xs
xsm
sm
md
lg

กรณี 7 คนไทย พิสูจน์ผู้นำ-ฝ่ายความมั่นคงไทยไร้น้ำยา !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่น่าเชื่อว่ากรณี 7 คนไทย ถูก “ลักพาตัว” หรือถูกทหารกัมพูชาจับกุมในเขตพื้นที่พิพาทจะได้พิสูจน์ภาวะผู้นำอีกครั้งของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้นำฝ่ายความมั่นคงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงไปถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งผลสรุปออกมาในเบื้องต้นถือว่า น่าผิดหวัง และพึ่งพาไม่ได้ โดยเฉพาะหากบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติเกิดปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน

เพราะนอกจากการดำเนินนโยบายเสียเปรียบ ตกเป็น “เบี้ยล่าง” ตั้งแต่แรกแล้ว ยังบางอย่างที่น่าสงสัยว่า “ระดับบิ๊ก” ในหน่วยงานด้านความมั่นคง “บางคน” ที่ยึดกุมอำนาจอยู่ในกองทัพมีผลประโยชน์ “เถื่อน” ตามแนวชายแดนด้านตะวันออกมานาน จนถูกมองว่ามีความพยายามขัดขวางการสะสางปัญหา หรือการค้นหาความจริงในพื้นที่อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

การออกมาด่วนสรุปของคณะผู้นำไทยว่าพื้นที่ที่ 7 คนไทย ที่รวมถึง ส.ส.กรุงเทพมหานคร ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงไปพิสูจน์ว่ายังเป็นดินแดนของไทยอยู่หรือไม่ หลังจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านหลายรายว่าตัวเองมีเอกสารสิทธิ์ที่ออกให้โดยทางราชการ เช่น น.ส.3 น.ส.2 และ ส.ค.1 เป็นต้นและมีการเสียภาษีให้กับรัฐบาลไทยมาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ เนื่องจากทางฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าไม่ใช่ดินแดนไทย ที่ผ่านมาเคยร้องเรียนมาหลายรัฐบาล ตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีการแก้ไขช่วยเหลือใดๆ

แต่อย่างไรก็ดียังโชคดีว่า คนไทยที่เป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าว ไม่ถูกระบุว่าเป็น “คนต่างด้าว” บุกรุกแผ่นดินตัวเอง เหมือนกับที่ 7 คนไทยถูกทางการกัมพูชา “ลักพาตัว” เท่านั้น !!

การออกมาด่วนสรุปว่า “รุกล้ำ” ถือว่าเป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ” อย่างยิ่ง เพราะตามปกติพื้นที่บริเวณนั้นยังไม่มีการปักปันเขตแดนให้แน่ชัด ยังเป็นพื้นที่พิพาทที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ เหนือดินแดน ถือว่าเป็นพิรุธ

อีกทั้งการด่วนสรุปดังกล่าวเท่ากับยอมรับความผิด เหมือนกับการส่ง คนไทยทั้ง 7 คนไปติดคุกกัมพูชา โดยหมดหนทางแก้ไข นอกเหนือจากการ “คุกเข่า” อ้อนวอนเท่านั้น

ทั้งที่ตามหลักการที่นานาประเทศส่วนใหญ่ปฏิบัติในกรณีพิพาทตามแนวชายแดนหากคนของอีกฝ่ายถูกจับตัวไป หากไม่ใช่เรื่องชาวบ้านธรรมดา ที่เกี่ยวโยงกับการเมืองก็ต้องมีการ “ประท้วง” ให้ปล่อยตัว จากนั้นค่อยมีการเจรจาหาทางออก

เพราะหากเทียบกันว่า 7 คนไทยที่ว่านั้นรุกล้ำแดนจริง ไทยก็ต้องปฏิบัติต่อชาวกัมพูชาที่อยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งเชื่อว่ามีอีกจำนวนมากที่รุกเข้ามาในฝั่งไทย จะด้วยลักษณะตั้งถิ่นฐานถาวรหรือเข้ามาแบบชั่วคราวรายวันก็ตาม ซึ่งหากยึดมาตรฐาน ตรรกะแบบนี้ฝ่ายไทยก็ต้องเคร่งครัดเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ
 
ขณะเดียวกัน จะว่าไปแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในเรื่องการล้ำแดน หรือการเข้าเมืองผิดกฎหมายถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หลายประเทศก็ต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกวัน ไม่ว่าสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก มาเลเซียกับชายแดนใต้ของไทย เป็นต้น เมื่อมีรุกล้ำ พลัดหลง เมื่อจับกุมได้ก็จะผลักดันกลับไป แต่นี่กลายเป็นเรื่องใหญ่โต มีการนำขึ้นศาลอย่างรวดเร็ว และถึงขั้นจะตั้งข้อหา “จารกรรม” เพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้กลายเป็นว่าเป็นการ “เช็กบิล” คิดบัญชีแค้นฝ่ายอริ เนื่องจากในจำนวนนั้นมีบุคคลที่เคลื่อนไหวสร้างความรำคาญให้กับผู้นำกัมพูชา คือ ฮุนเซน เท่านั้น และที่ผ่านมาได้ขัดขวางผลประโยชน์มาโดยตลอด

ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องพิจารณาตั้งข้อสังเกตตามมาก็คือกรณีที่เกิดขึ้นได้สะท้อนความ “ไม่เอาไหน” ของฝ่ายความมั่นคงของไทยอย่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง ว่า “ไร้น้ำยา” เพราะหากพิจารณาย้อนกลับไปในกรณีอื่นๆถือว่า ไม่ได้ใช้ศักยภาพในพื้นที่ตามแนวชายแดนอย่างที่ควรจะเป็น หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้เกิดคำถามตามมานี่คือการ “จงใจ” ทำให้เป็นแบบนี้หรือไม่ ด้วยเหตุผลในเรื่อง “ผลประโยชน์”บางอย่างในพื้นที่แถบชายแดนด้านตะวันออกหรือไม่

หากไม่ใช่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะต้องออก “แอ็กชั่น” ให้เข้มข้นเด็ดขาดมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของเขาสร้างความเคลือบแคลงในหลายเรื่อง มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมีการตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติ

กรณีมีการจัดม็อบชาวบ้านหนองจาน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ที่ออกมาต่อต้านกลุ่มคนไทยที่เรียกตัวเองว่า “คนไทยหัวใจรักชาติ” ขณะจะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่เมื่อสามสี่วันก่อนถือว่า “มีเบื้องหลัง” แน่นอน แม้ว่ายังไม่อาจสรุปว่า “ใคร” บงการ แต่ยืนยันได้ว่า “มี” แน่นอน ซึ่งม็อบลักษณะนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก สังเกตได้จาก “แผ่นป้ายผ้า” ที่มีการเตรียมการเขียนข้อความกันมาอย่างดี ราคาแพง ซึ่งตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับม็อบชาวบ้านที่เนื้อตัวมอมแมม และข้ออ้างในเรื่องการเข้ามาก่อกวนความสงบ เกรงกระทบสัมพันธ์กับกัมพูชาดูแล้วยังไม่สมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนจากที่ทำกินถูกกัมพูชายึดเอาไป

นอกเหนือจากนี้หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว ม็อบชาวบ้านเหล่านั้นมีจำนวนไม่น้อยที่ไปจากที่อื่น เข้าไปรับจ้างนายทุนธุรกิจทั้งเถื่อนและสีเทา สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ผลักดันให้ออกมาต่อต้านการเข้าไปตรวจสอบ “ความจริง” ใช่หรือไม่

สิ่งที่รับรู้กันว่าพื้นที่บริเวณชายแดน “บูรพา” มีสินค้าผิดกฎหมายมูลค่ามหาศาลทะลักเข้ามา ซึ่งไม่ต้องคิดมากก็ย่อมเข้าใจดีว่าย่อมต้องมีระดับ “บิ๊กสีเขียว” อยู่เบื้องหลัง “ธุรกิจเถื่อน” มานาน และนี่คือที่มาของความอ่อนแอของฝ่ายความมั่นคงไทยตามแนวชายแดน จนไม่น่าเชื่อว่าต้องตกเป็นเบี้ยล่างกัมพูชามาตลอดในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นหากข้อกล่าวหาและข้อสังเกตดังกล่าวไม่เป็นความจริง ก็ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมลงมาตรวจสอบ และแก้ปัญหาอย่างจริงจังทันที !!
กำลังโหลดความคิดเห็น