xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” หายใจทั่วท้อง ปรับหมาก สมช.รับมือม็อบแดงแล้วเสร็จ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกฯ ยอมรับภาพลักษณ์นักการเมืองตกต่ำลงเพราะสังคมข่าวสารรวดเร็วแม่นยำมากขึ้น ประเมินเลือกตั้งครั้งหน้า ปชป.กวาด 240 ที่นั่งไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน โวภาคอีสานคะแนนพุ่ง ตัวเลขความนิยมปรับขึ้นขึ้นที่ร้อยละ 20 ไม่หวั่นแผนรับมือเสื้อแดง ชี้หลังประชุม สมช.หายใจคล่องขึ้นกว่าเดิม เรียกร้อง ปชช.อย่าตื่นกระแสปลุกปั่น


วันนี้ (5 ก.พ.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปบรรยายเรื่อง “พรรคประชาธิปัตย์ : บทบาทพรรครัฐบาลในวิกฤตการเมือง” เนื่องในโอกาสที่นักศึกษาสภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า โดยนายกฯ เปิดโอกาสให้นักศึกษาตั้งคำถาม คำถามแรกคือ การเมืองวันนี้แย่ลง การศึกษาจะพัฒนาการเมืองได้อย่างไร เเละมาตรฐานการศึกษาของกทม.และต่างจังหวัดจะใกล้เคียงกันได้อย่างไร

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ข้อแรกนั้นยอมรับว่าสภาพแวดล้อมแย่ลง สังคมข่าวสารเปลี่ยนไปมาก จนภาพลักษณ์การเมืองหากเทียบกับหลายสิบปีที่แล้ว วันนี้การเมืองโดนเปิดเผยมากขึ้นและมันไม่แตกต่างกับการเมืองในอดีตเท่าใด หากสังคมข่าวสารในอดีตเหมือนวันนี้ การเมืองก็มีภาพลักษณ์แบบนี้ ส่วนการศึกษาจะพัฒนาการเมืองได้หรือไม่นั้น ตนใช้เรื่องนี้รณรงค์ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย และกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเร่งพัฒนาเรื่องนี้ในหลักสูตรให้มากขึ้น รวมทั้งสร้างค่านิยมและจิตวิญญาณทางประชาธิปไตย ส่วนช่องว่างทางการศึกษาระหว่าง กทม.-ต่างจังหวัดนั้น กำลังดำเนินการโดยใช้การประเมินเพื่อปรับนโยบายและจัดสรรทรัพยากร

เมื่อถามว่า นายณัฐพล ทีปสุวรรณ ผอ.พรรค กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคน่าจะได้ ส.ส.240 เสียงนั้น เป็นไปได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ส่วนตัวเลข ส.ส.นั้นเป็นการทำไปบนหลักพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ตนทราบว่าคะแนนเสียงในภาคอีสานคือจุดอ่อนของพรรค แต่ขอบอกว่าวันที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค คะแนนนิยมของพรรคในภาคอีสานอยู่ที่ร้อยละ 7 แต่หลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ตัวเลขขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 20 กว่าๆ แต่มันยังไม่พอที่จะชนะ และตัวเลข 240 เสียงนั้น ตนมีบัญชีเป้าหมายอยู่เพราะในหลายเขตเลือกตั้งเหล่านั้น ขอบอกว่าเกือบเข้าเป้า เพราะในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วและเลือกตั้งซ่อมนั้น ตัวเลขที่ตนมีอยู่นั้นแพ้ไปเพียงหนึ่งเขต ฉะนั้น 240 เสียงนั้นมีความเป็นไปได้

เมื่อถามว่า วิกฤตในวันนี้นายกฯ ได้ผ่านความเป็นความตายมาแล้ว แต่วิกฤตในวันข้างหน้าของประเทศจะเป็นอย่างไร และหลายคนมีความเป็นห่วงว่านายกฯ อาจไม่สามารถบริหารจัดการได้ รวมทั้งฝากไปบอก นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯว่า ทำไมไม่ให้ความรู้กับประชาชน เพราะประชาชนบางคนมองมาตรฐานความยุติธรรมว่าไม่เป็นธรรม คือ เมียซื้อที่ดิน แต่ผัวติดคุก ทำไมไม่มีการทำความเข้าใจตรงนี้ จนสังคมมองว่าสถาบันยุติธรรมไม่เป็นธรรมและสองมาตรฐาน นายกฯ กล่าวว่า เราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้หรือไม่นั้น ขอเรียนว่าตนสบายใจเพราะเมื่อคืนวันที่ 4 ก.พ.ได้ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยทุกหน่วยงานพร้อมในการรับมือและมีหลักคิดตรงกัน ขอชี้เเจงว่ารัฐบาลมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนี้นั้น ขอเรียนว่ารัฐบาลไม่ใช่คู่ต่อสู้ของใคร เพราะรัฐบาลจะรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง บางสิ่งที่บางฝ่ายสร้างความรุนแรงขึ้นมา รัฐบาลจะไม่เดินไปในเส้นทางนั้น เพราะความหนักแน่นของหลายหน่วยงานเช่น กองทัพที่โดนยั่วยุ แต่กองทัพก็รู้หน้าที่ การผ่านพ้นสถานการณ์เหล่านี้นั้น มันอยู่ที่ความเข้มแข็งของสังคม หากสังคมต้องการความปกติสุข สังคมต้องร่วมมือ หากเพิกเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่าง การทำงานก็ยากลำบากขึ้น ฉะนั้น รัฐบาลจะทำงานง่ายขึ้นหากสังคมร่วมมือ และทำความเข้าใจกับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน

นายกฯ กล่าวว่า การให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนนั้น ตนจะย้ำคำถามนี้กับนายสาทิตย์ แต่ขอชี้แจงว่าเรื่องผลประโยชน์ขัดกันนั้นเป็นไปตามกฎหมาย ป.ป.ช. และสังคมไม่ซึมซับนัก เพราะมองผิวเผินเรื่องดังกล่าวในข้างต้นเหมือนไม่มีอะไรผิด เพราะมันอยู่ในคนคนเดียวที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ และผลประโยชน์ส่วนตัวไปพร้อมกัน แต่ความจริงแล้วมันขัดกัน หากตกอยู่ในหลุมความคิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่ผิดนั้น สังคมจะไม่เข้าใจ แต่หลักสำคัญของเรื่องนี้ คือ คนที่เข้ารับตำแหน่งทางการเมืองนั้นต้องตัดสินใจในกิจการของรัฐทุกเรื่องโดยที่ตัวเองต้องไม่มีประโยชน์ไปขัดกัน หากเป็นนายกฯ แล้วมอบให้คนในครอบครัวและคู่สมรสไปทำธุรกิจกับภาครัฐนั้น กฎหมายห้ามไว้ตั้งแต่ต้น ฉะนั้น ผิด คือผิดเหมือนการฝ่าไฟแดงนั่นเอง หากฝ่าไฟแดงทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดก็ยังฝ่าไฟแดงแล้วจะบอกว่าไม่ผิดนั้นคงไม่ใช่
กำลังโหลดความคิดเห็น