xs
xsm
sm
md
lg

“ทีพีซี”ขยาดลงทุนปิโตรฯเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ทีพีซียันไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากโครงการขยายวีซีเอ็มและพีวีซีที่อยู่ใน 76 โครงการมาบตาพุด เหตุไม่ได้มีการลงทุนเครื่องจักร แต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเท่านั้น ระบุเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โอกาสขยายการลงทุนในมาบตาพุดหมดลง เร่งสยายปีกการลงทุนไปเวียดนามแทน
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือทีพีซี ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซีรายใหญ่ในเครือซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลกระทบไม่มากนัก หากให้มีการหยุดโครงการตามคำสั่งศาลปกครองกลางที่ให้ระงับโครงการหรือกิจกรรม 76 โครงการในมาบตาพุด จ.ระยอง เป็นการชั่วคราว เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด (debotleneck) ทั้งเม็ดพลาสติกพีวีซีและวีซีเอ็มของบริษัททั้ง 2 โครงการจะอยู่ใน 76โครงการก็ตาม แต่เป็นโครงการที่ไม่ได้มีการลงทุนหรือติดตั้งเครื่องจักรใหม่
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทำให้เดินเครื่องจักรได้มากกว่ากำลังการผลิตเดิมของเครื่องจักร และอาจมีการปล่อยมลพิษออกมาสูงกว่า จึงต้องทำผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เพิ่มในส่วนที่ผลิตได้มากขึ้น คือ โครงการขยายกำลังการผลิตพีวีซีจาก 1.2 แสนตันเป็น 1.4 แสนตัน/ปี และโครงการขยายกำลังการผลิตวีซีเอ็มจาก 1.4 แสนตันเป็น 1.6 แสนตัน/ปี หากต้องระงับในส่วนที่ขยายก็จะเดินเครื่องจักรเท่าเดิม ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเดินเครื่องจักรในโครงการดังกล่าวเต็มที่ตามปกติ
“จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลฯ ร่วมกับปูนซิเมนต์ไทย และปตท. เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากคำสั่งศาลฯ เหมือนกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ การนิคมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ทำหนังสือถึงภาคเอกชนว่าภาครัฐจะเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวก็ตาม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นชะลอการลงทุน เพราะไม่มั่นใจการลงทุนในไทย และหากเอ็นจีโอมีการยื่นฟ้องโรงงานเพิ่มเติมอีก 500 โครงการทั่วประเทศ จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนในไทย ดังนั้น ภาครัฐต้องเร่งทำความเข้าใจกับเอ็นจีโอ เพราะบางประเด็นก็ไม่สมเหตุสมผล เช่น จะไม่ให้เกิดโรงไฟฟ้าใหม่ ทำให้ต้องเดินโรงไฟฟ้าเก่าที่มีประสิทธิภาพต่ำ ก่อมลพิษสูงกว่ามาก และต้องใช้โรงไฟฟ้าเก่า 4-5 โรงจึงจะผลิตไฟเท่ากับโรงใหม่ 1 โรง”นายคเณศกล่าว
นายคเณศกล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทมองไม่เห็นโอกาสที่จะขยายการลงทุนในมาบตาพุดอีกต่อไป คงต้องมีการลงทุนในต่างประเทศแทน ล่าสุดได้มีการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกพีวีซีไลน์ที่ 2 อีก 9 หมื่นตันในเวียดนาม คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า ทำให้มีกำลังการผลิตพีวีซีในเวียดนามรวมเป็น 1.9 แสนตัน ส่วนโครงการขยายกำลังการผลิตพีวีซีในไทยเพิ่มอีก 3 หมื่นตัน/ปี ที่อยู่ระหว่างการการขอ EIA คงจะต้องชะลอออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลาย
นอกจากนี้ ยังมีแผนจะลงทุนผลิตวัตถุดิบเพื่อป้อนโรงงานเม็ดพีวีซีในเวียดนามทั้งโครงการผลิตวีซีเอ็มขนาด 4 แสนตัน/ปีและอีดีซี 2.8 แสนตัน/ปี เงินลงทุน 400-500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ของเครือซิเมนต์ที่เวียดนาม โดยปีหน้าประมูลรับเหมาก่อสร้างและออกแบบโครงการ หลังจากนั้นจะเริ่มก่อสร้างไปพร้อมกับโครงการโอเลฟินส์แครกเกอร์ของปูนใหญ่ในปีถัดไป คาดว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี 2557
นายคเณศกล่าวว่า ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกพีวีซีอยู่ที่ 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบอยู่ที่ 320 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่โอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นไปแตะ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตันคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากโรงงานผลิตพีวีซีที่เป็น Acetylene Base จากจีนที่เคยหยุดผลิตไปในช่วงราคาน้ำมันตกต่ำ กลับมาเดินเครื่องจักรใหม่ได้อีกครั้ง ทำให้ปีนี้รายได้บริษัทจะต่ำกว่าปีที่แล้ว 10% จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 2.8 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันทีพีซีมีกำลังการผลิตพีวีซีในไทยรวมทั้งสิ้น 5 แสนกว่าตัน และวีซีเอ็ม 5 แสนตัน หากต้องหยุด 2 โครงการในมาบตาพุดเชื่อว่าจะกระทบรายได้ประมาณ 4-5% ของรายได้รวม
กำลังโหลดความคิดเห็น