ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”เผยเงินเฟ้อปีเสือ 3.3% เป็นไปตามคาด และสอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนปี 54 ตั้งเป้า 3.2-3.7% หลังมันใจเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพ แต่ต้องระวังน้ำมันแพง อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน และราคาสินค้าเกษตรพุ่ง
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) เดือนธ.ค.2552 เท่ากับ 108.92 เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.2553 เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.2553 สูงขึ้น 0.16% และเฉลี่ยทั้งปี 2553 (ม.ค.-ธ.ค.) เมื่อเทียบกับปีที่ 2552 สูงขึ้น 3.3% เป็นอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวในระดับที่เหมาะสมกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2553 ทั้งปีจะขยายตัวประมาณ 7.5%
“เงินเฟ้อปีเสือ เราคาดการณ์ไว้ทั้งปี ที่ 3-3.5% เมื่อการแถลงข่าวเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ผมบอกไว้ทั้งปีจะอยู่ที่ 3.3% วันนี้ออกมาตรงเป๊ะ ไม่มีแทงโต๊ด พาณิชย์แทงหวยเต็ง ถูกตรงๆ แม้แต่สมมติฐานก็ตรง น้ำมันดิบดูไบคาดไว้ 70-88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เฉลี่ยออกมา 77.42 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 31-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เฉลี่ย 31.87 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แล้วมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล คาดไว้ว่ารัฐบาลจะต่อ รัฐบาลก็ต่อเป็นส่วนใหญ่ นี่ก็ตรง”นายยรรยงกล่าว
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อเดือนธ.ค. เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้น 3.0% มาจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 5.6% จากดัชนีหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่มขึ้น 8.3% เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ เพิ่มขึ้น 4% ไข่และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้น 3.2% ผักและผลไม้ เพิ่มขึ้น 20.7% เครื่องประกอบอาหาร เพิ่มขึ้น 5.% อาหารสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น 2.1% ส่วนดัชนีหมวดอื่นๆไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 1.6% จากหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร เพิ่มขึ้น 2% จากสาเหตุน้ำมันเชื้อเพลิง หมวดเคหสถาน เพิ่มขึ้น 2% หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล เพิ่มขึ้น 0.4% หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา เพิ่มขึ้น 0.7%
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อทั้งปี 2553 เพิ่มขึ้น 3.3% มาจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 5.4% จากสินค้าหมวดข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่มขึ้น 10.1% ผักและผลไม้ เพิ่มขึ้น 24.1% ส่วนดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 2.1% จากน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 13.9%
ส่วนสาเหตุที่เงินเฟ้อเดือนธ.ค.เทียบเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ที่เพิ่มขึ้น 0.16% เป็นผลจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.18% จากราคาสินค้าอาหารสดบางรายการมีราคาลดลงต่อเนื่อง เช่น ผักและผลไม้ ลดลง 5.96% ดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.36% สินค้าสำคัญที่สูงขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 3.05%
ทางด้านเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่หักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสดและกลุ่มพลังงานจำนวน 117 รายการ คิดเป็น 24% ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดออก เท่ากับ 104.21 เทียบกับ พ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 0.35% เทียบเดือนธ.ค.2552 เพิ่มขึ้น 1.4% และเฉลี่ยทั้งปี 2553 เพิ่มขึ้น 1%
นายยรรยงกล่าวว่า เงินเฟ้อปี 2554 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.2-3.7% ภายใต้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ย 78-88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 28-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และรัฐบาลยังคงมาตรการลดค่าครองชีพประชาชน ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คาดว่าจะขยายตัว 3-4.5% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาด 3-5% สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาด 2.5-3.5%
“ที่คาดเงินเฟ้อปีนี้ไว้ที่ 3.2-3.7% โดยมีช่วงห่างแค่ 0.5 จุด เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพเหมือนเดิม โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ก็คือ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแม้จะมีปัจจัยเสี่ยง ก็ยังยืนยันว่าเงินเฟ้อทั้งปีน่าจะอยู่ในกรอบนี้”นายยรรยงกล่าว
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) เดือนธ.ค.2552 เท่ากับ 108.92 เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.2553 เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.2553 สูงขึ้น 0.16% และเฉลี่ยทั้งปี 2553 (ม.ค.-ธ.ค.) เมื่อเทียบกับปีที่ 2552 สูงขึ้น 3.3% เป็นอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวในระดับที่เหมาะสมกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2553 ทั้งปีจะขยายตัวประมาณ 7.5%
“เงินเฟ้อปีเสือ เราคาดการณ์ไว้ทั้งปี ที่ 3-3.5% เมื่อการแถลงข่าวเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ผมบอกไว้ทั้งปีจะอยู่ที่ 3.3% วันนี้ออกมาตรงเป๊ะ ไม่มีแทงโต๊ด พาณิชย์แทงหวยเต็ง ถูกตรงๆ แม้แต่สมมติฐานก็ตรง น้ำมันดิบดูไบคาดไว้ 70-88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เฉลี่ยออกมา 77.42 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 31-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เฉลี่ย 31.87 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แล้วมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล คาดไว้ว่ารัฐบาลจะต่อ รัฐบาลก็ต่อเป็นส่วนใหญ่ นี่ก็ตรง”นายยรรยงกล่าว
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อเดือนธ.ค. เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้น 3.0% มาจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 5.6% จากดัชนีหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่มขึ้น 8.3% เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ เพิ่มขึ้น 4% ไข่และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้น 3.2% ผักและผลไม้ เพิ่มขึ้น 20.7% เครื่องประกอบอาหาร เพิ่มขึ้น 5.% อาหารสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น 2.1% ส่วนดัชนีหมวดอื่นๆไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 1.6% จากหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร เพิ่มขึ้น 2% จากสาเหตุน้ำมันเชื้อเพลิง หมวดเคหสถาน เพิ่มขึ้น 2% หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล เพิ่มขึ้น 0.4% หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา เพิ่มขึ้น 0.7%
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อทั้งปี 2553 เพิ่มขึ้น 3.3% มาจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 5.4% จากสินค้าหมวดข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่มขึ้น 10.1% ผักและผลไม้ เพิ่มขึ้น 24.1% ส่วนดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 2.1% จากน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 13.9%
ส่วนสาเหตุที่เงินเฟ้อเดือนธ.ค.เทียบเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ที่เพิ่มขึ้น 0.16% เป็นผลจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.18% จากราคาสินค้าอาหารสดบางรายการมีราคาลดลงต่อเนื่อง เช่น ผักและผลไม้ ลดลง 5.96% ดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.36% สินค้าสำคัญที่สูงขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 3.05%
ทางด้านเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่หักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสดและกลุ่มพลังงานจำนวน 117 รายการ คิดเป็น 24% ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดออก เท่ากับ 104.21 เทียบกับ พ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 0.35% เทียบเดือนธ.ค.2552 เพิ่มขึ้น 1.4% และเฉลี่ยทั้งปี 2553 เพิ่มขึ้น 1%
นายยรรยงกล่าวว่า เงินเฟ้อปี 2554 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.2-3.7% ภายใต้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ย 78-88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 28-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และรัฐบาลยังคงมาตรการลดค่าครองชีพประชาชน ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คาดว่าจะขยายตัว 3-4.5% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาด 3-5% สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาด 2.5-3.5%
“ที่คาดเงินเฟ้อปีนี้ไว้ที่ 3.2-3.7% โดยมีช่วงห่างแค่ 0.5 จุด เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพเหมือนเดิม โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ก็คือ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแม้จะมีปัจจัยเสี่ยง ก็ยังยืนยันว่าเงินเฟ้อทั้งปีน่าจะอยู่ในกรอบนี้”นายยรรยงกล่าว
