ผมเป็นฝ่ายที่ไม่ยี่หระว่าจะยุบสภา หรือไม่ เมื่อไหร่? ..,
เลือกมาได้ก็ยุบได้ เพราะยังไงสภาชุดนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่มาก จะเลือกเร็วขึ้นในเดือนหน้าหรือ 3 เดือน 6 เดือนก็เป็นไรมี เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย
แต่ที่ยังคับข้องติดใจอยู่ก็คือความชัดเจนจากบรรดาผู้เล่นทางการเมืองที่กำลังโรมรันพันตูอยู่ว่าจะยังความมั่นใจให้กับเราคนไทยเจ้าของประเทศได้ขนาดไหนว่าหนทางนี้เป็นประตูทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้
อันที่จริงประชาธิปไตยไทยไม่ได้ถอยหลังไปถึงปี 2475 อย่างวาทะของใครหลายคนที่พยายามโน้มน้าวสร้างภาพให้สังคมเชื่อ
การลุกขึ้นของประชาชนครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2548 ต่อเนื่องมาถึงวันนี้เป็นผลพวงจากการปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2540 ในท่ามกลางความวุ่นวายไม่สงบ การเดินขบวน การประท้วงและเหตุรุนแรงหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้เรียกว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองก็มีผลทางบวกกลับมาเช่นกัน ความวุ่นวายครั้งใหญ่รอบนี้เป็นโรงเรียนการเมืองที่เปิดหลักสูตรบังคับสอนให้กับคนไทยทุกคน-ไม่อยากเรียนก็จำต้องเรียน
สังคมไทยได้เรียนรู้ร่วมกันถึงสิ่งที่แต่ละฝ่ายกล่าวอ้างว่าคือประชาธิปไตย มีสิ่งดีๆ ผุดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายหลายอย่าง วงวิชาการอาจเรียกสิ่งนี้ว่า 'การปรับตัวภายในระบบ' เช่นหลักการเคารพสิทธิการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน Right to demonstrate ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย
เมื่อปี 2548-49 คนสองมือเปล่าออกมาชุมนุมถูกอำนาจรัฐและนักการเมืองส่งคนไปคุกคาม ทำร้าย โยนระเบิดใส่ พอมาปี 51 นายกรัฐมนตรีเวลานั้นออกทีวีด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดสั่งสลายการชุมนุมของประชาชนที่เพิ่งเริ่มชุมนุมไม่กี่วัน สังคมได้เรียนรู้เรื่อยมาว่าวิธีการแบบที่รัฐบาลพยายามทำไม่ได้ผลมีแต่ต้องเคารพหลักการแสดงออกอย่างสงบของประชาชน ใครหลายคนที่รำคาญประชาธิปัตย์ว่าไม่ทำอะไรเลยซึ่งบางอย่างก็ถูกแต่ที่ต้องให้คะแนนเต็มคือการเคารพสิทธิชุมนุมโดยสงบของประชาชน รัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย สอบตกในเรื่องหลักข้อนี้ อภิสิทธิ์มาสร้างหลักข้อนี้ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาและหวังว่าจะเป็นพื้นฐาน-มาตรฐานให้รัฐบาลต่อๆ ไปยึดต่อ
เสื้อแดงก็เหมือนกัน ตอนเป็น นปก. ก็ก่อจลาจล เมษาที่แล้วเผาบ้านเมือง ภาพแดงติดกับคำว่าถ่อยตั้งแต่เหตุอุดรฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ แต่มาปีนี้ขบวนการดังกล่าวสรุปบทเรียนว่า “ความรุนแรงไม่สามารถชนะได้” ต้องยึดหลักที่สังคมประชาธิปไตยอารยะยึดกันก็คือ การชุมนุมโดยสงบแสดงสิทธิของประชาชนอย่างเต็มที่
ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมมานี้เวทีเสื้อแดงกอดหลักการนี้แน่น ซึ่งก็สมควรจะได้รับคำชมเชย แม้จะมีเหตุระเบิดควบคู่กันหากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดก็ไม่สามารถชี้ว่าเป็นฝีมือแดงผ่านฟ้า
ขบวนการแดงสลัดภาพถ่อยเถื่อน หันมายึดหลักสันติอหิงสา เช่นเดียวกับรัฐบาลที่ไม่บ้าจี้เหมือนรัฐบาลก่อนๆ ล้วนแต่เป็นพัฒนาการที่น่าพอใจของประชาธิปไตยไทย
ใครบอกประชาธิปไตยไทยถอยหลัง...เพราะในท่ามกลางวิกฤตก็มีพัฒนาการ!!!
สิ่งที่ควรจะได้รับคำชื่นชมที่สุดก็คือเวทีเจรจา 2 ฝ่ายเมื่อเย็นวันที่ 28 มีนาคม ณ สถาบันพระปกเกล้าฯ แม้ในรายละเอียดจะมีสิ่งที่น่าวิจารณ์ทั้งบวกลบ และมีข้อคลางแคลงในวาระซ่อนเร้นอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมนี่เป็นสัญญาณความก้าวหน้าของการพยายามใช้ระบบที่ถูกต้องผ่าทางตันปัญหาการเมือง
การเจรจาผ่านการถ่ายทอดสด อาจจะไม่ถูกใจต่อมุมมองของผู้คาดหวังผลสัมฤทธิ์จากการเจรจา เพราะโดยทฤษฎีการเจรจาแบบนี้ควรมีพื้นที่และข้อความส่วนตัวแล้วค่อยแถลงผลสรุปร่วมให้สาธารณะรู้เป็นขั้นตอน อย่างไรก็ตามหากมองจากมุมของประชาชนนี่เป็นห้องเรียนการเมืองวิชาสำคัญที่คนทั่วไปไม่ว่าสีอะไรอยู่ตรงจุดไหนได้รับรู้ข้อมูลตรงอย่างพร้อมเพรียง
ประเทศไทยไม่ใช่เป็นของมวลชนหนุนรัฐบาลหรือคนเสื้อแดงเท่านั้น.. หากยึดผู้ลงคะแนนเลือก ปชป.กับพลังประชาชนรอบที่แล้วแค่พรรคละ 12 ล้านกลมๆ จากประชาชนไทย 70 ล้านคนทั่วประเทศและคนที่เหลือเหล่านี้เองที่จะเป็นพลังสำคัญที่จะประคับประคองไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างมวลชนคู่กรณี... จึงเป็นการดีที่สุดที่คนไทยส่วนที่เหลือได้เห็นได้ยินได้ฟังการเจรจาที่จะมีผลกระทบต่อตนเองโดยตรง
นี่เป็นบทเรียนของการเรียนรู้สังคมประชาธิปไตยอารยะโดยตรงที่หายากยิ่ง!!
เอาแค่คนเสื้อแดงก็พอ การรณรงค์ก่อนหน้ามวลชนบางส่วนถูกหล่อหลอมให้เกลียดชังขนาดที่เจอหน้าต้องปาไข่ ฆ่าได้ก็ฆ่า พอมาเจอแกนนำกอดหลักสันติวิธีก็งงมารอบหนึ่งแล้ว แกนนำต้องพยายามอธิบายบนเวทีเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค.ให้ยอมรับในวิธีการนี้ พอมาถึงรอบเจรจาคนเสื้อแดงหน้าเวทีบางส่วนเห็นการเจรจาแบบสุภาพเรียบร้อยถึงกับรับไม่ได้ แสดงความไม่พอใจเก็บข้าวของออกไปทันที ... แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจเมื่อแกนนำกลับมาอธิบายความ
สำหรับคนกลางๆ ทั่วๆ ไปที่ได้ดูการเจรจาจะตัดสินได้ว่าฝ่ายใดที่ยืนข้างหลักการเหตุผลที่ถูกต้อง ที่ควรชมเชยก็ต้องชม เช่น วีระ มุสิกพงศ์ แสดงออกด้วยความเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ ส่วนหมอเหวงที่ลากเอาวงเจรจาออกทะเลพูดเรื่องอะไรไม่รู้ล้วนไม่เกี่ยวประเด็นเจรจาก็ได้รับบทเรียนของตัวเองไป
คนที่พูดบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีธง ฝ่ายรัฐบาลไม่ยุบ ส่วนแดงให้ยุบทันที ..มีธงไม่ผิดอะไรเลยเพราะเป็นเรื่องปกติของการเจรจาต่อรอง แต่ข้อดีของการถ่ายทอดสดทำให้คนกลางๆ อีกเกือบ 50 ล้านคนได้ชั่งน้ำหนัก ถ้าเหตุผลของแดงดีคนกลางๆ และสังคมที่เหลือจะกดดัน ปชป. ให้ยุบสภาเอง...แดงก็จะมีแนวร่วมเพิ่มขึ้น
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นผู้ที่ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้กับสังคมโดยบอกว่า ถ้าให้ประชาชนลงประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญพร้อมๆ กับการเลือกตั้ง เป็นบัตรอีกใบหนึ่งที่หย่อนพร้อมกันจะดีมั้ย? ข้อเสนอลักษณะนี้แหละที่ทุกฝ่ายควรเสนอออกมาให้สังคมร่วมตัดสินใจ
แต่น่าเสียดายที่เราท่านไม่ได้ยินข้อเสนอรูปธรรมของตัวแทนเสื้อแดง เขาหารือว่ายุบก็ยุบได้ แต่ถ้าเกิด กก.บห.พรรคทำผิดแล้วถูกยุบพรรคอีกรอบตามกฎหมายปัจจุบันจะทำยังไง จะแก้กติกาก่อนดีมั้ย? พวกก็บอกว่าไม่ยอมรับกติกาโจรที่มาจากรัฐประหาร หมอเหวงตอบประเด็นนี้ไปทาง วีระ ตอบไปทาง
จนกระทั่งถึงตอนท้ายๆ นั่นแหละที่จตุพรทุบโต๊ะบอกว่าพร้อมไปตายดาบหน้า!!!
ข้อเสนอของกอร์ปศักดิ์ อาจไม่ใช่ข้อเสนอที่ดีที่สุด แต่ในฐานะคนไทยอยากจะได้ยินได้ฟังข้อเสนอแบบนี้เพื่อจะนำมาชั่งน้ำหนัก... รัฐบาลมีข้อเสนอลักษณะนี้ออกมาอีกมั้ย และเสื้อแดงมีข้อเสนออื่นหรือไม่?
เหล่านี้แหละที่คนไทยและสังคมไทยอยากได้ยินมากกว่าคำว่า ถ้าไม่ยุบก็วุ่นต่อเถอะ! เพราะผมก็เป็นคนไทยที่ได้รับผลกระทบคนหนึ่งเหมือนกัน
และที่ไม่อยากได้ยินที่สุดคือข้อเสนอว่าให้ยุบเพื่อไปตายดาบหน้าพร้อมกัน!!!
ใครจะไปตายดาบหน้าก็ไปเถอะ ผมคนหนึ่งที่ไม่ไปด้วย!
ผมอยากเห็นอยากได้ยินข้อเสนอที่ดีที่สุดและหลากหลายที่สุด เพื่อที่จะเลือกสนับสนุนการเดินออกจากวิกฤตการณ์ด้วยวิจารณญาณของตนเอง .. อย่ามาอ้างประชาธิปไตยเพราะนี่ก็เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน!
เลือกมาได้ก็ยุบได้ เพราะยังไงสภาชุดนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่มาก จะเลือกเร็วขึ้นในเดือนหน้าหรือ 3 เดือน 6 เดือนก็เป็นไรมี เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย
แต่ที่ยังคับข้องติดใจอยู่ก็คือความชัดเจนจากบรรดาผู้เล่นทางการเมืองที่กำลังโรมรันพันตูอยู่ว่าจะยังความมั่นใจให้กับเราคนไทยเจ้าของประเทศได้ขนาดไหนว่าหนทางนี้เป็นประตูทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้
อันที่จริงประชาธิปไตยไทยไม่ได้ถอยหลังไปถึงปี 2475 อย่างวาทะของใครหลายคนที่พยายามโน้มน้าวสร้างภาพให้สังคมเชื่อ
การลุกขึ้นของประชาชนครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2548 ต่อเนื่องมาถึงวันนี้เป็นผลพวงจากการปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2540 ในท่ามกลางความวุ่นวายไม่สงบ การเดินขบวน การประท้วงและเหตุรุนแรงหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้เรียกว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองก็มีผลทางบวกกลับมาเช่นกัน ความวุ่นวายครั้งใหญ่รอบนี้เป็นโรงเรียนการเมืองที่เปิดหลักสูตรบังคับสอนให้กับคนไทยทุกคน-ไม่อยากเรียนก็จำต้องเรียน
สังคมไทยได้เรียนรู้ร่วมกันถึงสิ่งที่แต่ละฝ่ายกล่าวอ้างว่าคือประชาธิปไตย มีสิ่งดีๆ ผุดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายหลายอย่าง วงวิชาการอาจเรียกสิ่งนี้ว่า 'การปรับตัวภายในระบบ' เช่นหลักการเคารพสิทธิการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน Right to demonstrate ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย
เมื่อปี 2548-49 คนสองมือเปล่าออกมาชุมนุมถูกอำนาจรัฐและนักการเมืองส่งคนไปคุกคาม ทำร้าย โยนระเบิดใส่ พอมาปี 51 นายกรัฐมนตรีเวลานั้นออกทีวีด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดสั่งสลายการชุมนุมของประชาชนที่เพิ่งเริ่มชุมนุมไม่กี่วัน สังคมได้เรียนรู้เรื่อยมาว่าวิธีการแบบที่รัฐบาลพยายามทำไม่ได้ผลมีแต่ต้องเคารพหลักการแสดงออกอย่างสงบของประชาชน ใครหลายคนที่รำคาญประชาธิปัตย์ว่าไม่ทำอะไรเลยซึ่งบางอย่างก็ถูกแต่ที่ต้องให้คะแนนเต็มคือการเคารพสิทธิชุมนุมโดยสงบของประชาชน รัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย สอบตกในเรื่องหลักข้อนี้ อภิสิทธิ์มาสร้างหลักข้อนี้ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาและหวังว่าจะเป็นพื้นฐาน-มาตรฐานให้รัฐบาลต่อๆ ไปยึดต่อ
เสื้อแดงก็เหมือนกัน ตอนเป็น นปก. ก็ก่อจลาจล เมษาที่แล้วเผาบ้านเมือง ภาพแดงติดกับคำว่าถ่อยตั้งแต่เหตุอุดรฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ แต่มาปีนี้ขบวนการดังกล่าวสรุปบทเรียนว่า “ความรุนแรงไม่สามารถชนะได้” ต้องยึดหลักที่สังคมประชาธิปไตยอารยะยึดกันก็คือ การชุมนุมโดยสงบแสดงสิทธิของประชาชนอย่างเต็มที่
ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมมานี้เวทีเสื้อแดงกอดหลักการนี้แน่น ซึ่งก็สมควรจะได้รับคำชมเชย แม้จะมีเหตุระเบิดควบคู่กันหากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดก็ไม่สามารถชี้ว่าเป็นฝีมือแดงผ่านฟ้า
ขบวนการแดงสลัดภาพถ่อยเถื่อน หันมายึดหลักสันติอหิงสา เช่นเดียวกับรัฐบาลที่ไม่บ้าจี้เหมือนรัฐบาลก่อนๆ ล้วนแต่เป็นพัฒนาการที่น่าพอใจของประชาธิปไตยไทย
ใครบอกประชาธิปไตยไทยถอยหลัง...เพราะในท่ามกลางวิกฤตก็มีพัฒนาการ!!!
สิ่งที่ควรจะได้รับคำชื่นชมที่สุดก็คือเวทีเจรจา 2 ฝ่ายเมื่อเย็นวันที่ 28 มีนาคม ณ สถาบันพระปกเกล้าฯ แม้ในรายละเอียดจะมีสิ่งที่น่าวิจารณ์ทั้งบวกลบ และมีข้อคลางแคลงในวาระซ่อนเร้นอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมนี่เป็นสัญญาณความก้าวหน้าของการพยายามใช้ระบบที่ถูกต้องผ่าทางตันปัญหาการเมือง
การเจรจาผ่านการถ่ายทอดสด อาจจะไม่ถูกใจต่อมุมมองของผู้คาดหวังผลสัมฤทธิ์จากการเจรจา เพราะโดยทฤษฎีการเจรจาแบบนี้ควรมีพื้นที่และข้อความส่วนตัวแล้วค่อยแถลงผลสรุปร่วมให้สาธารณะรู้เป็นขั้นตอน อย่างไรก็ตามหากมองจากมุมของประชาชนนี่เป็นห้องเรียนการเมืองวิชาสำคัญที่คนทั่วไปไม่ว่าสีอะไรอยู่ตรงจุดไหนได้รับรู้ข้อมูลตรงอย่างพร้อมเพรียง
ประเทศไทยไม่ใช่เป็นของมวลชนหนุนรัฐบาลหรือคนเสื้อแดงเท่านั้น.. หากยึดผู้ลงคะแนนเลือก ปชป.กับพลังประชาชนรอบที่แล้วแค่พรรคละ 12 ล้านกลมๆ จากประชาชนไทย 70 ล้านคนทั่วประเทศและคนที่เหลือเหล่านี้เองที่จะเป็นพลังสำคัญที่จะประคับประคองไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างมวลชนคู่กรณี... จึงเป็นการดีที่สุดที่คนไทยส่วนที่เหลือได้เห็นได้ยินได้ฟังการเจรจาที่จะมีผลกระทบต่อตนเองโดยตรง
นี่เป็นบทเรียนของการเรียนรู้สังคมประชาธิปไตยอารยะโดยตรงที่หายากยิ่ง!!
เอาแค่คนเสื้อแดงก็พอ การรณรงค์ก่อนหน้ามวลชนบางส่วนถูกหล่อหลอมให้เกลียดชังขนาดที่เจอหน้าต้องปาไข่ ฆ่าได้ก็ฆ่า พอมาเจอแกนนำกอดหลักสันติวิธีก็งงมารอบหนึ่งแล้ว แกนนำต้องพยายามอธิบายบนเวทีเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค.ให้ยอมรับในวิธีการนี้ พอมาถึงรอบเจรจาคนเสื้อแดงหน้าเวทีบางส่วนเห็นการเจรจาแบบสุภาพเรียบร้อยถึงกับรับไม่ได้ แสดงความไม่พอใจเก็บข้าวของออกไปทันที ... แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจเมื่อแกนนำกลับมาอธิบายความ
สำหรับคนกลางๆ ทั่วๆ ไปที่ได้ดูการเจรจาจะตัดสินได้ว่าฝ่ายใดที่ยืนข้างหลักการเหตุผลที่ถูกต้อง ที่ควรชมเชยก็ต้องชม เช่น วีระ มุสิกพงศ์ แสดงออกด้วยความเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ ส่วนหมอเหวงที่ลากเอาวงเจรจาออกทะเลพูดเรื่องอะไรไม่รู้ล้วนไม่เกี่ยวประเด็นเจรจาก็ได้รับบทเรียนของตัวเองไป
คนที่พูดบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีธง ฝ่ายรัฐบาลไม่ยุบ ส่วนแดงให้ยุบทันที ..มีธงไม่ผิดอะไรเลยเพราะเป็นเรื่องปกติของการเจรจาต่อรอง แต่ข้อดีของการถ่ายทอดสดทำให้คนกลางๆ อีกเกือบ 50 ล้านคนได้ชั่งน้ำหนัก ถ้าเหตุผลของแดงดีคนกลางๆ และสังคมที่เหลือจะกดดัน ปชป. ให้ยุบสภาเอง...แดงก็จะมีแนวร่วมเพิ่มขึ้น
กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นผู้ที่ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้กับสังคมโดยบอกว่า ถ้าให้ประชาชนลงประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญพร้อมๆ กับการเลือกตั้ง เป็นบัตรอีกใบหนึ่งที่หย่อนพร้อมกันจะดีมั้ย? ข้อเสนอลักษณะนี้แหละที่ทุกฝ่ายควรเสนอออกมาให้สังคมร่วมตัดสินใจ
แต่น่าเสียดายที่เราท่านไม่ได้ยินข้อเสนอรูปธรรมของตัวแทนเสื้อแดง เขาหารือว่ายุบก็ยุบได้ แต่ถ้าเกิด กก.บห.พรรคทำผิดแล้วถูกยุบพรรคอีกรอบตามกฎหมายปัจจุบันจะทำยังไง จะแก้กติกาก่อนดีมั้ย? พวกก็บอกว่าไม่ยอมรับกติกาโจรที่มาจากรัฐประหาร หมอเหวงตอบประเด็นนี้ไปทาง วีระ ตอบไปทาง
จนกระทั่งถึงตอนท้ายๆ นั่นแหละที่จตุพรทุบโต๊ะบอกว่าพร้อมไปตายดาบหน้า!!!
ข้อเสนอของกอร์ปศักดิ์ อาจไม่ใช่ข้อเสนอที่ดีที่สุด แต่ในฐานะคนไทยอยากจะได้ยินได้ฟังข้อเสนอแบบนี้เพื่อจะนำมาชั่งน้ำหนัก... รัฐบาลมีข้อเสนอลักษณะนี้ออกมาอีกมั้ย และเสื้อแดงมีข้อเสนออื่นหรือไม่?
เหล่านี้แหละที่คนไทยและสังคมไทยอยากได้ยินมากกว่าคำว่า ถ้าไม่ยุบก็วุ่นต่อเถอะ! เพราะผมก็เป็นคนไทยที่ได้รับผลกระทบคนหนึ่งเหมือนกัน
และที่ไม่อยากได้ยินที่สุดคือข้อเสนอว่าให้ยุบเพื่อไปตายดาบหน้าพร้อมกัน!!!
ใครจะไปตายดาบหน้าก็ไปเถอะ ผมคนหนึ่งที่ไม่ไปด้วย!
ผมอยากเห็นอยากได้ยินข้อเสนอที่ดีที่สุดและหลากหลายที่สุด เพื่อที่จะเลือกสนับสนุนการเดินออกจากวิกฤตการณ์ด้วยวิจารณญาณของตนเอง .. อย่ามาอ้างประชาธิปไตยเพราะนี่ก็เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน!