“จุดเทียนปัญญา” คือคำขวัญหรือ “ธง” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการเคลื่อนไหวต่อสู้กับอำนาจในระบอบทักษิณ เป้าหมายคือปลุกให้มวลมหาชนชาวไทยตื่นตัวขึ้นมา รวมพลังอย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ จนกระทั่งกลายเป็น “อำนาจกำหนด” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งยังผลให้กลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณแตกดับไปอย่างรวดเร็ว และเกิดแกนนำรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นแทนที่ เพื่อกรุยทางไปสู่การสร้างการเมืองใหม่ที่ “สะอาด โปร่งใส ก้าวหน้า” ขึ้นแทนที่การเมืองเก่าน้ำเน่าให้ได้ในที่สุด
ในมุมมองทางประวัติศาสตร์ จึงกล่าวได้ว่า การรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ และการต่อสู้ 193 วัน ล้มรัฐบาลสมัคร/สมชายในระบอบทักษิณ ก็คือผลของการ “จุดเทียนปัญญา”
การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (โดยขุนทหาร “จัดให้”) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะผลพวงของการ “จุดเทียนปัญญา”
การ “จุดเทียนปัญญา” จึงมีนัยสำคัญยิ่งยวดในทางประวัติศาสตร์ชาติไทย อยู่ในฐานะ “ปัจจัยกำหนด” ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” ดึงดูดให้ “ทุกฝ่าย” เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
มาบัดนี้ แม่ทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าต้อง “เอาชาติไว้ก่อน” โดยนัยก็เป็นผลสืบเนื่องจากการ “จุดเทียนปัญญา”
นี่คือเหตุผลสำคัญ ของผู้เขียนในการเสนอให้กองทัพร่วมชูธงการเมืองใหม่ แสดงตนเป็น “เสาค้ำ” สนับสนุนขบวนการการเมืองภาคประชาชน ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย พาประเทศไทยก้าวพ้นจากวังวนของการเมืองน้ำเน่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะสำนึกเบื้องลึกของผู้เขียน ที่ตระหนักถึง “ตรรกะ” หรือความเกี่ยวเนื่อง ความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ระหว่างการ “จุดเทียนปัญญา” และ “เอาชาติไว้ก่อน” ที่แยกกันไม่ออก ในบริบทของพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย ในขั้นตอนปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ รูปการขับเคลื่อนของกระบวนการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ ก็คือ กองทัพชูธง “เอาชาติไว้ก่อน” เคียงคู่กับ ธง “จุดเทียนปัญญา” ของพันธมิตรฯ ให้เป็น “ธงร่วม” นำคนไทย “ทุกฝ่าย” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ล้างการเมืองเก่าน้ำเน่า และสร้างการเมืองใหม่ที่ “สะอาด โปร่งใส ก้าวหน้า” เพื่อการสร้างชาติไทยใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองได้จริง คนไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขได้จริง
ในความเข้าใจของผู้เขียน สถานการณ์ทั้งภายนอกภายในประเทศวันนี้ คนไทย “ทุกฝ่าย” ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว จำเป็นจะต้องมาร่วมดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ภายใต้ร่มธง “จุดเทียนปัญญา” และ “เอาชาติไว้ก่อน”
ความหมายทางยุทธศาสตร์ก็คือ การ “ชูธง” ร่วมกันของกองทัพกับพันธมิตรฯ (ในฐานะกองหน้าของขบวนการการเมืองภาคประชาชน) จะสามารถดึงเอาพลังอำนาจของทุกฝ่ายมาเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ภายใต้ร่มธง “จุดเทียนปัญญา” “เอาชาติไว้ก่อน” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จ หมายความว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กลุ่มพลังมวลชนในขบวนการการเมืองภาคประชาชน ไม่จำกัดสี จะต้องย้ายจุดยืนมาอยู่บนจุดเดียวกัน คือ “เอาชาติไว้ก่อน” ทำการเคลื่อนไหวไปในแนวเดียวกันคือ “จุดเทียนปัญญา” โดยมีเป้าหมายตรงกันคือ “ล้างการเมืองเก่า” เพื่อ “สร้างการเมืองใหม่” ที่จะนำไปสู่การ “สร้างชาติไทยใหม่”
บุคคลในทุกสาขาอาชีพ และเพศวัย ในทุกกลุ่มองค์กร สถาบัน ทั้งของรัฐและเอกชน จะต้องเลิกยึดติดการเมืองเก่าน้ำเน่า หันมาร่วมกัน “เอาชาติไว้ก่อน” และเปิดหูเปิดตาด้วยการ “จุดเทียนปัญญา” ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มทุนใหญ่ของประเทศ เช่น กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กระทิงแดง เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ตลอดจนกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ร่วมทุนกับต่างประเทศ ตั้งฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย จะต้องปรับท่าทีครั้งใหญ่ เลิกยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มก๊วนการเมืองแบบเก่าที่ทำลายชาติ หันกลับมาให้การสนับสนุนการสร้างการเมืองแบบใหม่ ตามคติ “เอาชาติไว้ก่อน” และ “จุดเทียนปัญญา”
เกี่ยวกับกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศไทย ทั้งเก่าและใหม่ เราต้องพูดกันตามตรงว่า พฤติกรรมที่ผ่านๆ มาของพวกเขา เข้าข่าย “เห็นแก่ตัว” มากเกินไป เช่น มักให้การสนับสนุนพรรคการเมืองหรือนักการเมืองทุกฝ่ายโดยไม่แยกแยะว่าดีหรือไม่ดี หนำซ้ำยังเข้าร่วมวงการเมืองเลือกตั้งแบบซื้อเสียงทั้งโดยตรงและโดยอ้อม กระหน่ำซ้ำเติมประเทศชาติให้ตกเข้าสู่หลุมดำของ “ธุรกิจการเมือง” ที่บ่อนทำลายชีวิตประเทศชาติ บั่นทอนอนาคตของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ทั้งหมดนั้น แสดงให้เห็นถึงความมี “สายตาสั้น” ทางการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศไทย ที่ถือเอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นตัวตั้ง
ไม่มีสำนึกถึงความเป็นชาติ ไม่เอาชาติเป็นตัวตั้ง!
ในมุมมองทางประวัติศาสตร์ จึงกล่าวได้ว่า การรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ และการต่อสู้ 193 วัน ล้มรัฐบาลสมัคร/สมชายในระบอบทักษิณ ก็คือผลของการ “จุดเทียนปัญญา”
การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (โดยขุนทหาร “จัดให้”) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะผลพวงของการ “จุดเทียนปัญญา”
การ “จุดเทียนปัญญา” จึงมีนัยสำคัญยิ่งยวดในทางประวัติศาสตร์ชาติไทย อยู่ในฐานะ “ปัจจัยกำหนด” ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” ดึงดูดให้ “ทุกฝ่าย” เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
มาบัดนี้ แม่ทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าต้อง “เอาชาติไว้ก่อน” โดยนัยก็เป็นผลสืบเนื่องจากการ “จุดเทียนปัญญา”
นี่คือเหตุผลสำคัญ ของผู้เขียนในการเสนอให้กองทัพร่วมชูธงการเมืองใหม่ แสดงตนเป็น “เสาค้ำ” สนับสนุนขบวนการการเมืองภาคประชาชน ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย พาประเทศไทยก้าวพ้นจากวังวนของการเมืองน้ำเน่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะสำนึกเบื้องลึกของผู้เขียน ที่ตระหนักถึง “ตรรกะ” หรือความเกี่ยวเนื่อง ความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ระหว่างการ “จุดเทียนปัญญา” และ “เอาชาติไว้ก่อน” ที่แยกกันไม่ออก ในบริบทของพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย ในขั้นตอนปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ รูปการขับเคลื่อนของกระบวนการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ ก็คือ กองทัพชูธง “เอาชาติไว้ก่อน” เคียงคู่กับ ธง “จุดเทียนปัญญา” ของพันธมิตรฯ ให้เป็น “ธงร่วม” นำคนไทย “ทุกฝ่าย” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ล้างการเมืองเก่าน้ำเน่า และสร้างการเมืองใหม่ที่ “สะอาด โปร่งใส ก้าวหน้า” เพื่อการสร้างชาติไทยใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองได้จริง คนไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขได้จริง
ในความเข้าใจของผู้เขียน สถานการณ์ทั้งภายนอกภายในประเทศวันนี้ คนไทย “ทุกฝ่าย” ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว จำเป็นจะต้องมาร่วมดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ภายใต้ร่มธง “จุดเทียนปัญญา” และ “เอาชาติไว้ก่อน”
ความหมายทางยุทธศาสตร์ก็คือ การ “ชูธง” ร่วมกันของกองทัพกับพันธมิตรฯ (ในฐานะกองหน้าของขบวนการการเมืองภาคประชาชน) จะสามารถดึงเอาพลังอำนาจของทุกฝ่ายมาเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ภายใต้ร่มธง “จุดเทียนปัญญา” “เอาชาติไว้ก่อน” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้สำเร็จ หมายความว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กลุ่มพลังมวลชนในขบวนการการเมืองภาคประชาชน ไม่จำกัดสี จะต้องย้ายจุดยืนมาอยู่บนจุดเดียวกัน คือ “เอาชาติไว้ก่อน” ทำการเคลื่อนไหวไปในแนวเดียวกันคือ “จุดเทียนปัญญา” โดยมีเป้าหมายตรงกันคือ “ล้างการเมืองเก่า” เพื่อ “สร้างการเมืองใหม่” ที่จะนำไปสู่การ “สร้างชาติไทยใหม่”
บุคคลในทุกสาขาอาชีพ และเพศวัย ในทุกกลุ่มองค์กร สถาบัน ทั้งของรัฐและเอกชน จะต้องเลิกยึดติดการเมืองเก่าน้ำเน่า หันมาร่วมกัน “เอาชาติไว้ก่อน” และเปิดหูเปิดตาด้วยการ “จุดเทียนปัญญา” ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มทุนใหญ่ของประเทศ เช่น กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กระทิงแดง เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ตลอดจนกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ร่วมทุนกับต่างประเทศ ตั้งฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย จะต้องปรับท่าทีครั้งใหญ่ เลิกยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มก๊วนการเมืองแบบเก่าที่ทำลายชาติ หันกลับมาให้การสนับสนุนการสร้างการเมืองแบบใหม่ ตามคติ “เอาชาติไว้ก่อน” และ “จุดเทียนปัญญา”
เกี่ยวกับกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศไทย ทั้งเก่าและใหม่ เราต้องพูดกันตามตรงว่า พฤติกรรมที่ผ่านๆ มาของพวกเขา เข้าข่าย “เห็นแก่ตัว” มากเกินไป เช่น มักให้การสนับสนุนพรรคการเมืองหรือนักการเมืองทุกฝ่ายโดยไม่แยกแยะว่าดีหรือไม่ดี หนำซ้ำยังเข้าร่วมวงการเมืองเลือกตั้งแบบซื้อเสียงทั้งโดยตรงและโดยอ้อม กระหน่ำซ้ำเติมประเทศชาติให้ตกเข้าสู่หลุมดำของ “ธุรกิจการเมือง” ที่บ่อนทำลายชีวิตประเทศชาติ บั่นทอนอนาคตของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ทั้งหมดนั้น แสดงให้เห็นถึงความมี “สายตาสั้น” ทางการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศไทย ที่ถือเอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นตัวตั้ง
ไม่มีสำนึกถึงความเป็นชาติ ไม่เอาชาติเป็นตัวตั้ง!