xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิดีโอลิงก์หลักฐานมัด “แม้ว” บีบยุบสภา-สถาปนารัฐไทยใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วิดีโอลิงก์หลักฐานมัด “แม้ว” บีบยุบสภา-สถาปนารัฐไทยใหม่

ในที่สุดม็อบไพร่แดงก็เริ่มจะกระสากลิ่นหรือรับรู้กันแล้วว่า การชุมนุมและประกาศสงครามไพร่ล้มอำมาตย์นั้น เป้าหมายของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ได้หยุดอยู่แค่การยุบสภา หากแต่มุ่งหมายถึงขั้นต้องการสถาปนารัฐไทยใหม่ที่ไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีเจตนาสูงสุดถึงขั้น “ล้มเจ้า”

และถ้าหากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป คนเสื้อแดงที่ถูกหลอกมาโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงหรือมาเพราะได้รับอามิสสินจ้างจะพากันยกขบวนกลับถิ่นฐานบ้านช่องของตัวเอง

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการนำตัว “ไพร่ตัวแม่” อย่าง (ท่านผู้หญิง) วิระยา ชวกุล ผู้อื้อฉาวจากกรณีเสื้อสีฟ้า มาขึ้นเวทีพร้อมจุดเทียนชัยถวายพระพร เพื่อเป็นการอำพรางมิให้ไพร่แดงต้องตีจาก

**ชำแหละวิดีโอลิงก์ล้มเจ้า

อย่างไรก็ตาม การรับประกันความจงรักภักดีโดย(ท่านผู้หญิง) วิระยา ก็มิอาจทำให้สังคมเชื่อได้ว่า นช.ทักษิณจงรักภักดีจริงๆ เพราะทั้งพฤติกรรมและคำพูดของเขาที่ปรากฏให้เห็นต่างกรรมต่างวาระ ล้วนแล้วแต่มิอาจตีความเป็นอื่นได้ โดยเฉพาะการประดิษฐ์วาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” ที่สังคมเริ่มเข้าใจแล้วว่า มิใช่หมายถึง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเท่านั้น เนื่องจากในแต่ละครั้งที่ไพร่ตัวพ่อหรือบรรดาหัวโจกไพร่ทั้งหลายพูดถึงพล.อ.เปรม พวกเขาจะเอ่ยชื่อ “พล.อ.เปรม” โดยตรง แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องการสื่อความหมายให้เหนือไปกว่าพล.อ.เปรมเขาก็เจตนาที่จะใช้คำว่า “อำมาตย์” แทน

หากไล่เรียงพฤติกรรมและวาทกรรมของนช.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งหัวโจกไพร่แดงทั้งหลายตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันก็จะยิ่งเห็นความชัดเจนว่า ช่างเป็นการกระทำที่สวนทางกับคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวันที่ 24 มี.ค.โดยสิ้นเชิง

เริ่มตั้งแต่การไปนั่งเป็นประธานทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.48 โดยแต่งกายไม่สุภาพ ไม่ใส่ชุดปกติขาว แถมยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่นๆ โดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่มาคุกเข่าให้ นช.ทักษิณกรวดน้ำ

หากยังจำกันได้ หลังภาพดังกล่าวปรากฏออกมา “ศ.ระพี สาคริก” ได้เขียนจดหมายถึง “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 โดยอธิบายความว่า องค์ประธานในพระราชพิธีภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้นต้องเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น การที่นายกฯทักษิณ ชินวัตรเข้าไปนั่งเป็นประธาน เป็นสิ่งที่ไม่บังควรและไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่เสื้อแขนสั้นสวมใส่รองเท้าบนพรมสีแดง โดยมีข้าราชการนั่งคุกเข่ารองรับการกรวดน้ำ

นอกจากนี้ หากไปพินิจพิเคราะห์ถ้อยคำที่ นช.ทักษิณวิดีโอลิงก์เข้ามายังเวทีชุมนุมของไพร่แดงนับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมาก็ยิ่งเห็นความชัดเจนในเรื่องนี้มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นการวิดีโอลิงก์ของ นช.ทักษิณที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 มี.ค.53ที่ผ่านมา

"กราบเรียนอำมาตย์ด้วยความเคารพว่า หยุดรังสีอำมหิตได้แล้ว มันชัดจนระบบไม่เป็นระบบแล้ว ชัดจนกฎหมายไม่เป็นกฎหมายแล้ว ชัดจนเห็นว่าท่านไม่มีความเป็นธรรม ใครๆ ก็หวังพึ่งความเป็นธรรมของท่าน ไม่เหลืออยู่เลยหรือ เข้าใจว่าท่านถูกเพ็ดทูลว่าเสื้อแดงอีกไม่นานก็ฝ่อ หมัดแรกพอไหว ไทยรักไทยคนก็ยังงงอยู่ หมัดที่สองพอทำเนา พลังประชาชน หมัดที่สาม กำลังเงื้อแต่ไม่มีใครรับได้แล้ว

                “อำมาตย์อยู่เหนือการเมืองเถอะ ให้การเมืองบริหารประเทศโดยประชาชนเป็นคนตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ เลือกหรือไม่เลือก แต่อย่ามองว่าตนมีเงินเยอะ เพราะวันนี้ก็ปล้นไป 4 หมื่นกว่าล้านแล้ว ถ้ามองว่าตนมีเงินก็ต้องมองว่าตนมีสมองด้วย และสมองตนเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งชาติแน่นอน อย่าคิดมาก”

ถ้อยคำในวิดีโอลิงก์เมื่อวันที่ 19 มี.ค.มีถ้อยคำ 1 คำกับอีก 1 ประโยคที่ต้องขยายความเพราะเป็นถ้อยคำที่พุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา

คำแรกที่ต้องกล่าวถึงคือคำว่า “เพ็ดทูล” เพราะคำคำนี้ไม่ใช่คำศัพท์ที่สามัญชนคนธรรมดาจะใช้กันอย่างทั่วไป ดังนั้น นช.ทักษิณจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประโยคที่เขาเจตนาพูดออกมานั้นต้องการสื่อให้คนฟังเข้าใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ส่วนอีกหนึ่งประโยคที่ต้องกล่าวถึงคือประโยคที่บอกว่า “วันนี้ก็ปล้นไป 4 หมื่นกว่าล้านแล้ว” ประโยคนี้ นช.ทักษิณมีเจตนาชัดแจ้งว่า ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน

นช.ทักษิณมีเจตนาชี้ให้เห็นชัดเจนว่า “ใคร” กำลังปล้นเงิน 4.6 หมื่นล้านของเขาไป

หากยังจำกันได้ คำว่าปล้นนี้เป็นวาทกรรมที่เคยมีการนำมาใช้แล้วครั้งหนึ่งใน “สื่อล้มเจ้า” อย่าง “นิตยสารเสียงทักษิณ(Voice of Taksin)” ฉบับที่ 16 ปักษ์แรกเดือนมี.ค.53 ที่บนปกมีข้อความว่า “ปิดหน้าปล้นแตกหัก” พร้อมทั้งลงภาพพญาครุฑที่ถูกปิดหน้าด้วยรังผึ้ง ซึ่งสื่อให้เห็นกันชัดๆ ว่า มุ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง เนื่องจากพญาครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทย

ถัดจากนั้นอีก 1 วันคือวันที่ 20 มี.ค.53 นช.ทักษิณก็วิดีโอลิงก์ถ้อยคำที่ส่อเจตนาจาบจ้วงสถาบันอีกด้วยคำพูดที่ว่า “อยากจะกราบวิงวอนอำมาตย์ว่า เรามีวัฒนธรรมสืบทอดมาร้อยๆ ปี เพียงแต่ขอให้เมตตาคนไทยอย่างเสมอภาค อย่าเลือกสี อย่ามองว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดี จะล้มล้างราชบัลลังก์ พวกเราต้องการแค่เสรีภาพ เสมอภาค และความเป็นธรรมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย”

ประโยคนี้ก็มีความชัดเจนเช่นกัน เพราะคำพูดที่ว่าอยากจะกราบวิงวอนอำมาตย์ว่า เรามีวัฒนธรรมสืบทอดมาเป็นร้อยๆ ปีนั้น มิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า หมายความถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

ถัดจากนั้นอีก 1 วันคือวันที่ 21 มี.ค.53 นช.ทักษิณก็วิดีโอลิงก์เข้ามาอีกครั้งในท่วงทำนองเดิมเกี่ยวกับเรื่องความยุติธรรมว่า “เรื่องความยุติธรรมก็สำคัญ ต้องทำสิ่งไม่ยุติธรรมวันนี้ให้ยุติธรรมขึ้นเรื่อยๆ ศาลทุกครั้งที่ตัดสินโดยเฉพาะคดีการเมืองในช่วงหลังการปฏิวัตินั้น มีคำถามว่าตัดสินไม่เป็นธรรม เอาใจข้างเดียว ดังนั้นเมื่อความยุติธรรมไม่มี ประชาธิปไตยก็ไม่พัฒนา วันนี้ประชาชนจึงลุกขึ้นมาขอ แล้วแบบนี้ยังจะปราบปรามประชาชนอีกหรือ”

นช.ทักษิณมีเจตนาที่จะกล่าวโจมตีศาลสถิตยุติธรรมของไทยที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธยอีกเช่นกันว่า ไม่มีความยุติธรรม

นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปในการวิดีโอลิงก์ก่อนหน้านั้นไม่นานนักก็จะพบคำที่น่าสะพรึงกลัวเข้าไปอีก นั่นคือคำพูดที่ว่า “อำมาตย์อายุ 80 กว่าแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว” อำมาตย์ในความหมายของ นช.ทักษิณไม่น่าจะหมายถึง พล.อ.เปรม เพราะ พล.อ.เปรมเกิดในปี พ.ศ.2463 ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็มีอายุ 90 ปีแล้ว

หรือการที่ นช.ทักษิณกล่าวว่า “อำมาตย์ร่ำรวยแล้ว มีมรดกให้ลูกหลานอย่างเพียงพอแล้ว ปล่อยประชาชนไปเถอะ” อำมาตย์ในความหมายของเขาก็ไม่น่าจะหมายถึง พล.อ.เปรมอีกเช่นกัน เพราะพล.อ.เปรมไม่เคยมีลูกหรือมีเมีย

ดังนั้น ในทั้ง 2 กรณี นช.ทักษิณจึงไม่ได้หมายความถึง พล.อ.เปรมอย่างแน่นอน

ที่สำคัญคือ หากยังจำกันได้ในการวิดีโอลิงก์ช่วงวันแรกของการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง นายใหญ่ผู้นี้ยังเคยกล่าวด้วยว่า “คนที่บอกให้ตนพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2549 เหตุใดวันนี้จึงไม่บอกให้นายอภิสิทธิ์พักบ้าง” ซึ่งหากจะให้เข้าใจให้ชัดๆ คงต้องย้อนกลับไปในคืน วันที่ 4 เม.ย.49 ก่อนที่ นช.ทักษิณจะประกาศเว้นวรรคทางการเมือง เพราะการประกาศเว้นวรรคในครั้งนั้นเป็นไปอย่างฉุกละหุกและเกิดขึ้นภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการเดินทางเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่หัวหิน

**ถอดรหัสโจกแดง ตอกย้ำร่วมล้มเจ้า

มิเพียงแค่ไพร่ตัวพ่ออย่าง นช.ทักษิณเท่านั้นที่แสดงตนให้เห็นชัดเจนถึงการปฏิเสธสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่บรรดาหัวโจกเสื้อแดงทั้งหลายก็มีพฤติกรรมและคำพูดที่เป็นไปในลักษณะเดียวกัน

เริ่มจากบนเวทีเสื้อแดงที่จังหวัดอุดรธานี ในค่ำคืนวันที่ 12 มี.ค.ซึ่งมีการปลุกระดมโหมโรงก่อนการชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ 'อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง' อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่ถูกฟ้องล้มละลาย และหนึ่งในแกนนำสายแดงฮาร์ดคอร์ได้ประกาศอย่างเหิมเกริมว่า “ ครั้งนี้เป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราช อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องกุข่าวว่าสถานที่ที่เป็นโรงพยาบาล ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช ….............ฯลฯ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดนี่จะไม่มีเหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน!!! ”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า โรงพยาบาลศิริราชนั้นเป็นที่ประทับขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งขณะนี้ทรงประทับรักษาพระองค์อยู่ ขณะที่ถนนราชวิถีนั้นก็เป็นถนนที่ตัดผ่านพระราชวังสวนจิตรลดา

ตามต่อด้วย “นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา” อดีตผู้พิพากษาที่ผันตัวมาเป็นคนรับใช้ทักษิณที่ไปปราศรัยด้วยถ้อยคำที่เมามันบนเวทีผ่านฟ้าฯ เมื่อวันที่ 19 มี.ค.53 ก็มีความชัดเจนว่ามีเจตนาอะไร “ความเสมอภาค ความเท่าเทียม เขาถือเป็นหลักการของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณ สมัยเปาบุ้นจิ้นเคยได้ยินคำนี้มั้ยครับ ฮ่องเต้ทำผิด รับโทษเท่าสามัญน่ะ ... (คนเสื้อแดงเฮ) ... เพราะเขาเน้นความเท่าเทียมกัน ที่ประเทศอังกฤษ ขนาดเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ขับรถเร็ว ตำรวจจับ ศาลสั่งปรับเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ตั้งหลายร้อยปอนด์ ... เพราะเขาไม่มีแบ่งอำมาตย์-ไพร่ เขาใช้กฎหมายเสมอภาคกัน (คนเสื้อแดงปรบมือ) ...”

วันเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ยังบังอาจเรียกร้องให้สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะต้นสังกัด สำนักพระราชวัง ให้ดำเนินการเปิดจุดลงนามถวายพระพรในหลวงเพิ่มเติม เช่น วัดพระแก้ว ทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่มีการงดการลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช ในช่วงที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งการงดการลงนามเป็นการปิดโอกาส และตัดขาดประชาชนไม่ให้ลงนามถวายพระพรได้ จึงอยากให้มีการเปิดจุดลงนามเพิ่มเติม

ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา “นายสุทิน คลังแสง” อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชาชนได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่สะพานผ่านฟ้าฯ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า “บ้านจะดีได้ต้องเริ่มที่พ่อและแม่ อย่ามาโทษคนเสื้อแดงถูกกระทำด้วยความไม่เป็นธรรมมาก่อน อีกไม่นานก็ต้องมายุบพรรคเพื่อไทยอีก เงิน พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังไปยึดเขา เพื่อเอาไปให้เสื้อเหลือง ถ้าเปรียบบ้านนี้เหมือนว่ามีพ่อมีแม่ เสื้อแดงก็เป็นลูกคนหนึ่งชื่อไอ้แดง มีพี่ชายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนคนเสื้อเหลืองก็เป็นลูกพ่อแม่อีกคน เรียกว่า ไอ้เหลือง มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นพี่ชาย ไอ้แดงมันเป็นลูกพ่อแม่เดียวกันกับไอ้เหลือง แต่พ่อแม่ให้สิทธิ์ไอ้เหลืองมากกว่า มันเลยทำให้ไอ้แดงมันคิด ขอฝากบอกว่า สงครามแห่งอำนาจมันแก้ไขง่าย แต่สงครามความเชื่อและสงครามความคิดมันแก้ยาก แผ่นดินมันแตกมาแล้วในหลายประเทศ”

คำว่า “พ่อ” และ “แม่” ที่นายสุทินพูดถึงมีเจตนาที่จะหมายถึงใคร

เมื่อเกมเปิดหน้าแล้วเช่นนี้ ก็เป็นที่มั่นใจได้ว่า นช.ทักษิณต้องทำทุกวิถีทางทั้ง “บนดิน” และ “ใต้ดิน” เพื่อบีบคั้นให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตัดสินใจ “ยุบสภา” ในเร็ววันเพื่อทำให้พรรคเพื่อไทยกลับเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศไทยอีกครั้ง ก่อนที่จะหาทางแก้ไขกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมความผิดทั้งหลายทั้งปวง และขอเงิน 4.6 หมื่นล้านคืน เพื่อที่จะทำความฝันของเขา คือ การสถาปนารัฐไทยใหม่ ให้กลายเป็นความจริง

แต่ปัญหาก็คือ ยิ่งนานวัน ความฝันของเขาก็ยิ่งใกล้ถึง “ทางตัน” มากขึ้นทุกที เพราะทุกยุทธศาสตร์ทุกยุทธวิธีที่งัดออกมาใช้ยังไม่สามารถทำให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่วางไว้ได้

เรียกว่า ทำทุกวิถีทาง ทั้งดูดเลือดไพร่ก็แล้ว ปลุกสงครามชนชั้นไพร่-อำมาตย์ก็แล้ว แรลลี่สยองขวัญก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นผลอะไรในเชิงความสำเร็จเป็นรูปธรรมสักที รัฐบาลก็ยังคงอยู่ดีมีสุขและสามารถทำกิจกรรมเพื่อบริหารประเทศต่อไปได้ ทั้งการประชุมคณะรัฐมนตรีหรือการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ชัยชนะของ นช.ทักษิณจึงมีแค่เพียงคำประกาศเพ้อเจ้อของ 3 เกลอหัวขวดบนเวทีว่า พวกเราชนะแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่าวกเวียนไปมาเท่านั้น

ดังนั้น นช.ทักษิณจึงจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เสียใหม่ให้เข้มข้นและหนักหน่วงยิ่งขึ้น เดินเกมทั้งบนดินและใต้ดินด้วยการสั่งให้ “หุ่นทุกตัว” ที่ถืออยู่ให้มือให้ออกมาปฏิบัติการโค่นล้มรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะฉิบหายสักเท่าใด

ดังนั้น เมื่อยังไม่สำเร็จสมประสงค์ สิ่งที่จะต้องจับตามองต่อไปก็คือ เมื่อไม่สามารถยั่วยุทหาร ยั่วยุรัฐบาลให้ใช้ความรุนแรงได้ สุดท้ายก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมายของการยิง M-79 หรือ RPG เสียใหม่ให้หันมาสู่มวลชนคนกันเอง โดยหวังว่า เลือดไพร่จะทำให้คนเสื้อแดงบ้าระห่ำและก่อการจลาจลขึ้นมาได้

ใครจะไปรับประกันได้ว่า วันที่ 27 มี.ค.นี้จะไม่มีการยิง M-79 หรือ RPG ตกไประหว่างการเคลื่อนขบวนแรลลี่สยองขวัญรอบกรุงครั้งที่ 2

กำลังโหลดความคิดเห็น