xs
xsm
sm
md
lg

ทีพีซีลุ้นปลดล๊อก2โครงการมาบตาพุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ทีพีซีคาดปีนี้รายได้โต 2-3% จากราคาพีวีซีที่สูงและปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากเวียดนาม โอดบาทแข็งฉุดกำไรหด ลุ้น 2โครงการที่ติดคดีมาบตาพุดอาจไม่เข้าข่ายกิจการส่งผลกระทบรุนแรง คาดไตรมาส 4 นี้ จะปลดล็อกได้
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)(TPC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ในปีนี้จะเติบโตขึ้นเล็กน้อย2-3% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 24,885 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิน่าจะใกล้เคียงปี 2552 เพราะขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีอยู่ที่ 1,040-1,050 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ เชื่อว่าทั้งปีราคาพีวีซีเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐ สูงขึ้นจากปีก่อนที่เฉลี่ย 775 เหรียญสหรัฐ/ตัน รวมกับบริษัทมีกำลังการผลิตพีวีซีจากเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอีก 9 หมื่นตัน/ปี โดยจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนพ.ค.นี้
“โครงการขยายกำลังการผลิตพีวีซีที่เวียดนามอีก 9 หมื่นตัน/ปี ได้ล่าช้ากว่ากำหนด 4-5 เดือน แต่เชื่อว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนพ.ค. ทำให้ปีนี้โรงงานพีวีซีที่เวียดนามมีกำลังการผลิตพีวีซีเพิ่มขึ้นอีก 5-6 หมื่นตันจากกำลังผลิตเดิม 1 แสนตัน/ปี สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 50 ล้านเหรียญสหรัฐ”
นายคเณศ กล่าวว่า สาเหตุทีราคาพีวีซียังดีอยู่ แม้ว่าปีนี้ปริมาณการผลิตเอทิลีนในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 10 ล้านตัน มาจากตะวันออกกลาง ไทยและสิงคโปร์ ซึ่งมีผลด้านจิตวิทยาด้านราคา แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากหลายโรงงานที่ผลิตเอทิลีนเดิมได้ลดกำลังการผลิตลง ขณะที่โรงงานใหม่ที่เกิดขึ้นก็ผลิตไม่เต็มที่ดังเช่นโรงงานโอเลฟินส์ในกลุ่มปตท. แต่โอกาสที่จะเห็นพีวีซีปรับขึ้นไปถึง 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตันคงยาก เนื่องจากจีนมีการผลิตพีวีซีจากถ่านหินเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันส่วนต่างพีวีซีกับราคาวัตถุดิบ(อีดีซี) อยู่ที่ 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีขึ้นจากปลายปีที่แล้วสเปรดราคาอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน
สำหรับตลาดพีวีซีในประเทศปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น4-5% หลังจากตลาดหดตัวต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3ปีจากสถานการณ์ทางการเมือง โดยปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ดีขึ้น และรัฐบาลเร่งให้มีการเบิกจ่ายงบไทยเข้มแข็งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าช่วงนี้จะแผ่วไปบ้างก็ตาม
ส่วนปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท เนื่องจากมีส่งออก โดยบาทแข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท/เหรียญสหรัฐ จะกระทบกำไรในรูปเงินบาทลดลง 100-200 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายเม็ดพลาสติกในประเทศผูกพันกับค่าเงินเหรียญสหรัฐ แม้ว่าต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจะต่ำลง แต่บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายในรูปเงินบาทอยู่ เช่น ค่าแรง
ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
นายคเณศกล่าวถึงความคืบหน้าปัญหามาบตาพุดว่า ขณะนี้บริษัทร่วมกับเครือซิเมนต์ไทยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เร่งจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ รวมถึงประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน แต่เนื่องจากยังมีขั้นตอนการรอตั้งองค์กรอิสระและจำนวนโครงการที่ต้องได้รับอนุมัติ HIAจำนวนมาก เชื่อว่ากว่าจะผ่านขั้นตอนเหล่านี้อย่างเร็วสุดคงเป็นช่วงไตรมาส 4/2553 ทำให้รายได้ที่น่าจะเพิ่มขึ้นจากทั้ง 2 โครงการ คิดเป็นวงเงิน 200 ล้านบาทคงไม่เกิดขึ้นในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีความหวังว่า ทั้ง 2 โครงการนี้จะไม่อยู่ในข่ายกิจการก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรง เนื่องจากเป็นโครงการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด (Debottle neck) ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นแค่ 10% ขณะที่กรอบกติกาของต่างประเทศ เช่น แคนาดา กำหนดกิจการที่เข้าข่ายว่ามีผลกระทบรุนแรงจะต้องมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเกินกว่า 35% และโครงการดังกล่าวก็ไม่ใช่โครงการปิโตรเคมีขั้นต้น ทำให้ช่วยลดขั้นตอนได้1-2 เดือน อย่างไรก็ตาม จะทราบผลว่าโครงการทั้ง 2 นี้เข้าข่ายกิจการรุนแรงหรือไม่ในเดือน พ.ค.นี้
ทั้งนี้ คำสั่งศาลปกครองกลางให้ระงับ76 โครงการในมาบตาพุดเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2552 เนื่องจากเป็นโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเป็นโครงการของบริษัท 2 โครงการ คือโครงการขยายกำลังผลิตพีวีซีสายผลิตที่ 8-9 และโครงการขยายกำลังการผลิตไวนิลคลอไรด์ โมโนเมอร์(VCM) คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 200 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น