แมนคนสำคัญของ “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่มีสายสัมพันธ์แน่นปึ้กกับ “บิ๊ก ป.” ที่ออกมาประกาศแบบทันทีทันใดว่า “คนไทยล้ำแดนกัมพูชา” ตามด้วยการขอให้ศาลกัมพูชา 'เมตตา'นักโทษคนไทย หลังจากที่คนไทยทั้ง 7 ถูกนำตัวขึ้นศาล

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้สังคมมีคำถามถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของคนทั้ง 3 คนที่อยู่ในระดับไม่ธรรมดา และว่ากันว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการด้านพลังงานบางประการที่กำลังจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินกัมพูชาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

ขณะที่คู่ซี้ของรองนายกฯ สปก.4-01 อย่างนักการเมือง 'ชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร' ซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแถบอีสาน ด้วยการกวาดต้อน ส.ส.จากพรรคเผาไทยเข้ามาไว้ในสังกัด และเป็นผู้ทรงอิทธิพลในขั้ว 'อำนาจใหม่' ก็มีผลประโยชน์มากมายในกัมพูชาเช่นกัน เช่น ธุรกิจปลูกข้าวหอมมะลิในที่ดินเขมร ซึ่งแน่นอนพันธุ์ข้าวหอมมะลิชั้นดีดังกล่าวนั้นจะมาไหนไม่ได้นอกจากเมืองไทย ไม่นับรวมธุรกิจขนของหนีภาษีที่ทำรายได้มหาศาลให้กับ 'เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี' ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ของพรรคด้วย

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ขณะที่คนไทยผู้รักชาติเคลื่อนขบวนไปเรียกร้องให้ปล่อยคณะไทยทั้ง 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับจะมี “ม็อบชาวบ้าน” ถูกเกณฑ์ออกมาต่อต้านจนหวิดเกิดการปะทะกัน ซึ่งทุกคนในพื้นที่รู้ดีว่า ผู้ที่ไปเกณฑ์และปลุกปั่นชาวบ้านจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากฝีมือของผู้ที่ชำนาญการในเรื่องนี้เป็นพิเศษ

ยิ่งเห็นการชุมนุมที่ถือ “ป้าย” ที่จัดเตรียมมาเป็นพิเศษ มีลักษณะเป็นมาตรฐานซึ่งการว่าจ้างจัดทำนั้นต้องใช้เงินค่อนข้างมาก ก็ย่อมเห็นภาพการเชื่อมโยงได้ชัดเจนขึ้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ชาวบ้านจะเป็นผู้จัดหามาเอง

อย่างไรก็ดี ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ (15thmove.net) ซึ่งจัดทำโดยนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่จับตาดูสถานการณ์ กรณีปราสาทพระวิหารและสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยการตีพิมพ์บทความในหัวข้อ “คลิป ๗ คนไทยบอกอะไร-อะไรในโนนหมากมุ่น?

บทความดังกล่าวอธิบายเอาไว้ชัดเจนว่า แนวตะเข็บชายแดนไทยด้านที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชานั้น มีสภาพ No man’s Land ตลอดทั้งแนว ซึ่งการคงสภาพความไม่แน่นอนของเขตแดนให้อึมครึม และเป็นพื้นที่ความมั่นคงนั้นล้วนเอื้อประโยชน์ให้แก่นักการเมือง นายทหาร และพ่อค้าหากินสะดวก กรณีจังหวัดสระแก้วซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจังหวัดบ้านใต้มีชัย หรือบันเตียเมียนเจ็ยของกัมพูชานั้น พบว่าระหว่างปี 2521-2522 มีนายทหารในแถบภาคตะวันออกร่ำรวยกับการค้าทองจากผู้หนีภัยสงครามจากกัมพูชา ที่นำทองมาขายเพื่อนำเงินไปซื้อข้าวปลาอาหารและขอความคุ้มครอง

ขณะเดียวกัน พื้นที่โนนหมากมุ่นก็ถือเป็นเขตความมั่นคง อยู่ภายใต้การดูแลของทหารและตำรวจตระเวนชายแดนมาโดยตลอด จึงปราศจากหน่วยงานอื่นอำนาจอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งบริเวณพิพาทตั้งแต่หลักเขตที่ 45-48 ที่คลุมพื้นที่โนนหมากมุ่นจึงมีสภาพ No man’s Land ซึ่งเมื่อฝั่งไทยมีอิทธิพล และติดต่อกับทหารกัมพูชารู้เรื่อง ทำให้มีการกระทำผิดกฎหมายโดยสะดวก ทั้งการค้าสินค้าหนีภาษี การค้ามนุษย์ และสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ประกอบกับที่ปอยเปตมีผู้มีอิทธิพลอีกรายคุมพื้นที่เก็บค่าผ่านทางสินค้าหนีภาษี กลุ่มการค้าเหล่านี้จึงย้ายมาใช้เส้นทางโนนหมากมุ่น

นอกจากนั้นยังมีลุ่มผู้กว้างขวางในพื้นที่ บางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการย้ายหลักเขตให้ล้ำมายังฝั่งไทย เพื่อง่ายในการครอบครองที่ดิน ทำการเกษตรเช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์ รวมทั้งการเปิดบ่อนการพนันการย้ายหลักเขตจึงไม่จำกัดเฉพาะความพยายามของกัมพูชาที่จะกินดินแดน แต่คนไทยมีส่วนสำคัญ เมื่อมีการร้องเรียนกรณีฝั่งกัมพูชายึดที่ดินชาวบ้านจึงไม่ได้รับการตอบสนอง

จึงสรุปได้ว่า ปัญหาทั้งหมดล้วนเกิดจากทั้งฝ่ายที่รับผิดชอบในพื้นที่และฝ่ายนโยบายซึ่งหมายถึงนักการเมือง ที่คอยหาประโยชน์จากความไม่ชัดเจนเรื่องเขตแดน คงสภาพความเป็น No man’s Land ไว้เป็นแหล่งทำมาหากิน ปัญหาเขตแดนจึงมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และไม่ใช่การทับซ้อนในการอ้างสิทธิ์ครอบครองของสองประเทศเพียงลำพัง แต่เป็นการทับซ้อนในผลโยชน์ของผู้มีอิทธิพลในระดับนโยบาย !!

กำลังโหลดความคิดเห็น