การเมืองใหม่จะสำเร็จได้ด้วย “ทุกฝ่าย” ร่วมกันทำ ภายใต้ร่มธง “จุดเทียนปัญญา” และ “เอาชาติไว้ก่อน”
“ทุกฝ่าย” ที่ว่า รวมถึงกลุ่มทุนใหญ่คับชาติ เช่น ซีพี กระทิงแดง เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ตลอดจนกลุ่มปูนใหญ่-กลาง-เล็ก กลุ่ม “ปตท.” และอื่นๆ อีกมาก ที่ยึดกุมชีวิตเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
กลุ่มทุนใหญ่เหล่านี้ มีอำนาจอิทธิพลรอบด้าน มีความยิ่งใหญ่ในตัว แต่ด้วยความเป็นธุรกิจ ทำให้พวกเขาคำนึงถึงความอยู่รอดและการแข่งขันเหนือกว่าสิ่งอื่นใด เหนือกว่าชาติ เหนือกว่าประชาชน
การเมืองน้ำเน่าแบบเก่าที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ ไม่ช่วยให้พวกเขาคิดไปในทางที่จะ “เอาชาติไว้ก่อน” เลย ตรงกันข้าม พวกเขายังต้องหาทางเข้าไปทำอะไรก็ได้ที่จะให้หลักประกันแก่การดำเนินธุรกิจของตน
การให้เงินสนับสนุนนักการเมืองและพรรคการเมืองแบบ “ปูพรม” โดยนัยก็คือการ “ซื้อ” ตัวนักการเมืองและพรรคการเมือง ด้วยเงินก้อนโต เป็นแหล่งที่มาของ “น้ำเลี้ยง” ที่นักการเมืองและพรรคการเมืองในระบบการซื้อเสียงเลือกตั้งกระหายหิวเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มทุนใหญ่กับการเมืองน้ำเน่าจึงเกาะเกี่ยวกันมาโดยตลอด
ยิ่งกว่านั้น เมื่อการเมืองในระบบซื้อเสียงเลือกตั้งพัฒนาถึงระดับการ “ควบรวม” หรือ “เทกโอเวอร์” กันได้ กลุ่มทุนใหญ่ก็ได้ไสช้างเข้าสู่กลางเวที ลงทุนตั้งพรรคการเมือง ทุ่มทุนซื้อเสียงเลือกตั้ง สถาปนาตนเองขึ้นเป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศโดยตรง เช่น กลุ่มบริษัทชินวัตร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวกอีกราว 10 กลุ่มบริษัท ขณะที่กลุ่มทุนใหญ่ “สายอนุรักษ์” ก็เลียบๆ เคียงๆ ส่งคนของตัวเองเข้าไปอยู่ในรัฐบาล ประเภท “ขอเอี่ยวด้วยคน”
สภาพแวดล้อมทางการเมืองของประเทศไทย จึงคละคลุ้ง อบอวล ไปด้วยมลพิษของอำนาจและ “น้ำเงิน” นักการเมืองต่างพากันหิวโหยตำแหน่ง พรรคการเมืองต่างพากันหิวโหย “ค่าหัวคิว” ในเงินงบประมาณของโครงการต่างๆ ที่มากมายมหาศาลนับหมื่นนับแสนล้านบาท
ประเทศชาติถูกปล้นกลางวันแสกๆ ประชาชนได้แต่ทำตาปริบๆ สื่อสายหลักทั้งสิ่งพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ ต่างพากัน “แบะๆ” ใบ้กินถ้วนหน้า
สรุปแล้ว บทบาทของทุนใหญ่ในประเทศไทย ติดลบมาโดยตลอด เป็นเหตุปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ของการชักนำให้การเมืองประเทศไทยถลำลึกลงสู่ห้วงเหวอเวจี
การดึงเอากลุ่มทุนใหญ่ที่คุ้นชินอยู่กับการถือเอาผลประโยชน์ของตนเป็นตัวตั้ง จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีทางเป็นไปได้เลย หากขบวนการการเมืองภาคประชาชนยังรวมตัวกันไม่ติด และกองทัพไม่แสดงตน ไม่ชูธงการเมืองใหม่ร่วมกับภาคประชาชน
แต่วันนี้ ประเทศชาติต้องการพลังอำนาจจาก “ทุกฝ่าย” มาร่วมกันทำในสิ่งที่ดีๆ ที่ถือเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
ประเทศชาติไม่มีทางเลือก นอกจากอ้าแขนรับการเข้าร่วมของกลุ่มทุนใหญ่ ให้เขามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการร่วมกันสร้างชาติต่อไป
นั่นหมายถึงว่า ประเทศไทยต้องการ “พลังรวม” ของทุกฝ่ายตั้งแต่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ต้อง “เอาชาติไว้ก่อน” ในวันนี้ ไปจนถึงระยะของการ “สร้างชาติ” ในอนาคต
ทุกอย่างจึงต้องดำเนินไปด้วย “ปัญญา”
เราเชื่อมั่นใน “ปัญญา” จึงสื่อถึงกองทัพด้วยปัญญา
เช่นเดียวกัน เราเชื่อมั่นในปัญญา ว่ากองทัพและภาคประชาชนจะสื่อถึงกลุ่มทุนใหญ่ด้วยปัญญา และในที่สุด กลุ่มทุนใหญ่ก็ตระหนักถึงความจริงของประเทศไทย ด้วย “ปัญญา”
พลังปัญญาของประชาชน แสนยานุภาพของกองทัพ และพลานุภาพของกลุ่มทุนใหญ่ จะต้องเคลื่อนตัวเองมาอยู่ในแนวเดียวกัน (ให้ได้)
เพื่อ “เอาชาติไว้ก่อน” ในวันนี้
และ “สร้างชาติไทยใหม่” ในวันหน้า
พัฒนาการประวัติศาสตร์ชาติไทย จะไม่เหมือนใคร ก็อยู่ตรงนี้!
“ทุกฝ่าย” ที่ว่า รวมถึงกลุ่มทุนใหญ่คับชาติ เช่น ซีพี กระทิงแดง เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ตลอดจนกลุ่มปูนใหญ่-กลาง-เล็ก กลุ่ม “ปตท.” และอื่นๆ อีกมาก ที่ยึดกุมชีวิตเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
กลุ่มทุนใหญ่เหล่านี้ มีอำนาจอิทธิพลรอบด้าน มีความยิ่งใหญ่ในตัว แต่ด้วยความเป็นธุรกิจ ทำให้พวกเขาคำนึงถึงความอยู่รอดและการแข่งขันเหนือกว่าสิ่งอื่นใด เหนือกว่าชาติ เหนือกว่าประชาชน
การเมืองน้ำเน่าแบบเก่าที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ ไม่ช่วยให้พวกเขาคิดไปในทางที่จะ “เอาชาติไว้ก่อน” เลย ตรงกันข้าม พวกเขายังต้องหาทางเข้าไปทำอะไรก็ได้ที่จะให้หลักประกันแก่การดำเนินธุรกิจของตน
การให้เงินสนับสนุนนักการเมืองและพรรคการเมืองแบบ “ปูพรม” โดยนัยก็คือการ “ซื้อ” ตัวนักการเมืองและพรรคการเมือง ด้วยเงินก้อนโต เป็นแหล่งที่มาของ “น้ำเลี้ยง” ที่นักการเมืองและพรรคการเมืองในระบบการซื้อเสียงเลือกตั้งกระหายหิวเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มทุนใหญ่กับการเมืองน้ำเน่าจึงเกาะเกี่ยวกันมาโดยตลอด
ยิ่งกว่านั้น เมื่อการเมืองในระบบซื้อเสียงเลือกตั้งพัฒนาถึงระดับการ “ควบรวม” หรือ “เทกโอเวอร์” กันได้ กลุ่มทุนใหญ่ก็ได้ไสช้างเข้าสู่กลางเวที ลงทุนตั้งพรรคการเมือง ทุ่มทุนซื้อเสียงเลือกตั้ง สถาปนาตนเองขึ้นเป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศโดยตรง เช่น กลุ่มบริษัทชินวัตร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวกอีกราว 10 กลุ่มบริษัท ขณะที่กลุ่มทุนใหญ่ “สายอนุรักษ์” ก็เลียบๆ เคียงๆ ส่งคนของตัวเองเข้าไปอยู่ในรัฐบาล ประเภท “ขอเอี่ยวด้วยคน”
สภาพแวดล้อมทางการเมืองของประเทศไทย จึงคละคลุ้ง อบอวล ไปด้วยมลพิษของอำนาจและ “น้ำเงิน” นักการเมืองต่างพากันหิวโหยตำแหน่ง พรรคการเมืองต่างพากันหิวโหย “ค่าหัวคิว” ในเงินงบประมาณของโครงการต่างๆ ที่มากมายมหาศาลนับหมื่นนับแสนล้านบาท
ประเทศชาติถูกปล้นกลางวันแสกๆ ประชาชนได้แต่ทำตาปริบๆ สื่อสายหลักทั้งสิ่งพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ ต่างพากัน “แบะๆ” ใบ้กินถ้วนหน้า
สรุปแล้ว บทบาทของทุนใหญ่ในประเทศไทย ติดลบมาโดยตลอด เป็นเหตุปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ของการชักนำให้การเมืองประเทศไทยถลำลึกลงสู่ห้วงเหวอเวจี
การดึงเอากลุ่มทุนใหญ่ที่คุ้นชินอยู่กับการถือเอาผลประโยชน์ของตนเป็นตัวตั้ง จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีทางเป็นไปได้เลย หากขบวนการการเมืองภาคประชาชนยังรวมตัวกันไม่ติด และกองทัพไม่แสดงตน ไม่ชูธงการเมืองใหม่ร่วมกับภาคประชาชน
แต่วันนี้ ประเทศชาติต้องการพลังอำนาจจาก “ทุกฝ่าย” มาร่วมกันทำในสิ่งที่ดีๆ ที่ถือเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
ประเทศชาติไม่มีทางเลือก นอกจากอ้าแขนรับการเข้าร่วมของกลุ่มทุนใหญ่ ให้เขามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการร่วมกันสร้างชาติต่อไป
นั่นหมายถึงว่า ประเทศไทยต้องการ “พลังรวม” ของทุกฝ่ายตั้งแต่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ต้อง “เอาชาติไว้ก่อน” ในวันนี้ ไปจนถึงระยะของการ “สร้างชาติ” ในอนาคต
ทุกอย่างจึงต้องดำเนินไปด้วย “ปัญญา”
เราเชื่อมั่นใน “ปัญญา” จึงสื่อถึงกองทัพด้วยปัญญา
เช่นเดียวกัน เราเชื่อมั่นในปัญญา ว่ากองทัพและภาคประชาชนจะสื่อถึงกลุ่มทุนใหญ่ด้วยปัญญา และในที่สุด กลุ่มทุนใหญ่ก็ตระหนักถึงความจริงของประเทศไทย ด้วย “ปัญญา”
พลังปัญญาของประชาชน แสนยานุภาพของกองทัพ และพลานุภาพของกลุ่มทุนใหญ่ จะต้องเคลื่อนตัวเองมาอยู่ในแนวเดียวกัน (ให้ได้)
เพื่อ “เอาชาติไว้ก่อน” ในวันนี้
และ “สร้างชาติไทยใหม่” ในวันหน้า
พัฒนาการประวัติศาสตร์ชาติไทย จะไม่เหมือนใคร ก็อยู่ตรงนี้!