เฝ้ามองการเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะ กับแกนนำคนเสื้อแดง ด้วยความหวัง
การเจรจาผ่านไป แม้ยังไม่สิ้นสุด แต่มีข้อสังเกตุเบื้องต้น ดังนี้
1) โจทย์เจรจา
ขอสนับสนุนจุดยืน และการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่จะต้องรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถจะเลือกทางเลือกที่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของส่วนรวม แม้ทางเลือกนั้น จะเป็นทางออกให้แก่ปัญหาการเมืองส่วนตัวของแกนนำผู้ชุมนุม
นายกรัฐมนตรีของประเทศ มีจุดยืนเดียวเท่านั้น คือ จะต้องแก้ปัญหาให้กับคนไทยทั้งประเทศ และไม่ให้การแก้ปัญหาของคนกลุ่มหนึ่ง ไปสร้างความเสียหาย หรือผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
2) ตลอดการพูดคุยถึงปัญหา มีความพยายามจะรักษาบรรยากาศ หรือสร้างภาพความไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยเลี่ยงที่พูดถึงต้นเหตุที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของแกนนำเสื้อแดงตัวจริงที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม
เลี่ยงที่จะเอ่ยถึง “ความผิด” หรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในห้องประชุมเจรจาอย่างตรงไปตรงมา
หากวิพากษ์วิจารณ์และอธิบายชี้แจงกันซึ่งๆ หน้า อย่างน้อย ในการมาพบกันครั้งนี้ ก็น่าจะเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดงได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารทั้งสองด้านพร้อมๆ กัน ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายแกนนำเสื้อแดงที่ปลุกระดมผ่านสื่อและการชุมนุมการเมืองของพวกตนมาอย่างยาวนาน
แต่เพราะกำหนดไว้ว่าเป็นการ “เจรจา” มิใช่ “ถกแถลง” และต้องการจะรักษาภาพ “สมานฉันท์” ของคน 6 คน ในห้อง จึงต้องปล่อยให้แกนนำเสื้อแดงบางคน “พล่ามยาว” และ “แสดงบทบาทถนัด” เล่นกับคนดูที่ติดตามชม คือ วางท่า ทำไม่แคร์ ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ จะเอาคำตอบของมวลชนพวกตนอย่างเดียว
นี่คือข้อเสียของการเจรจาแบบถ่ายทอดสด ซึ่งถ้าเป็นการเจรจาแบบปิดห้องคุย อาจจะได้เปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา จะร้องขอให้ช่วยหาทางลง หรือหาหนทางรอดของใครต่อใคร ก็จะได้รู้เจตนากันชัดๆ ไม่ต้องเสียเวลารักษามาด วางฟอร์ม
ยิ่งกว่านั้น ทั้ง 2 ฝ่าย ยังได้เลี่ยงไปหา “แพะ” เพื่อนำมาบูชายัญ รับผิด จากเหตุการณ์ทั้งหมด
ซึ่งแน่นอน ว่าจะต้องมิใช่ใคร หรือฝ่ายใด ที่นั่งอยู่ในห้องประชุม
จึงปรากฏว่า มีการแสดงความคิดเห็นไปในทางให้ร้าย หรือกล่าวโทษคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 บ้าง, ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันบ้าง ฯลฯ แต่ที่โดนจับบูชายัญหนักหนาที่สุด เห็นจะเป็น “รัฐธรรมนูญ 2550”
คงเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ 2550 สามารถเป็นแพะชั้นดี เพราะมันพูดไม่ได้!
3) กรณีที่กล่าวโทษรัฐธรรมนูญ 2550
ทั้งๆ ที่ เหตุแห่งปัญหาเกิดขึ้นในวันนี้ เกิดจากคนทำผิดกฎหมาย แล้วดิ้นรน ไม่อยากจะรับโทษจากการกระทำความผิดของตัวเอง
ที่ผ่านมา เวทีการชุมนุมของเสื้อแดงก็สะท้อนชัดอยู่แล้ว ว่ากลายเป็นเวทีการเมืองของแกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน-ไทยรักไทย ใช้ปลุกระดมเคลื่อนไหว เล่นนอกสภา
ไม่ต้องเอ่ยถึงทักษิณ ชินวัตร ที่เล่นบทปลุกระดมทางไกลทุกครั้งที่สบโอกาส
ทำให้สงครามชนชั้น สงครามไล่อำมาตย์ หรืออะไรต่อมิอะไรอย่างที่เคยอ้างในตอนแรกๆ กลายมาเป็นจะขอลงเอยที่ “ยุบสภา” อันตอกย้ำชัดว่า แท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ เป็นแค่ “สงครามแย่งอำนาจ” ของกลุ่มนักการเมืองที่สูญเสียผลประโยชน์ และพยายมจะดิ้นรนเพื่อตัวเอง แล้วพยายามปลุกระดมเคลื่อนไหว หาเสียง หาแนวร่วมกับประชาชนโดยเอาปัญหาโครงสร้างของบ้านเมืองมาเป็นเครื่องลวง-หลอก-ล่อ
รัฐธรรมนูญ 2550 นั้น ประกาศใช้อยู่ก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะทุจริตเลือกตั้ง และก่อนที่นายสมัคร สุนทรเวช จะเป็นนายกรัฐมนตรี
บุคคลที่อยู่ในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญนั้น ส่วนใหญ่ ก็ล้วนแต่เป็นคนที่เคยได้รับการสรรหาเอาไว้เติม ตั้งแต่ครั้งที่ยังมีรัฐธรรมนูญ 2540
เมื่อโกงเลือกตั้ง พรรคพลังประชาชนก็ต้องถูกดำเนินคดีไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายบ้านเมือง
เมื่อทำผิดรัฐธรรมนูญ ไปหาผลประโยชน์ด้วยการเป็นลูกจ้างเอกชน ทำรายการอาหารออกทีวี นายสมัครก็ต้องถูกดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ
ในเมื่อรัฐธรรมนูญห้ามไว้ ไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปมีผลประโยชน์หรือส่วนเสียกับธุรกิจเอกชน แต่คนไปทำผิดรัฐธรรมนูญเสียเอง การไปใส่ร้ายว่ารัฐธรรมนูญเป็นต้นเหตุ ย่อมจะไม่ถูกต้อง
ไม่ต่างกับการขับรถฝ่าไฟแดง เมื่อถูกจับได้ ก็ป้ายสีว่า กฎหมายนั่นแหละผิด!
4) ระหว่างการเจรจา ฝ่ายแกนนำ นปช. เป็นผู้หยิบยกขึ้นมาว่า ปัญหาทุกอย่างในวันนี้ มันเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 มีรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นมรดกตกทอด ยืนยันว่าต้องยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกตั้งเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจไปในคราวเดียว ว่าจะเลือกพรรคไหน และพรรคนั้นก็จะได้เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังเลือกตั้ง
การตั้งโจทย์ และการสร้างคำอธิบายดังกล่าว เป็นเรื่องไร้สาระ
เฉพาะการเอามติของประชาชนในการเลือกผู้แทน มาปะปนกับฉันทามติในการแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ ก็เป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว ผิดเพี้ยนอย่างมาก
เพราะประเด็นในรัฐธรรมนูญ มีมากมาย เกือบจะกล่าวได้ว่า ประชาชนทุกคนมีความต้องการแก้รัฐธรรนูญบางมาตราอยู่ในใจของตนเองทั้งนั้น
ยิ่งกว่านั้น การที่บุคคลใดๆ ชอบนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง หรือประชานิยม หรือชอบในตัว ส.ส.ของพรรคการเมืองหนึ่ง ก็มิได้หมายความว่า เขาจะเห็นด้วยกับการให้พรรคนั้นได้สิทธิขาดไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และแม้แต่คนที่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญทุกมาตรา หาได้หมายความว่า พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งจะสามารถเหมารวมเอาเสียงของเขาไปอ้างในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพวกพ้องของตัวเอง
ถ้าปล่อยให้ยุบสภา ไปเลือกตั้งกันก่อน ใครชนะได้อำนาจไปแก้รัฐธรรมนูญตามใจพวกตัว อย่างนั้น ก็จะเกิดการหาเสียงแบบเทกระจาด โดยใช้เงินหลวงมาขายฝัน ขายประชานิยมแบบสุดขั้วที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของโลก
เพราะผู้ชนะจะไม่เพียงชนะเลือกตั้ง แต่หมายถึงได้ “เป็นคณะรัฐประหาร” สามารถล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
การเจรจาผ่านไป แม้ยังไม่สิ้นสุด แต่มีข้อสังเกตุเบื้องต้น ดังนี้
1) โจทย์เจรจา
ขอสนับสนุนจุดยืน และการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่จะต้องรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถจะเลือกทางเลือกที่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของส่วนรวม แม้ทางเลือกนั้น จะเป็นทางออกให้แก่ปัญหาการเมืองส่วนตัวของแกนนำผู้ชุมนุม
นายกรัฐมนตรีของประเทศ มีจุดยืนเดียวเท่านั้น คือ จะต้องแก้ปัญหาให้กับคนไทยทั้งประเทศ และไม่ให้การแก้ปัญหาของคนกลุ่มหนึ่ง ไปสร้างความเสียหาย หรือผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
2) ตลอดการพูดคุยถึงปัญหา มีความพยายามจะรักษาบรรยากาศ หรือสร้างภาพความไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยเลี่ยงที่พูดถึงต้นเหตุที่แท้จริงของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของแกนนำเสื้อแดงตัวจริงที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม
เลี่ยงที่จะเอ่ยถึง “ความผิด” หรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในห้องประชุมเจรจาอย่างตรงไปตรงมา
หากวิพากษ์วิจารณ์และอธิบายชี้แจงกันซึ่งๆ หน้า อย่างน้อย ในการมาพบกันครั้งนี้ ก็น่าจะเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดงได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารทั้งสองด้านพร้อมๆ กัน ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายแกนนำเสื้อแดงที่ปลุกระดมผ่านสื่อและการชุมนุมการเมืองของพวกตนมาอย่างยาวนาน
แต่เพราะกำหนดไว้ว่าเป็นการ “เจรจา” มิใช่ “ถกแถลง” และต้องการจะรักษาภาพ “สมานฉันท์” ของคน 6 คน ในห้อง จึงต้องปล่อยให้แกนนำเสื้อแดงบางคน “พล่ามยาว” และ “แสดงบทบาทถนัด” เล่นกับคนดูที่ติดตามชม คือ วางท่า ทำไม่แคร์ ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ จะเอาคำตอบของมวลชนพวกตนอย่างเดียว
นี่คือข้อเสียของการเจรจาแบบถ่ายทอดสด ซึ่งถ้าเป็นการเจรจาแบบปิดห้องคุย อาจจะได้เปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา จะร้องขอให้ช่วยหาทางลง หรือหาหนทางรอดของใครต่อใคร ก็จะได้รู้เจตนากันชัดๆ ไม่ต้องเสียเวลารักษามาด วางฟอร์ม
ยิ่งกว่านั้น ทั้ง 2 ฝ่าย ยังได้เลี่ยงไปหา “แพะ” เพื่อนำมาบูชายัญ รับผิด จากเหตุการณ์ทั้งหมด
ซึ่งแน่นอน ว่าจะต้องมิใช่ใคร หรือฝ่ายใด ที่นั่งอยู่ในห้องประชุม
จึงปรากฏว่า มีการแสดงความคิดเห็นไปในทางให้ร้าย หรือกล่าวโทษคณะรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 บ้าง, ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันบ้าง ฯลฯ แต่ที่โดนจับบูชายัญหนักหนาที่สุด เห็นจะเป็น “รัฐธรรมนูญ 2550”
คงเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ 2550 สามารถเป็นแพะชั้นดี เพราะมันพูดไม่ได้!
3) กรณีที่กล่าวโทษรัฐธรรมนูญ 2550
ทั้งๆ ที่ เหตุแห่งปัญหาเกิดขึ้นในวันนี้ เกิดจากคนทำผิดกฎหมาย แล้วดิ้นรน ไม่อยากจะรับโทษจากการกระทำความผิดของตัวเอง
ที่ผ่านมา เวทีการชุมนุมของเสื้อแดงก็สะท้อนชัดอยู่แล้ว ว่ากลายเป็นเวทีการเมืองของแกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน-ไทยรักไทย ใช้ปลุกระดมเคลื่อนไหว เล่นนอกสภา
ไม่ต้องเอ่ยถึงทักษิณ ชินวัตร ที่เล่นบทปลุกระดมทางไกลทุกครั้งที่สบโอกาส
ทำให้สงครามชนชั้น สงครามไล่อำมาตย์ หรืออะไรต่อมิอะไรอย่างที่เคยอ้างในตอนแรกๆ กลายมาเป็นจะขอลงเอยที่ “ยุบสภา” อันตอกย้ำชัดว่า แท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ เป็นแค่ “สงครามแย่งอำนาจ” ของกลุ่มนักการเมืองที่สูญเสียผลประโยชน์ และพยายมจะดิ้นรนเพื่อตัวเอง แล้วพยายามปลุกระดมเคลื่อนไหว หาเสียง หาแนวร่วมกับประชาชนโดยเอาปัญหาโครงสร้างของบ้านเมืองมาเป็นเครื่องลวง-หลอก-ล่อ
รัฐธรรมนูญ 2550 นั้น ประกาศใช้อยู่ก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะทุจริตเลือกตั้ง และก่อนที่นายสมัคร สุนทรเวช จะเป็นนายกรัฐมนตรี
บุคคลที่อยู่ในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญนั้น ส่วนใหญ่ ก็ล้วนแต่เป็นคนที่เคยได้รับการสรรหาเอาไว้เติม ตั้งแต่ครั้งที่ยังมีรัฐธรรมนูญ 2540
เมื่อโกงเลือกตั้ง พรรคพลังประชาชนก็ต้องถูกดำเนินคดีไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายบ้านเมือง
เมื่อทำผิดรัฐธรรมนูญ ไปหาผลประโยชน์ด้วยการเป็นลูกจ้างเอกชน ทำรายการอาหารออกทีวี นายสมัครก็ต้องถูกดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ
ในเมื่อรัฐธรรมนูญห้ามไว้ ไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปมีผลประโยชน์หรือส่วนเสียกับธุรกิจเอกชน แต่คนไปทำผิดรัฐธรรมนูญเสียเอง การไปใส่ร้ายว่ารัฐธรรมนูญเป็นต้นเหตุ ย่อมจะไม่ถูกต้อง
ไม่ต่างกับการขับรถฝ่าไฟแดง เมื่อถูกจับได้ ก็ป้ายสีว่า กฎหมายนั่นแหละผิด!
4) ระหว่างการเจรจา ฝ่ายแกนนำ นปช. เป็นผู้หยิบยกขึ้นมาว่า ปัญหาทุกอย่างในวันนี้ มันเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 มีรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นมรดกตกทอด ยืนยันว่าต้องยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกตั้งเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจไปในคราวเดียว ว่าจะเลือกพรรคไหน และพรรคนั้นก็จะได้เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังเลือกตั้ง
การตั้งโจทย์ และการสร้างคำอธิบายดังกล่าว เป็นเรื่องไร้สาระ
เฉพาะการเอามติของประชาชนในการเลือกผู้แทน มาปะปนกับฉันทามติในการแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ ก็เป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว ผิดเพี้ยนอย่างมาก
เพราะประเด็นในรัฐธรรมนูญ มีมากมาย เกือบจะกล่าวได้ว่า ประชาชนทุกคนมีความต้องการแก้รัฐธรรนูญบางมาตราอยู่ในใจของตนเองทั้งนั้น
ยิ่งกว่านั้น การที่บุคคลใดๆ ชอบนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง หรือประชานิยม หรือชอบในตัว ส.ส.ของพรรคการเมืองหนึ่ง ก็มิได้หมายความว่า เขาจะเห็นด้วยกับการให้พรรคนั้นได้สิทธิขาดไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และแม้แต่คนที่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญทุกมาตรา หาได้หมายความว่า พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งจะสามารถเหมารวมเอาเสียงของเขาไปอ้างในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพวกพ้องของตัวเอง
ถ้าปล่อยให้ยุบสภา ไปเลือกตั้งกันก่อน ใครชนะได้อำนาจไปแก้รัฐธรรมนูญตามใจพวกตัว อย่างนั้น ก็จะเกิดการหาเสียงแบบเทกระจาด โดยใช้เงินหลวงมาขายฝัน ขายประชานิยมแบบสุดขั้วที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของโลก
เพราะผู้ชนะจะไม่เพียงชนะเลือกตั้ง แต่หมายถึงได้ “เป็นคณะรัฐประหาร” สามารถล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ