xs
xsm
sm
md
lg

“ปลอด” ลั่นรื้อกระบวนการ ยธ.แน่ - “สาทิตย์” ยันแก้ขัดแย้งต้องไม่นิรโทษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (แฟ้มภาพ)
“น้องเดียว-ปลอดประสพ” ซัดกันนัวกลางเวทีเสวนาสื่อ ปชป.ฉะแก้ขัดแย้งต้องไม่นิรโทษ ให้คนกลางช่วย ยก “ไอ้ตู่” ขู่ย้ายผู้ว่าฯ หากได้เป็น รบ. พท.สวนอย่าโม้ ชี้ แค่นิยาย ยันรื้อกระบวนการยุติธรรมแน่ แนะจับมือเลิกทะเลาะ ถามเอาพวกข้างถนนเข้าสภาเสียหายอะไร

วันนี้ (29 พ.ค.) ที่โรงแรม สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด เครือข่ายองค์กรสื่อได้จัดสัมมนาสื่อมวลชน เรื่อง “พรรคการเมืองตอบโจทย์สื่อ ปฏิรูปประเทศไทย” โดยได้เชิญตัวแทนของพรรคการเมือง ได้แก่ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกฯ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา เข้าร่วมเสวนาเพื่อแถลงนโยบายและตอบคำถามจากตัวแทนสื่อมวลชน

ในช่วงต้นได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนพรรคการเมืองแถลงนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงครั้งนี้ โดยนายปลอดประสพ กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล มี 2 สิ่งที่ต้องทำทันที คือ 1.จะสร้างระบบยุติธรรมและสิทธิที่เป็นมาตรฐานเดียว รวมถึงต้องปรับกระบวนการยุติธรรมไม่ใช้ระบบหมาหมู่ แต่ต้องใช้เหตุผล ซึ่งต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 2.ต้องให้ทหารกลับเข้ากรมกอง เพื่อทำหน้าที่ของวีรบุรุษ ที่สำคัญ ทหารต้องยอมรับรัฐบาลที่มาจากประชาชน สำหรับประเด็นการปฏิวัตินั้นตนไม่กลัว และเชื่อว่าปัจจุบันไม่มีใครยอมรับวิธีการดังกล่าวแล้ว

ด้าน นายสาทิตย์ นำเสนอเรื่องปฏิรูปที่ดินทำกิน ว่า ถือเป็นนโยบายแรกที่พรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการให้ได้ในทันที อาทิ การออกโฉนดชุมชน ภาษีที่ดิน และการเปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดิน สำหรับประเด็นความขัดแย้งในปัจจุบันที่หลายฝ่ายมองว่ามีนักการเมืองเป็นต้นเหตุ เบื้องต้นยอมรับว่านักการเมืองเป็นหัวหอกความขัดแย้ง ดังนั้น การแก้ไขต้องไม่ใช่การออกกฎหมายหรือนิรโทษกรรมให้กับใครที่ทำผิด แต่ต้องให้คนกลาง หรือคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับนักการเมืองเข้าไปแก้ไข

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ นายสาทิตย์ กล่าวจบ นายปลอดประสพ ได้พูดแทรกขึ้นว่า “ขอตอบแบบมนุษย์ เวลามีใครทะเลาะถึงขั้นต่อยกัน จะเอาคนกลางมาห้ามคงไม่ได้ ต้องให้ 2 ฝ่ายหยุดกันเอง มาจับมือสัญญาว่าเลิกทะเลาะกัน ดังนั้นการปรองดองเป็นการยินยอมพร้อมใจของผู้ที่แตกแยก ไม่ใช่ให้คนอื่นมาชี้ อย่ามาโม้ ให้คนกลางมาช่วยมันเป็นเพียงนิยาย”

จากนั้น นายสาทิตย์ จึงกล่าวต่อว่า อย่างที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง เคยพูดบนเวทีว่า หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ หรือจะย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด และขณะนี้ นายจตุพร เข้ามาสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ดังนั้น การแก้ไขความขัดแย้งต้องเป็นข้อเสนอที่ปราศจากการมีส่วนได้เสียและนำไปสู่การปฏิบัติได้ ทั้งนี้ต้องแยกความขัดแย้งเป็น 2 มิติ คือ การละเลยกระบวนการยุติธรรม ด้วยการไปลบล้างความผิด ซึ่งหากทำเช่นนั้นจริงจะเป็นการสั่นคลอนรากฐานกระบวนการยุติธรรม

ทำให้ นายปลอดประสพ กล่าวสวนขึ้นมาอีกว่า “ผมจะให้ใครเป็นปาร์ตี้ลิสต์ไม่ใช่เรื่องของท่าน ขอให้มองในแง่ดีหน่อย ผมเอาพวกเขาที่อยู่ริมถนนเข้าสู่ระบบ จะเสียหายอะไร พวกเขาขึ้นเวทีแล้วเป็นคนหรือไม่ และวันนี้พอสมัครแล้วเขาก็ไม่ได้ขึ้นเวทีกัน ตรงนี้ต้องเคารพกติกาของประเทศ ถึงแม้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงไม่มีชื่อในปาร์ตี้สิสต์เพื่อไทย คนเสื้อแดงก็ยังอยู่ ผมว่าคนเราต้องรู้จักให้อภัย และมองโลกในแง่ดี ต้องให้โอกาสเขา”

จากนั้น นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า การเสนอคนกลางที่ไม่มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นกลไกปรองดอง เป็นจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ การพาดพิงบุคคลอื่น เป็นการนำเสนอด้วยความห่วงใย แต่ละเรื่องมีเหตุผลของตนเอง แต่คนที่ตัดสินใจเรื่องดังกล่าว คือ ประชาชน

ด้าน นายวัชระ กล่าวยอมรับว่า ความขัดแย้งปัจจุบันมาจากนักการเมือง ซึ่งคนทั้งประเทศมองแบบนั้น ดังนั้นวิธีแก้คือนักการเมืองต้องเคารพกติกาและอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎเลือกตั้ง ส่วนหลังเลือกตั้งแล้วพรรคชาติไทยพัฒนาจะไปอยู่ข้างไหน ขึ้นอยู่กับมติพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในเวทีดังกล่าวสื่อมวลชนได้สอบถามถึงการบังคับใช้มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นพ.วรรณรัตน์ กล่าวว่า นักการเมืองทุกคนต้องปฏิบัติตามกรอบ โดยเฉพาะขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ระบุกฎชัดเจนว่าต้องไม่หาเสียงโดยกล่าวพาดพิงสถาบัน

ด้าน นายสาทิตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีคนบิดเบือนการใช้มาตรา 112 ว่าเป็นการกลั่นแกล้งบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ทั้งที่จริงเป็นปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่ต้องพิสูจน์เจตนา ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เคยกล่าวไว้ว่าบุคคลที่ยกเรื่องดังกล่าวมาพูด เป็นสิ่งที่ควรพิจารณว่าคนดังกล่าวมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ ส่วนตัวมองว่า หากพูดถึงมาตรา 112 ต้องแยกแยะว่าเป็นเรื่องของกฎหมาย ที่จำเป็นต้องมีเพื่อพิทักษ์สถาบันหรือการบังคับใช้ ที่ต้องชัดเจนว่าไมได้มุ่งกลั่นแกล้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น