ป้อมการเมือง-
ทีมข่าวการเมือง
คำประกาศกลางที่ประชุมใหญ่ส.ส.พรรคเพื่อไทยของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ในการเข้าประชุมพรรควันแรกหลังจากเดินเข้าที่ทำการพรรคเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมากับภารกิจใหญ่ 3 ข้อ ที่ ”บิ๊กจิ๋ว” ลั่นวาจาว่าต้องทำให้ได้ คือ
1. แก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ จากความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันทางการเมือง
2. ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทย มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ
3. ดับไฟใต้ที่ลุกโชนมาหลายปี
เมื่อย้อนดูคำประกาศดังกล่าวแล้ว มาวิเคราะห์ภาพการเมืองในปัจจุบันที่เสื้อแดงชุมนุมขับไล่ระบอบอำมาตย์ ซึ่งวางเป้าหมายหลักที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อดีตเจ้านายเก่าของ บิ๊กจิ๋ว จะพบว่ามีลักษณะ
ตอกลิ่มความรู้สึกแบ่งแยก
ให้กับประชาชนคนไทยด้วยกันเองให้เกิดความรู้สึกแบ่งชนชั้น เป็นไพร่ เป็นอำมาตย์ เกิดความรู้สึกแบ่งสี แบ่งกลุ่ม
คือใครที่ไม่ใช่เสื้อแดง ไม่มีเสื้อแดงใส่ไว้ในตู้และหยิบออกมาร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า แสดงว่าเป็นพวกไม่รักประชาธิปไตย ไม่ได้รักความเป็นธรรมเป็นพวกเอาเปรียบทางชนชั้น สนับสนุนศักดินาล้าหลัง
ทั้งที่ ข้อเท็จจริงแล้วเรื่องแบบนี้หาได้มีในสังคมไทย เพราะแม้คนไทยจะมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม มีคนรวย คนจน ชนชั้นกลาง เกษตรกร พ่อค้า ข้าราชการ และอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันบ้างในการถกเถียงทางการเมือง แต่ก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตย เพราะลึกๆ ทุกคนก็รู้ดีว่า ภายใต้ผืนแผ่นดินเดียวกันนี้ ทุกคนก็คือคนไทย
ไม่ได้มีไพร่ –อำมาตย์ อย่างที่คนเสื้อแดงกำลังปลุกปั่นให้ผู้คนเกิดความเข้าใจผิด จนทำให้ปัญหาความแตกแยกทางการเมือง กลับยิ่งนานวันก็ยิ่งตอกลิ่มถากออกไปเรื่อยๆ และแผ่ขยายออกไปสู่วงกว้างมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการต่อสู้แบบผิดๆ ดังกล่าวของนปช.ในเวลานี้ได้ทำให้การชุมนุมคนเสื้อแดงที่ผ่านฟ้า ได้เกิดสภาพ
“ไพร่เทียม”
คือแกนนำเสื้อแดงหรือส.ส.เพื่อไทยจำนวนมากที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมที่ผ่านฟ้า ก็จะพบว่า หาได้มีความเป็นไพร่แต่ใดไม่ แต่คือ
“แดงอำมาตย์”
ด้วยที่สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ทรัพย์สินจำนวนมากที่มีอยู่ในธนาคารและตู้เซฟ ที่มีเป็นร้อยล้านพันล้าน คนพวกนี้จะเป็นพวกเดียวกับ “แดงไพร่” ที่นอนให้ยุงกัดทั้งคืนกลางถนนราชดำเนินได้อย่างไร
ยกตัวอย่าง เช่น พงศ์เทพ เทพกาญจนา , ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ,พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร, สมชาย วงศ์สวัสดิ์ , สันติ พร้อมพัฒน์ , ปลอดประสพ สุรัสวดี, พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี
คนเหล่านี้หรือที่เรียกตัวเองว่าเป็น “แดงไพร่” แต่ละคนใช้ชีวิตอย่างหรูหรา สวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับราคาแพง และนั่งรถยุโรปราคาหลายสิบล้านมาร่วมชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิระยา ก็ประกาศบนเวทีเสื้อแดงหลายครั้งเองว่า เธอร่ำรวย และมีทรัพย์สินมากกว่าทักษิณ ชินวัตรเสียอีก
แล้วปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ชอบไปป้วนเปี้ยนหลังเวทีเสื้อแดงทุกคืน ก็รู้กันดีว่าเป็นอดีตขุนนาง-คหบดีใหญ่ ซึ่งมีที่ดินจำนวนมากบนถนนสุขุมวิท อันเป็นทำเลทองในกรุงเทพมหานคร
คนคนนี้มักแสดงท่าทีความเป็นศักดินานิยมมาตลอด ตั้งแต่สมัยรับราชการจนถึงเล่นการเมือง ส่วนพงศ์เทพ เทพกาญจนา ก็ร่ำรวยหลายพันล้านบาท ทั้งตัวพงศ์เทพเอง และศรีภริยา แล้วจะมาบอกว่าตัวเองเป็นไพร่แดงได้อย่างไร แต่น่าจะเป็น
“แดงเทียม” ตัวจริง ซึ่งไม่ได้สู้เพื่อประชาธิปไตยอะไร แต่สู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่ออำนาจการเมืองที่จะตามมา
จึงอยากบอกไปยัง วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ สามเกลอที่มักกล่าวอ้างว่า มีแดงเทียมเข้ามาปะปนอยู่ในคนเสื้อแดง และพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อป้ายสีคนเสื้อแดงก็ไม่ต้องไปหาแดงเทียมที่ไหน เพราะแดงเทียมเหล่านี้อยู่หลังเวทีเสื้อแดงทุกวัน ทุกคืนแถวๆ สะพานผ่านฟ้า
นี่คือสภาพ การเคลื่อนไหวของเสื้อแดง ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่แสดงให้เห็นชัดว่า มุ่งหมายสร้างความแตกแยก ชิงชัง เคียดแค้น ขึ้นในหมู่คนไทยด้วยกันเอง โดยการสร้างการรับรู้แบบผิดๆในเรื่อง
อำมาตย์-ไพร่
สองมาตรฐาน
สร้างกติกาการเมืองแบบผิดๆ ว่าสีแดงคือสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความถูกต้องชอบธรรมเท่านั้น หากใครปฏิเสธสีแดง แสดงว่าไม่ใช่พวกรักประชาธิปไตย ไม่ต้องการเห็นความก้าวหน้าของประเทศ
เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วว่า การเคลื่อนไหวของเสื้อแดง แม้จะเป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเรา-ทีมข่าวการเมือง ก็เห็นด้วยและสนับสนุนหากชุมนุมโดยสันติ สงบ ไม่ทำให้ส่วนรวมเสียหาย เพียงแต่ในความเป็นจริงปรากฏชัดว่า วิธีการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของแกนนำเสื้อแดงในการชุมนุมครั้งนี้ หาได้เป็นผลดีต่อส่วนรวมอย่างใด
ไม่เพียงเฉพาะการ ตอกลิ่มให้คนไทยด้วยกันเองเกิดความรู้สึกแบ่งแยก แบ่งกลุ่มแบ่งเหล่า ไร้ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวและขาดความสามัคคี
ยังเห็นได้ชัดว่า ลีลาท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงวันนี้ เริ่มมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมในเรื่อง “สถาบันกษัตริย์” โดยเฉพาะการขึ้นเวทีปราศรัยของแกนนำ-อดีต ส.ส.เพื่อไทยหลายคน ไล่ตั้งแต่แดงตัวพ่อ ทักษิณ ชินวัตร จนถึงลูกหาบอย่าง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย- สุทิน คลังแสง
เช่นคำกล่าวของ “เสธ.เปีย พ.อ.อภิวันท์” ที่เคยลงสมัคร ส.ส.พรรคความหวังใหม่ นนทบุรี กับพลเอกชวลิต บนเวทีเสื้อแดง เมื่อ 23 มี.ค.53
“พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านเข้าโรงพยาบาล ฟังผม อย่าเพิ่งตายเสียก่อน พลเอกเปรมต้องลาออกเพื่อไม่ให้เป็นกรวดในรองพระบาท ผมมีข่าวดีมาบอก เมื่อเช้านายทหารราชองครักษ์ของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์หนึ่งได้มาเยี่ยมเยียนพวกเราครับ ไม่มีใครกล้าปราบแน่นอน เพราะด้วยเหตุผลที่เมื่อเช้า มีคนมาเยี่ยมเรา”
เวทีเสื้อแดงจึงเป็นการปลุกปั่นสร้างความแตกแยกให้คนในชาติ และแสดงออกถึงพฤติการณ์อันไม่เหมาะสมต่อสถาบันฯ
แล้วไฉน พลเอกชวลิต จึงกลืนน้ำลายตัวเอง ที่เคยพูดไว้ว่าจะเข้ามาทำงานการเมืองในบั้นปลายของชีวิตในเสื้อพรรคเพื่อไทย เพราะต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ และทำให้สังคมเข้าใจว่า ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ไม่ได้คิดไม่ดีต่อสถาบันฯ
เพราะหลายเดือนที่ผ่านมาบิ๊กจิ๋ว หาได้มีบทบาทในส่วนนี้แม้แต่นิดเดียวในพรรคเพื่อไทย และแทนที่จะแก้ไขปัญหาแต่บิ๊กจิ๋วกลับ
“ร่วมขบวนการตอกลิ่มคนในชาติให้รบกันเอง”
ด้วยการเดินขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่คนเสื้อแดงแบบหน้าตาเฉย หรือเป็นเพราะถูก “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร บีบมาว่า หากพี่จิ๋วไม่ขึ้นเวทีเสื้อแดง และทำตัวแบบโลว์โปรไฟล์ไปเรื่อยๆ ไม่บู๊ ไม่ดุดัน เล่นการเมืองแบบจิ๋วหวานเจี๊ยบไปวันๆ เพื่อเพลย์เซฟตัวเองแบบ เฉลิม อยู่บำรุง ก็อย่าหวังจะมีบทบาทและอำนาจการเมืองอีกครั้งในบั้นปลายชีวิตอย่างที่ฝัน และตกลงกันไว้ก่อนจะเข้ามาเพื่อไทย
สำหรับเฉลิม จะดีจะชั่ว ก็มีจุดแข็งคือการเป็นแม่ทัพใหญ่ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ขึ้นเวทีปราศรัยครั้งใดก็มันเมื่อนั้น รวมถึงยังมีบทบาทสำคัญในเวทีสภาผู้แทนราษฏรโดยเฉพาะศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากเสื้อแดงล้มอภิสิทธิ์ไม่สำเร็จ
แต่บิ๊กจิ๋ววันนี้ไม่มีเครดิตอะไรไปต่อรองกับทักษิณได้ เพราะไม่มีทั้งกลุ่มการเมืองและเงินในมือ อีกทั้งหากเสื้อแดงเอาชนะได้ อภิสิทธิ์ยุบสภา บิ๊กจิ๋ว แม้จะไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธตำแหน่งอื่นๆ ทั้งนายกรัฐมนตรี-รองนายกฯ ควบรมว.กลาโหม เพื่อจะได้เป็นใหญ่เป็นโตอีกครั้ง
ทว่าทักษิณและแกนนำเพื่อไทย รวมถึงพวกนปช. ก็ไม่ได้โง่ เพราะศึกเสื้อแดงครั้งนี้เป็นเดิมพันสำคัญของทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง หากใครคิดจะกอบโกยผลประโยชน์การเมืองที่จะเกิดขึ้นหลังจากศึกนี้
มันก็ต้องออกแรงกันบ้าง ไม่ใช่รอเก็บเกี่ยวชัยชนะบนหงาดเหงื่อของน้องๆ เสื้อแดง ไม่อย่างงั้นโดนไอ้สามเกลอมันด่าเปิง
นี่เลยทำให้บิ๊กจิ๋ว ต้องรีบกระโดดขึ้นขบวนแดงผ่านฟ้าทันที เมื่อวันเสื้อแดงเคลื่อนรอบกรุงเทพมหานครครั้งใหญ่นัดแรกเมื่อ 20 มี.ค. 53 ที่ผ่านมา
พร้อมกับรับอาสาทักษิณ ขอทำตัวเป็นพ่อสื่อ ไปชักจูงให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งที่แทบไม่มีโอกาสความเป็นไปได้เลย โดยไม่สนว่าจะถูกมองเป็นตัวตลกทางการเมือง
ครั้งนี้ บิ๊กจิ๋วคงภาวนาขอให้แทงหวยถูกสักทีเถอะ