ในที่สุด “ไพร่ตัวแม่” อย่าง “(ท่านผู้หญิง) วิระยา ชวกุล ก็ตัดสินใจขึ้นเวทีไพร่แดงอีกครั้งเมื่อคืนวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการบนเวทีเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา
การปรากฏตัวของ(ท่านผู้หญิง) วิระยา ชวกุล ในครั้งที่ 2 นี้ถือว่ามีนัยสำคัญมาก เพราะเป็นการปรากฏตัวเพื่อเป็นประธานในการถวายคำสัตย์ปฏิญาณเพื่อแสดงความจงรักภักดี พร้อมทั้งนำม็อบไพร่แดงจุดเทียนชัยถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เป็นการปรากฏตัวที่คงไม่อาจอธิบายเป็นอื่นได้ว่า “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการให้ไพร่ตัวแม่คนนี้มารับประกันในความจงรักภักดีของเขาอีกครั้ง โดยอาศัยคราบไคลของความเป็นท่านผู้หญิงที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจุลจอมเกล้าเป็นใบเบิกทาง
แต่ยุทธศาสตร์นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะภาพที่ออกมาในวันนั้น ยิ่งกลับตอกย้ำความมุ่งมาดปรารถนาของคนเสื้อแดงชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะขณะที่(ท่านผู้หญิง) วิระยาปรากฏตัวครั้งที่ 2 บนเวทีไพร่แดงพร้อมนำบรรดาไพร่แดงถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีกลับมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น เพราะถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เทียนที่ไพร่ตัวแม่ผู้นี้นำจุด รวมทั้งเทียนที่ไพร่ที่อยู่ด้านล่างร่วมกันจุดนั้น เป็น “เทียนสีแดง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่บังควรยิ่ง
ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ผู้ที่จงรักภักดีย่อมทราบในหัวใจว่า “สีแดง” เป็นสีที่ไม่ถูกโฉลกกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีพระประสูติกาลในวันจันทร์ แถมคนที่จุดเทียนให้กับ(ท่านผู้หญิง) วิระยายังเป็น “นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ” ผู้ที่ใช้เลือดไพร่แดงทำมนต์ดำเพื่อสร้างความพินาศฉิบหายให้กับบ้านเมืองอีกต่างหาก
(ท่านผู้หญิง)วิระยาและคนเสื้อแดงมีเจตนาที่นอกเหนือไปจากที่ประกาศไว้หรือไม่?
แต่ที่อุบาทว์ชาติชั่วที่สุดคือ ในพิธีดังกล่าวได้มีการชู “ตีนตบ” ขึ้นมาพร้อมๆ กันด้วย
(ท่านผู้หญิง)วิระยาและคนเสื้อแดงจะตอบคำถามในเรื่องนี้อย่างไร?
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งคำถามตอกย้ำอย่างซึ่งๆ หน้าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 24 มี.ค.สิ่งที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง คือ ระหว่างที่มีการจุดเทียนกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งบนเวที และด้านล่าง มีการยกเท้าตบขึ้นมาโชว์เหมือนเป็นการถวายด้วยเท้าตบ ดังนั้น ตนอยากถามหาความรับผิดชอบของคนเสื้อแดง และอยากรู้ว่าแกนนำ นปช.จะแก้ตัวอย่างไรกับการชูเท้าตบถวายพระพร ซึ่งตนหวังว่า แกนนำ นปช.จะไม่โยนความผิดให้รัฐบาลอีก
นอกจากนั้น หากย้อนหลังกลับไปชำแหละตัวตนที่แท้จริงของ (ท่านผู้หญิง) วิระยาจากพฤติกรรมของเธอในอดีต ก็ยิ่งเห็นชัดว่า คนคนนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นคนเช่นไร โดยเฉพาะเรื่องอื้อฉาวในโครงการจัดทำเสื้อสีฟ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เธอเป็นเพียงแค่คนที่ต้องการเข้ามาอาศัยสถาบันเพื่อทำประโยชน์ให้กับตัวเองเท่านั้น
ทั้งนี้ โครงการเสื้อสีฟ้าซึ่งบนเสื้อมีพระปรมาภิไธย ส.ก.อยู่ด้วยนั้น จัดทำขึ้นในปี 2547 โดยมีการออกหนังสือเวียนให้ข้าราชการ และพนักงานของกระทรวงมหาดไทยทุกระดับชั้นซื้อ พร้อมทั้งเร่งให้มีการจัดจำหน่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ผ่านกองราชเลขานุการในพระองค์ ถึงปลัดมหาดไทย ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องยุติ “วิธีจำหน่าย” ในลักษณะดังกล่าว และทรงเสียพระราชหฤทัยอย่างยิ่งเมื่อทรงทราบจากฎีการ้องทุกข์หลายฉบับที่ระบุว่าโครงการนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้มีรายได้น้อย
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายเสื้อสีฟ้า (ท่านผู้หญิง) วิระยาก็ยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแต่อย่างใด โดยเงินจำนวนนี้ (ท่านผู้หญิง) วิระยายอมรับเองว่า เก็บเอาไว้ในสมุดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อมูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์
เงินจำนวนนี้มีมูลค่าสูงถึง 480 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เม็ดเงิน 480 ล้านบาทที่แสดงอยู่ในบัญชีก็ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่ตัวเลขที่ตรงเสียทีเดียว เพราะโครงการนี้ผลิตเสื้อออกมาขายจำนวน 3 ล้านตัว จำหน่ายตัวละ 300 บาท รวมแล้วต้องมีรายได้จากการขายทั้งหมด 1,200 ล้านบาท โดยระบุชัดว่า นำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย หรือนั่นหมายความว่า ยังมีเงินอีก 720 ล้านบาทที่ไม่รู้ว่า ล่องหนหายไปไหน
นอกจากนั้น พฤติกรรมของ(ท่านผู้หญิง) วิระยายังได้สร้างความกังขาให้เกิดขึ้นกับสังคมว่า แท้ที่จริงแล้ว เธอเป็นข้ารองพระบาทในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถหรือไม่ กระทั่ง “ท่านผู้หญิง จรุงจิตต์ ทีขะระ” รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ต้องออกมายืนยันว่า ท่านผู้หญิงวิระยานั้นไม่เคยเป็นนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่อย่างใด เพราะตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์นั้นต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงวิระยายังไม่มีตำแหน่งใดๆ ในสำนักพระราชวังอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การที่ (ท่านผู้หญิง)วิระยาตัดสินออกหน้ามาปรากฏตัวอยู่บนเวทีล้มเจ้านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะหากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า เธอมีความใกล้ชิดกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร มานาน โดยเคยให้สัมภาษณ์ว่า รู้จักกับนักโทษชายหนีคดีและภรรยาตั้งแต่ยังไม่เป็นนายกรัฐมนตรี และถือว่าเป็นเพื่อนกันมาตลอด แม้ว่าจะไม่เป็นนายกฯ แล้วก็ตาม
(ท่านผู้หญิง)วิระยาบอกด้วยว่า ที่ผ่านมา นช.ทักษิณบริจาคเงินช่วยการกุศลที่ท่านผู้หญิงฯ จัดขึ้นมาโดยตลอด และเธอยินดีรับเงินนั้นไม่ว่าจะเป็นเงินบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม ทั้งยังเหน็บแนมว่าคนที่มีเงินบริสุทธิ์ทำไมไม่เอาไปให้เธอบ้าง
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ หลัง นช.ทักษิณออกมาเคลื่อนไหวนำคนเสื้อแดงขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีการโจมตีประธานองคมนตรีอย่างรุนแรง ซึ่งกระทบไปถึงสถาบันเบื้องสูง (ท่านผู้หญิง)วิระยา ได้ออกมาการันตีว่า นช.ทักษิณ มีความจงรักภักดี โดยอ้างว่ารู้ได้จากซิกซ์เซนส์ หรือสัญชาตญาณ พร้อมทั้งเห็นด้วยกับการที่ นช.ทักษิณ ที่กล่าวโจมตีประธานองคมนตรีและองคมนตรีหลายท่านว่าอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย.โดยอ้างจากคำพูดของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นายทหารนอกราชการที่ไร้จุดยืนเท่านั้น