xs
xsm
sm
md
lg

“เจ๊วา” บินยุโรปถกขายข้าวอินโดฯ ยอมรับทุจริตประมูลพันบิ๊กการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รมว.พาณิชย์ บินประชุม WTO เล็งถกขายข้าวอินโดฯ แบบจีทูจี พร้อมชี้แจงกระแสข่าวทุจริตประมูลข้าวฉาว 4 ล้านตัน พันบิ๊ก ปชป.ไขปริศนาไอ้โม่งฟันหัวคิว 500 ล้านบาท พร้อมระบุ เหตุต้องใช้วิธีประมูลแบบลับๆ เพราะต้องได้ราคาดี คอการเมืองแฉผลประโยชน์ ต้นเหตุ “ภท.-ปชป.” ซัดกันนัว

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (29 ม.ค.) ตนเองจะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมกับสมาชิก WTO จำนวน 25 ประเทศจาก 153 ประเทศที่ได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมการประชุม

ทั้งนี้ ประเด็นที่ไทยต้องการผลักดันจะเน้นในเรื่องการลดการอุดหนุนสินค้าเกษตร ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศได้ให้การอุดหนุนเป็นเงินจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ดังนั้น หากไทยสามารถเจรจาผลักดันให้ประเทศเหล่านี้ลดการอุดหนุนดังกล่าวลงมาได้ ก็จะทำให้ราคาพืชผลของไทยดีขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรของไทยที่จะขายสินค้าเกษตรได้ราคาดีขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น

สำหรับการเจรจากับอินโดนีเซีย จะขอความร่วมมือจากรัฐมนตรีการค้าอินโดนีเซียให้ช่วยสนับสนุนการค้าข้าวระหว่างสองประเทศ โดยขณะนี้รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการเจรจาขายข้าวแก่รัฐบาลอินโดนีเซียในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งไทยต้องการให้การเจรจาซื้อขายข้าวล็อตนี้ประสบความสำเร็จ

รมว.พาณิชย์ ยังกล่าวเปิดใจถึงการเปิดขายข้าวสต๊อกรัฐในปีที่ผ่านมา ก่อนบินไปต่างประเทศ ในวันพรุ่งนี้ โดยเฉพาะในประเด็นการเปิดขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ซึ่งถูกโจมตีว่าเหตุใดต้องทำแบบลับๆ จนเป็นที่มาของกระแสข่าวการทุจริตอย่างครึกโครม และมีการปลดผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้น โดยยืนยันว่า กรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวแบบลับๆ เพื่อให้ได้ราคาสูงสุด

“การประมูลแบบลับๆ หมายถึงไม่ได้เปิดประมูลขายเป็นการทั่วไปเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งการเปิดประมูลด้วยการยื่นซองเสนอราคานั้น มีข้อดีตรงที่ผู้ส่งออกข้าวทุกรายได้รับทราบว่ารัฐจะเปิดประมูล ใครต้องการข้าวเพื่อส่งออกก็สามารถยื่นซองเสนอราคาได้ และการเปิดซองก็ทำกันอย่างเปิดเผย จะปกปิดเฉพาะขั้นตอนการต่อรองราคาระหว่างรัฐกับผู้ส่งออกเท่านั้น”

ดังนั้น เมื่อตกลงราคากันได้แล้ว วงการค้าข้าวจะรู้เองว่าข้าวลอตนี้ รัฐขายให้ใครบ้าง ปริมาณเท่าไร และราคาเท่าไร ทำให้ตลาดข้าวรับรู้ไปด้วย หากข้าวลอตใดที่รัฐขายราคาต่ำ เช่น ข้าวที่เก็บมาหลายปี คุณภาพเสื่อม ราคาก็จะไม่ดี ซึ่งตรงนี้จะมีผลในเชิงจิตวิทยา ทำให้ราคาข้าวในตลาดลดลงทันที

ขณะเดียวกัน การเปิดประมูลก็อาจทำให้พ่อค้าร่วมกันเสนอซื้อในราคาต่ำได้ ซึ่งรัฐไม่ได้ประโยชน์จากการขายอย่างเต็มที่นัก แต่การขายอย่างลับๆ เพราะไม่อยากให้ตลาดรับรู้ราคา และปริมาณที่รัฐขายได้ อาจมีผลให้ราคาข้าวในตลาดลดลงได้

“ยืนยันว่า แม้การขายข้าวทุกครั้งของรัฐบาลชุดนี้จะขายได้ราคาใกล้เคียงตลาด ทั้งที่เป็นข้าวเก่าเก็บมาแล้ว 2-3 ปี เช่น ราคาตลาดตันละ 13,000 บาท แต่รัฐก็ขายได้ 12,000 บาท ซึ่งตลาดไม่ได้มองว่าข้าวที่ขายเป็นข้าวเก่าจะมองแต่เพียงว่าจะต้องขายได้เท่าราคาตลาดเท่านั้น ทั้งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะข้าวรัฐไม่ใช่ข้าวใหม่ทั้งหมด อีกทั้งหากตลาด โดยเฉพาะต่างประเทศรับรู้ว่าสต็อกข้าวของไทยยังมีมากก็จะไม่รีบซื้อเพื่อรอไทยเทขายในสต๊อก ซึ่งจะกดราคาซื้อได้ และทำให้ราคาข้าวไทยตกต่ำ”

รมว.พาณิชย์ ชี้แจงเพิ่มว่า การขายข้าวในสต็อกรัฐทุกครั้งทำถูกขั้นตอน โดยกระทรวงเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากต่างประเทศแล้วเท่านั้นที่จะขอซื้อได้ ผู้ส่งออกแต่ละรายที่ต้องการข้าวก็จะไม่เปิดเผยให้ใครรู้ว่าเสนอซื้อปริมาณและราคาเท่าไร เพราะกลัวจะไม่ได้ข้าว

ดังนั้น จึงต้องเสนอราคาดีๆ จากนั้นคณะอนุกรรมการพิจารณาการระบายข้าว ของกรมการค้าต่างประเทศจะต่อรองราคา เมื่อได้ราคาตามที่รัฐพอใจก็จะเสนอไปตามขั้นตอน คือ เสนอให้ รมว.พาณิชย์ พิจารณาหากเห็นชอบแล้ว จะเสนอรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เป็นตำแหน่งของรองนายกรัฐมนตรี และประธาน กขช.ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณาขั้นสุดท้าย

“อยากให้สังคมเข้าใจถึงที่มาที่ไปของการขายข้าวแบบไม่เปิดเผย วิธีนี้จะมีคนน้อยมากที่รู้ว่ารัฐขายปริมาณเท่าไร และราคาอย่างไร ไม่ส่งผลต่อจิตวิทยาเชิงลบ ยืนยันว่า เราไม่ได้ หมกเม็ด เพราะทุกครั้งคนตัดสินใจสุดท้าย คือ รองประธาน กขช.หรือประธาน กขช.ไม่ใช่ รมว.พาณิชย์ และยืนยันว่า ไม่มีการทุจริตแน่นอน ไม่อยากให้สังคมมองว่า การขายข้าวทุกครั้งจะต้องทุจริต ยังไม่ทันรู้ข้อเท็จจริง ก็ออกข่าวกันแล้ว ตราหน้ากันแล้ว อยากให้พิจารณาให้ชัดเจนก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุป”

รัฐบาลนี้จำเป็นต้องขายข้าวออกจากสต๊อก เพราะการมีสต็อกมากถึงเกือบ 6 ล้านตัน จะกดดันให้ราคาในประเทศ และราคาส่งออกตกต่ำ อีกทั้งยังลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการเช่าโกดัง และเก็บรักษาเดือนละมหาศาล ซึ่งจนถึงขณะนี้ขายข้าวในสต๊อกแล้วเกือบ 5 ล้านตัน ยังเหลืออีก 1.6 ล้านตัน คาดว่า จะขายออกให้เหลือเป็นสำรองเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร (เซฟตี้สต๊อก ) จำนวน 1 ล้านตัน

โดยก่อนหน้านี้ มีการตั้งข้อสังเกตุว่า รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ไม่ได้ต่างจากรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย (ทรท.) โดยเฉพาะด้านการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เหมือนกันทุกประการ พร้อมระบุว่า การประมูลข้าว และการโกงข้าว มีนักการเมืองได้ประโยชน์หลายพันล้าน และร่ำลือว่าผู้ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี รับไปไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท

ขณะที่รายงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุถึงการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และแนวทางการแก้ไขปัญหา ซึ่งรายงานของ ป.ป.ช.ระบุว่า รัฐบาลมีปัญหาต้องจ่ายค่าเก็บสต็อกข้าวสูงถึง 810 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับข้าว 5.604 ล้านตัน และมีปัญหาโครงการประกันรายได้ ที่เกษตรกรแจ้งจำนวนพื้นที่และผลผลิตเกินความเป็นจริง ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างสูงกว่าความเป็นจริง

กรณีดังกล่าว รมว.พาณิชย์ ยืนยันว่า ขณะนี้ข้าวในสต๊อกรัฐบาลไม่ได้มีสูงถึง 5.604 ล้านตัน เพราะได้ระบายออกไปเกือบหมด คงเหลือจำนวนหนึ่งเพื่อเก็บไว้เป็นสต็อกสำรอง ทำให้รัฐบาลไม่มีปัญหาต้องจ่ายค่าเก็บอีกต่อไป

ส่วนที่ นายวีระศักดิ์ จินารัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการซื้อขายข้าวในสต็อกของรัฐบาล และส่อไปในทางทุจริต และได้ให้ออกจากตำแหน่งไปก่อน พร้อมตั้งกรรมการขึ้นมาสอบ ถ้าผลสอบออกมาแล้วไม่ผิดก็ค่อยแต่งตั้งกลับเข้ามาใหม่ได้

สำหรับข้อกล่าวหาที่มีต่อ นายวีระศักดิ์ นั้น สรุปใจความได้ว่า นายวีระศักดิ์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการขายข้าวในสต็อกรัฐบาลให้แก่บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด จำนวน 4.5 แสนตันมูลค่า 5,000 ล้านบาท ที่จะซื้อจากองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) โดยมีความไม่ชอบมาพากล เพราะวีระศักดิ์ได้นำเงินจากกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ของวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีวีระศักดิ์นั่นเองเป็นอธิการบดี นำมาใช้ในการค้ำประกันการซื้อข้าวล็อตนี้

โดยวิธีการที่ นายวีระศักดิ์ ดำเนินการ ก็คือ ได้มอบหมายให้คนใกล้ชิด คือ น.ส.ฐานิญา สิงห์แจ่ม เป็นผู้ดำเนินการออกแคชเชียร์เช็คผ่านหมายเลขที่บัญชี 313-1-78139-4 ธนาคารกรุงไทย สาขาอุบลราชธานี โดยสั่งจ่ายให้แก่ อ.ต.ก.วงเงิน 25 ล้านบาท ซึ่งต้องหาข้อเท็จจริงตรงขั้นตอนการวางเงินเพื่อทำสัญญากับ อ.ต.ก.ว่า ทำถูกต้องหรือไม่ การให้ยืมเครดิตธนาคารกันทำได้หรือไม่ เพราะขั้นตอนอื่นๆ พ้นจากหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์แล้ว

ซึ่งในช่วงที่เกิดเรื่องราวขึ้น รมว.พาณิชย์ ยืนยันว่า กรณีของ นายวีระศักดิ์ ตนเองไม่ทราบรายละเอียดมาก่อน มาทราบก็ตอนที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ก่อนหน้านี้ที่ว่ามีการให้ผู้ส่งออกยืมเครดิตธนาคารไปแสดงเป็นหลักทรัพย์ทำสัญญาซื้อขายข้าวรัฐบาลกับ อ.ต.ก.ซึ่งพอเป็นข่าวไปแล้ว นายวีระศักดิ์ก็มาชี้แจงให้ทราบด้วยวาจาแต่ยังไม่ได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร

ด้าน นายวีระศักดิ์ ก็เคยชี้แจงในเรื่องนี้ว่า ตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด และขั้นตอนการขอซื้อข้าวได้สำเร็จไปแล้ว แต่ที่เป็นข่าว เพราะไปรู้จักคุ้นเคยกับหุ้นส่วนผู้จัดการบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด โดยช่วงต้นเดือนพฤษจิกายน 2552 หุ้นส่วนผู้จัดการคนดังกล่าวได้มาขอยืมเครดิตธนาคารเพื่อไปแสดงหลักทรัพย์ให้ อ.ต.ก.เชื่อว่า มีหลักทรัพย์เพียงพอเพื่อใช้ทำสัญญาซื้อขายข้าวกับ อ.ต.ก.

นายวีระศักดิ์ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า หลังจากตรวจสอบแล้ว พบว่า บริษัทดังกล่าวได้รับสิทธิในการทำสัญญากับ อ.ต.ก.โดยถูกต้อง ผ่านหลักเกณฑ์การขอซื้อข้าวจากรัฐบาลมาโดยโปร่งใสทุกประการ จึงให้ยืมเครดิตไปแสดงต่อ อ.ต.ก.1 วันทำการ และบริษัทได้นำหลักทรัพย์คืนภายในวันเดียวกัน โดยเหตุที่บริษัทขอยืมหลักทรัพย์เพียง 1 วันทำการ เพราะเป็นวันสุดท้ายที่บริษัทต้องยื่นความจำนงขอทำสัญญากับ อ.ต.ก.ซึ่งเมื่อแสดงหลักทรัพย์แล้ว บริษัทก็สามารถทำสัญญากับ อ.ต.ก.ได้

รายงานเพิ่มเติมระบุว่า เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ถือเป็นผู้ส่งออกหน้าใหม่ที่มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งผลักดันให้นางพรทิวา นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยสมศักดิ์ถูกระบุว่าเข้าไปมีเอี่ยวกับเอ็มทีฯ เพราะมีเครือญาติที่ไปทำธุรกิจร่วมกับกรรมการเอ็มทีฯ นั่นเอง

รายงานข่าวยังระบุว่า คนในวงการการเมืองรู้กันดีว่า นายวีระศักดิ์ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เคยเป็นบุคคลที่สมศักดิ์เคยว่าจ้างให้ช่วยทำแบรนดิ้งให้กับพรรคมัชฌิมา เมื่อช่วงที่แยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย และยังเคยเป็นถึงแคนดิเดตรัฐมนตรีจ่อนั่งเก้าอี้ รมช.สาธารณสุข โควตากลุ่มสมศักดิ์มาแล้ว แต่นาทีสุดท้ายสมศักดิ์กลับยกเก้าอี้ให้ น.ส.พรรณสิริ กุลนาถศิริ น้องสาวตัวเองแทน แต่ในที่สุด นายสมศักดิ์ ก็ตอบแทน นายวีระศักดิ์ ด้วยการหาเก้าอี้ให้นั่ง โดยส่งไปเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์
กำลังโหลดความคิดเห็น