วานนี้ (15 ก.พ.55) ที่โรงแรมแกรนด์ฮิลล์ รีสอร์ทแอนด์สปา จ.นครสวรรค์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมแผนโครงการป้องกันน้ำท่วมจังหวัดพื้นที่ภาคกลาง ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ติดตามแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นวันที่สาม
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปการประชุมร่วมกับผู้ว่า10จังหวัดภาคเหนือตอนบนว่า งบประมาณสำหรับโครงการ 10 จังหวัด 2,516 โครงการ วงเงินงบประมาณ 49,297 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการยั่งยืน 1935 โครงการ เร่งด่วน 581 โครงการ สำหรับในส่วนของโครงการเร่งด่วนใช้วงเงิน 10,711 ล้านบาท จังหวัดน่านมากสุด 32% และมีอีก 55 โครงการเร่งด่วนหรือแฟลชชิป ที่เพิ่มเติมเข้ามาจากการประชุมร่วมกับ10จังหวัด ทั้งนี้เมื่อแบ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการได้ภายในสามเดือน ใช้งบประมาณ 1,826 ล้านบาท
ขณะที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โดยหลักของการบริหารพื้นที่ต้นน้ำตอนกลางส่วนบนที่จะครอบคลุม 6 จังหวัด สิ่งที่ต้องดำเนินการคือการเชื่อมต่อบึงธรรมชาติด้วยคลอง อาทิ บึงตะเกร็ง บึงขี้แร้ง และบึงระมาณ จากแม่น้ำยมไปแม่น้ำน่านเพื่อให้น้ำลงตามเขื่อนต่างๆ และในอนาคตจะต้องหาลุ่มน้ำเพิ่มขึ้นในส่วนพื้นที่บางระกำนั้นเป็นพื้นที่ต่ำที่สุด ทำอย่างไรให้คนอาศัยอยู่กับน้ำได้ จึงฝากผู้ว่าฯว่าถ้าน้ำท่วมทำอย่างไรให้ประชาชนปรับวิถีให้อยู่กับน้ำได้ชั่วคราว ส่วนที่มีคูคลองตื้นเขินขอให้ช่วยกันขุดลอกเพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ใช้ดินที่ขุดนำมาเป็นพนังกั้นน้ำด้วย
ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ กล่าวว่าในเรื่องเยียวยา 5,000 บาท ใน 6 จังหวัดนั้น ได้ดำเนินการครบแล้ว ส่วนที่ประชาชนยังไม่ได้ 200 กว่ารายเพราะประชาชนยังไม่มารับเงินแต่มีการโอนเงินมาแล้ว และที่ฝ่ายค้านบอกว่าเราไม่ดูแลประชาชนนั้นยืนยันว่าเราจ่ายหมดแล้ว
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ส่วนของพื้นที่แก้มลิงหรือพื้นที่รับน้ำนอง จะมีทั้งหมด 3 ประเภท คือ 1.หนองบึงตามธรรมชาติ รัฐบาลสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที 2.พื้นที่ราบลุ่มของเกษตรกรที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูฝน ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย และ 3 พื้นที่ราบลุ่มที่มีการใช้ประโยชน์ในช่วงหน้าฝน รัฐบาลจำเป็นจะต้องหามาตรการหาเงินชดเชยต่อไป ส่วนพื้นที่รับน้ำใน 6 จังหวัดกลางน้ำ ขณะนี้สามารถหาพื้นที่ได้แล้ว 470,000 ไร่จาก 2ล้านไร่ ได้แก่ จ.พิษณุโลก ใช้พื้นที่ บึงตะเคร็ง 300 ไร่ บึงขี้แร้ง 200 ไร่ และบึงระมาณ 34 ล้านลบ.ม.ซึ่งทั้ง 3 พื้นที่เป็นแก้มลิงธรรมชาติ
ส่วนแก้มลิงที่ต้องขุดลอกเพิ่มเติม คือ บึงสะเดา 350 ไร่ จ.นครสวรรค์ จะใช้พื้นที่ข้างลุ่มน้ำยมและลุมน้ำน่าน จำนวน 120,000 ไร่ บึงบอระเพ็ด 60,000 ไร่ จ.อุทัยธานี จะใช้พื้นที่เกาะ 10,000 ไร่ และพื้นที่เกษตร 13,000 ไร่ จ.พิจิตร พื้นที่เกษตร 8 อำเภอ 36 ตำบล ที่รัฐบาลต้องเข้าไปชดเชย 259,700 ไร่ และยังมีพื้นที่ธรรมชาติ หนอง บึงอีก 407 แห่ง ส่วนจ.ชัยนาท จะใช้พื้นที่ บึงกระจับ บึงวงฆ้อง และพื้นที่ตำบลเขาแก้วอีก10,000 ไร่
สำหรับจ.กำแพงเพชร เป็นพื้นที่สูงไม่มีพื้นที่รับน้ำ
ทั้งนี้การใช้พื้นที่รับน้ำหรือทิ้งน้ำเป็นการใช้ชั่วคราวประมาณ 2-3 เดือน โดยหากพื้นที่ใดยิ่งสูง ก็จะใช้เวลาน้อยลงไปอีก และน่าจะไม่เกินเดือนพฤศจิกายนสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการบริหารจัดการน้ำในที่จะปล่อยลงสู่ทะเลมีพื้นที่จังหวัดใดจะเกิดน้ำท่วมในปีนี้หรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ในส่วนของแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางประกง สามารถระบายน้ำ ไม่เกิน 350 ล้าน ลบ.ม. ซึ่ง 3 แม่น้ำใช้เวลาประมาณ 1 เดือนครึ่งน้ำก็หมดพอดี
เมื่อถามว่าแสดงว่าจะต้องไม่มีพื้นที่ไหนมีการประกาศอพยพ นายปลอดประสพ กล่าวว่า โอกาสที่จะประกาศมีแต่จะต้องน้อยกว่าเดิมทั้งในแง่ของพื้นที่พื้นที่ความลึกของพื้นที่ ซึ่งการประกาศอยูในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย แต่คาดว่าไม่ร้ายแรงเหมือนปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากปีนี้มีการเตรียมการและมีเครื่องมือและสาธารณูปโภคในการบริหารจัดการน้ำมากขึ้น รวมทั้งแก้มลิงและพื้นที่รับน้ำที่ต้องมาช่วยดึงน้ำเพิ่มเติมจากปีที่ผ่านมาด้วย
สำหรับพื้นที่ในจ.นครสวรรค์ มีพื้นที่พักน้ำที่เป็นพื้นที่ของเกษตรกร ที่รัฐต้องเข้าไปชดเชย 3 หมู่บ้าน คือ บ้านยางตาล บ้านน้ำทรวง และบ้านยางขาว ซึ่งขณะยังไม่มีการกำหนดพื้นที่และมาตรการชดเชย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่คณะนายกฯได้สำรวจริมเขื่อนเจ้าพระยา อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ. ชัยนาท ประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และเดินไปยังหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ อ.เมือง จ.ลพบุรี เพื่อรับฟังการบรรยายสรุป
ทั้งนี้นายกฯได้ขอให้กองทัพบก เร่งทำโครงการในจ.นครสวรรค์ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ขณะที่นายกฯ แสดงความพอใจการลงพื้นที่ 3 วันว่าเป็นไปตามเป้า นอกจากนั้นรัฐบาลจะไม่ใช้กฏหมายจัดการผู้บุกลุก พื้นรับน้ำ สโดยจะให้ผู้ว่าฯเร่งเจรจาพร้อมหาทางออก
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปการประชุมร่วมกับผู้ว่า10จังหวัดภาคเหนือตอนบนว่า งบประมาณสำหรับโครงการ 10 จังหวัด 2,516 โครงการ วงเงินงบประมาณ 49,297 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการยั่งยืน 1935 โครงการ เร่งด่วน 581 โครงการ สำหรับในส่วนของโครงการเร่งด่วนใช้วงเงิน 10,711 ล้านบาท จังหวัดน่านมากสุด 32% และมีอีก 55 โครงการเร่งด่วนหรือแฟลชชิป ที่เพิ่มเติมเข้ามาจากการประชุมร่วมกับ10จังหวัด ทั้งนี้เมื่อแบ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการได้ภายในสามเดือน ใช้งบประมาณ 1,826 ล้านบาท
ขณะที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โดยหลักของการบริหารพื้นที่ต้นน้ำตอนกลางส่วนบนที่จะครอบคลุม 6 จังหวัด สิ่งที่ต้องดำเนินการคือการเชื่อมต่อบึงธรรมชาติด้วยคลอง อาทิ บึงตะเกร็ง บึงขี้แร้ง และบึงระมาณ จากแม่น้ำยมไปแม่น้ำน่านเพื่อให้น้ำลงตามเขื่อนต่างๆ และในอนาคตจะต้องหาลุ่มน้ำเพิ่มขึ้นในส่วนพื้นที่บางระกำนั้นเป็นพื้นที่ต่ำที่สุด ทำอย่างไรให้คนอาศัยอยู่กับน้ำได้ จึงฝากผู้ว่าฯว่าถ้าน้ำท่วมทำอย่างไรให้ประชาชนปรับวิถีให้อยู่กับน้ำได้ชั่วคราว ส่วนที่มีคูคลองตื้นเขินขอให้ช่วยกันขุดลอกเพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ใช้ดินที่ขุดนำมาเป็นพนังกั้นน้ำด้วย
ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ กล่าวว่าในเรื่องเยียวยา 5,000 บาท ใน 6 จังหวัดนั้น ได้ดำเนินการครบแล้ว ส่วนที่ประชาชนยังไม่ได้ 200 กว่ารายเพราะประชาชนยังไม่มารับเงินแต่มีการโอนเงินมาแล้ว และที่ฝ่ายค้านบอกว่าเราไม่ดูแลประชาชนนั้นยืนยันว่าเราจ่ายหมดแล้ว
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ส่วนของพื้นที่แก้มลิงหรือพื้นที่รับน้ำนอง จะมีทั้งหมด 3 ประเภท คือ 1.หนองบึงตามธรรมชาติ รัฐบาลสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที 2.พื้นที่ราบลุ่มของเกษตรกรที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูฝน ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย และ 3 พื้นที่ราบลุ่มที่มีการใช้ประโยชน์ในช่วงหน้าฝน รัฐบาลจำเป็นจะต้องหามาตรการหาเงินชดเชยต่อไป ส่วนพื้นที่รับน้ำใน 6 จังหวัดกลางน้ำ ขณะนี้สามารถหาพื้นที่ได้แล้ว 470,000 ไร่จาก 2ล้านไร่ ได้แก่ จ.พิษณุโลก ใช้พื้นที่ บึงตะเคร็ง 300 ไร่ บึงขี้แร้ง 200 ไร่ และบึงระมาณ 34 ล้านลบ.ม.ซึ่งทั้ง 3 พื้นที่เป็นแก้มลิงธรรมชาติ
ส่วนแก้มลิงที่ต้องขุดลอกเพิ่มเติม คือ บึงสะเดา 350 ไร่ จ.นครสวรรค์ จะใช้พื้นที่ข้างลุ่มน้ำยมและลุมน้ำน่าน จำนวน 120,000 ไร่ บึงบอระเพ็ด 60,000 ไร่ จ.อุทัยธานี จะใช้พื้นที่เกาะ 10,000 ไร่ และพื้นที่เกษตร 13,000 ไร่ จ.พิจิตร พื้นที่เกษตร 8 อำเภอ 36 ตำบล ที่รัฐบาลต้องเข้าไปชดเชย 259,700 ไร่ และยังมีพื้นที่ธรรมชาติ หนอง บึงอีก 407 แห่ง ส่วนจ.ชัยนาท จะใช้พื้นที่ บึงกระจับ บึงวงฆ้อง และพื้นที่ตำบลเขาแก้วอีก10,000 ไร่
สำหรับจ.กำแพงเพชร เป็นพื้นที่สูงไม่มีพื้นที่รับน้ำ
ทั้งนี้การใช้พื้นที่รับน้ำหรือทิ้งน้ำเป็นการใช้ชั่วคราวประมาณ 2-3 เดือน โดยหากพื้นที่ใดยิ่งสูง ก็จะใช้เวลาน้อยลงไปอีก และน่าจะไม่เกินเดือนพฤศจิกายนสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการบริหารจัดการน้ำในที่จะปล่อยลงสู่ทะเลมีพื้นที่จังหวัดใดจะเกิดน้ำท่วมในปีนี้หรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ในส่วนของแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางประกง สามารถระบายน้ำ ไม่เกิน 350 ล้าน ลบ.ม. ซึ่ง 3 แม่น้ำใช้เวลาประมาณ 1 เดือนครึ่งน้ำก็หมดพอดี
เมื่อถามว่าแสดงว่าจะต้องไม่มีพื้นที่ไหนมีการประกาศอพยพ นายปลอดประสพ กล่าวว่า โอกาสที่จะประกาศมีแต่จะต้องน้อยกว่าเดิมทั้งในแง่ของพื้นที่พื้นที่ความลึกของพื้นที่ ซึ่งการประกาศอยูในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย แต่คาดว่าไม่ร้ายแรงเหมือนปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากปีนี้มีการเตรียมการและมีเครื่องมือและสาธารณูปโภคในการบริหารจัดการน้ำมากขึ้น รวมทั้งแก้มลิงและพื้นที่รับน้ำที่ต้องมาช่วยดึงน้ำเพิ่มเติมจากปีที่ผ่านมาด้วย
สำหรับพื้นที่ในจ.นครสวรรค์ มีพื้นที่พักน้ำที่เป็นพื้นที่ของเกษตรกร ที่รัฐต้องเข้าไปชดเชย 3 หมู่บ้าน คือ บ้านยางตาล บ้านน้ำทรวง และบ้านยางขาว ซึ่งขณะยังไม่มีการกำหนดพื้นที่และมาตรการชดเชย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่คณะนายกฯได้สำรวจริมเขื่อนเจ้าพระยา อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ. ชัยนาท ประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และเดินไปยังหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ อ.เมือง จ.ลพบุรี เพื่อรับฟังการบรรยายสรุป
ทั้งนี้นายกฯได้ขอให้กองทัพบก เร่งทำโครงการในจ.นครสวรรค์ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ขณะที่นายกฯ แสดงความพอใจการลงพื้นที่ 3 วันว่าเป็นไปตามเป้า นอกจากนั้นรัฐบาลจะไม่ใช้กฏหมายจัดการผู้บุกลุก พื้นรับน้ำ สโดยจะให้ผู้ว่าฯเร่งเจรจาพร้อมหาทางออก
