ทำไม ... ช่อง 3 ถึงต้องเลี้ยงความรู้สึกดีๆต่อพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรไว้บนทุกรอยต่อ หลายปีที่ผ่านมาเมื่อใด ครั้งใดที่มีข่าวหรือเหตุการณ์ซึ่งกระทบกับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร การนำเสนอข่าวของไทยทีวีสีช่อง 3 ก็จะเลี่ยงหาวิธีทำข่าวแบบ “เหยียบเรือ 2 แคม” แต่ทว่าสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างทักษิณกับประชา มาลีนนท์ ที่มีมาแต่อดีตก็ยากที่จะขว้างงูให้พ้นคอ แม้แต่ “ไอ้กี้ร์” – อริสมันต์ พงษ์เรืองรองก็เป็นผลผลิตโดยตรง และเรียกประชา มาลีนนท์ ว่า “นาย”
ในวันที่ศาลพิพากษาตัดสินคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ช่อง 3 กลับทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในขณะที่ชาวบ้านโครมคราม ตื่นเต้นกับการถ่ายทอดสด ทว่าไทยทีวีสีช่อง 3 กลับสร้างมิติความแตกต่างทางด้านข่าวสารด้วยการไม่นำเสนอในคดีระดับชาติ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2553 เวลาก่อนเที่ยง กลุ่มคนเสื้อแดง ที่ใช้ชื่อว่า "กลุ่มแนวหน้าต้านเผด็จการ" ได้เดินทางไปที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ ถนนพระราม 4 เพื่อยื่นหนังสือต่อสื่อมวลชนให้นำเสนอข่าวที่เป็นธรรม เป็นกลาง และเสนอข่าวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมโดยสันติ
ช่อง 3 เป็นสถานีเดียวที่คนเสื้อแดงเจาะจงที่จะไปเยี่ยม ทั้งที่กระบวนการเสนอข่าวของช่อง 3 เกี่ยวกับคนเสื้อแดงและพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้มีความแหลมคมแต่อย่างไร การยื่นหนังสือประเภทนี้ น่าจะยื่นต่อองค์กรสื่อฯที่นำเสนอข่าวด้านตรงข้ามกับคนเสื้อแดงมากกว่า ในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากช่อง 11 แล้ว เห็นจะมีแต่คนข่าวของช่อง 5 บางคนที่พยายามที่จะชี้นำและวิจารณ์คนเสื้อแดงด้วยมุมมองที่รอบด้านกว่า การไปยื่นหนังสือให้แก่พวกเดียวกันไม่ได้อะไร นอกจากจะถูกมองว่า เป็นการสร้างละครฉากหนึ่งเพื่อให้ช่อง 3 มีความชอบธรรม และสามารถใช้เป็นเหตุผล เพื่อนำมาอ้างที่จะนำเสนอข่าวของคนเสื้อแดงมากกว่าปกตินั่นเอง
….......................
ประชา มาลีนนท์ พบ ทักษิณ ที่บ้านทรายทอง
ประชา มาลีนนท์ หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการบริหาร กอบกู้ ไทยทีวีสีช่อง 3 ในยุคบุกเบิกก็เริ่มที่จะมองหาธุรกิจบันเทิงอื่นๆ และหนึ่งในนั้นคือ การร่วมทุนกับเกียรติ เอี่ยมพึ่งพร แห่งไฟว์สตาร์จัดสร้างภาพยนตร์เรื่อง “บ้านทรายทอง”ผลงานการกำกับของรุจน์ รณภพ ซึ่งประสบความสำเร็จมากทางการตลาด บ้างก็ว่า สัญลักษณ์ของดาว 1 ใน 5 ดวงของไฟว์สตาร์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์รายใหญ่นี้ ก็คือ ประชา มาลีนนท์ นั่นเอง !? จนเมื่อเกียรติ เอี่ยมพึ่งพร หัวเรือใหญ่แห่งไฟว์สตาร์ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2524 เจริญ เอี่ยมพึ่งพรจึงรับหน้าที่บริหารบริษัทสืบมา ณ วันนี้ บุคลากรหลักของไฟว์สตาร์ ประกอบด้วย เจริญ, อภิรดี และเกียรติกมล เอี่ยมพึ่งพร การตายของเกียรติ เอี่ยมพึ่งพรส่งผลให้ “บางวิถี”ของประชา มาลีนนท์เปลี่ยนไป เช่น มีมือปืนติดตามตลอดเวลา รวมถึงการเปลี่ยน “มาด”และ “บุคลิก” และถอยห่างจากช่อง 3 ไปมาก
ภาพยนตร์เรื่อง “บ้านทรายทอง” ที่มีนางเอกชื่อ “พจมาน” นี่แหละที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตรได้มาเจอและคบค้ากันกับบุคลากรในวงการหนังหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเกียรติ เอี่ยมพึ่งพร, ประชา มาลีนนท์, วิศิษฐ์ มิ่งวัฒนกุล. สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ เป็นต้น
บ้านทรายทอง (พ.ศ. 2524) ซึ่งกำกับการแสดงโดย รุจน์ รณภพ นำแสดงโดย จารุณี สุขสวัสดิ์ และพอเจตน์ แก่นเพชร เป็นภาพยนตร์ 35 มม.ของศรีบุญเรืองฟิล์ม หนังเรื่องนี้เมื่อออกฉายปรากฏว่ารายได้ถล่มทลายประมาณ 20 ล้านบาท (เปรียบเทียบกับค่าเงินในสมัยนี้ น่าจะอยู่ที่ 200 ล้านบาทเ) ส่งผลให้ จารุณี สุขสวัสดิ์ กลายเป็นนางเอกหนังเนื้อหอม จนได้ฉายาว่า “นางเอกคิวทอง” ไปในที่สุด!
สมัยนั้น วิศิษฐ์ มิ่งวัฒนกุลในนามของ “พูนทรัพย์ฟิล์ม” เป็นบุ๊กเกอร์สายเหนือ ส่งหนัง "ชอว์ บราเดอร์" และหนังไทยทุกเรื่องให้ "ชินทัศนีย์ /ศรีวิศาล" ที่เชียงใหม่มานานนับ 10 ปี หนังไฟว์สตาร์ทุกเรื่องเฉพาะสายเหนือต้องขายให้กับ "พูนทรัพย์ฟิล์ม" เท่านั้น ยุคนั้น ... สำนักงานของพูนทรัพย์ฟิล์มก็อยู่ติดกับบริษัทไฟว์สตาร์โปรดักชั่นบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยม ส่วนเกียรติกับวิศิษฐ์ เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยที่เกียรติทำงานให้อัศวินภาพยนตร์และวิศิษฐ์ทำงานอยู่กับเสี่ยเฮี้ยง เจ้าของลิขสิทธิ์หนังชอว์ บราเดอร์ในเมืองไทย ต่อมาพูนทรัพย์ฟิล์มได้พัฒนาจากบุ๊คเกอร์มาเป็นผู้จัดสร้างภาพยนตร์ในนาม “พูนทรัพย์โปรดักชั่น” โดยบุกเบิกภาพยนตร์น้ำดีของวงการ ไม่ว่าจะเป็นนวลฉวี, หย่าเพราะมีชู้, ฉันรักผัวเขา, ช่างมันฉันไม่แคร์, ครั้งเดียวก็เกินพอ ฯลฯ แม้จะสร้างหนังคุณภาพแต่หนังส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการตลาดเท่าที่ควร ส่งผลให้พูนทรัพย์ฯ มีหนี้สินขาดทุนสะสมเป็นจำนวนมาก
กรณีของภาพยนตร์เรื่อง “บ้านทรายทอง” ทักษิณ ชินวัตรมาขอซื้อกับเกียรติ เอี่ยมพึ่งพรเพื่อนำไปฉายในโรงภาพยนตร์สายเหนือ ดังนั้นจึงต้องไปขอกับพูนทรัพย์ฟิล์มอีกต่อหนึ่ง แม้ลิขสิทธิ์การฉายภาพยนตร์ในครั้งนั้นจะเป็นของทักษิณ ชินวัตร แต่พูนทรัพย์ฟิล์ม ก็ยังคงเป็นคนวางบุ๊ก ซึ่งเวลาที่โรงหนังส่งเงินมาให้ก็ต้องผ่านบัญชีบุ๊กเกอร์ของพูนทรัพย์ฟิล์มก่อน จากนั้นจึงค่อยส่งต่อให้ "เจ้าของลิขสิทธิ์หนัง" อีกทอดหนึ่ง การจัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผลให้ทักษิณ ชินวัตรได้รับเงินล้านก้อนแรกในชีวิต
ประชา มาลีนนท์ ค่อยๆ ถอยออกจากช่อง 3 ไปทีละน้อย และเริ่มจับธุรกิจส่วนตัวหลายประเภท เช่น การจัดคอนเสิร์ต, การทำภาพยนตร์ และ ร้านอาหารชื่อ คุ้มหลวง หรือแม้แต่ธุรกิจให้เช่าวิดีโอในยุคหนึ่ง หลังสุด … มีคนว่า TABAC ที่ RCA ก็เป็นของเขา !? เป็นสถานที่แห่งนี้ มีห้องพิเศษสำหรับแขกวีไอพี. แขกคนหนึ่งของเขา แน่นอน ไม่พ้นทักษิณ ชินวัตร ที่ไปคั่วกับบรรดาสาวๆในวงการเพลง จนคุณหญิงพจมาน ต้องพาสังขารมาอาละวาดพวกสาวงามๆที่สัดส่วนอวบอึ๋มหล่านี้ …
เมื่อเข้าสู่วงการเมือง ประชา มาลีนนท์ ไม่มีตำแหน่งใดๆ ที่ช่อง 3 ให้เป็นที่ครหา !! ต่ในทางปฏิบัติแล้ว … ยังไงซะ … เขาก็ต้องมีส่วนในการเป็นที่ปรึกษาให้แก่ธุรกิจของตระกูล
ย้อนอดีตกลับไป เมื่อทักษิณ ชินวัตรออกจากวงการหนัง ไปทำบริษัทตลาดซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรล่วงหน้าชื่อ อัพไทม์ โดยให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ดามาพงศ์) ไปนั่งกินเงินเดือน 7,500 บาท คู่กับสุวิมล ภรรยาของวิศิษฐ์ มิ่งวัฒนบุญ ต่อมาเมื่อบริษัทอัพไทม์ เจ๊ง ผู้ที่เข้ามาเทกโอเวอร์คือ ประชา มาลีนนท์
ขณะที่ทักษิณ ชินวัตรยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวงการธุรกิจต่างๆ ทว่าประชา มาลีนนท์นั้นอยู่ตัวแล้ว ดังนั้น .. ทักษิณ ชินวัตรจึงได้รับการช่วยเหลือจากประชา มาลีนนท์บ่อยครั้ง จนเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรตัดสินใจตั้งพรรคการเมือง ประชา มาลีนนท์ก็ยังเป็น1 ในกลุ่มทุนที่เอื้อความสนับสนุนแก่พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน และได้รับมอบหมายให้จัดหาทุนเพื่อดูแลการเลือกตั้งของภาคกลางและภาคเหนือตอนบน โดยเริ่มจากจังหวัดพิษณุโลก ลากยาวไปถึงจังหวัดพะเยา เงินทุนที่ใช้ในการสนับสนุนนั้น จะผ่านต่อไปยังแกนนำคนสำคัญๆ ของพรรค เช่น เยาวภา วงศ์สวัสดิ์, สมศักดิ์ เทพสุทิน, ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์, ไพโรจน์ โล่ห์สุนทร เป็นต้น
บทบาทของประชา มาลีนนท์ในวงการเมือง เริ่มจากการเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อปี 2544, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี 2545, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อปี 2548 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาในปีเดียวกัน
กี้ร์ ฮาร์ดคอร์ เรียกประชาว่า "นาย"
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยที่ประชา มาลีนนท์ดำรงตำแหน่งอยู่นั้น คือ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือ กี้ร์ ฮาร์ดคอร์ หนึ่งในแกนนำของนปช. ที่ก่อความไม่สงบ และผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยาเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2552 อีกทั้งยังเป็นแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วง 13 -14 มีนาคม 2553 (จนถึงขณะนี้) คราวหนึ่ง อริสมันต์ พงษ์เรืองรองเคยหอบเงินจำนวนมากขึ้นเวที นปช. และหลุดคำพูดว่า “นายบริจาคให้” คำว่า “นาย” เป็นคำพูดที่กี้ร์ ฮาร์ดคอร์ใช้เรียก “ประชา มาลีนนท์” คนเดียวเท่านั้น
ณ ปัจจุบัน ไทยทีวีสีช่อง 3 มี ประวิทย์ มาลีนนท์ เป็นกรรมการผู้จัดการ แม้ว่าจะมีความเพียรพยายามที่จะหนีความเป็นสีแดงอยู่ !! เนื่องจากทิศทางข่าวย่อมชัดเจน และประจักษ์ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ไร้แผ่นดินอยู่อาศัยนี้กำลังแพ้ภัยที่ตัวเองได้ก่อไว้ แต่สังคมไทย ระบบอุปถัมภ์ เกื้อกูลนั้นก็ยังอยู่เหนือเหตุและผล ดังนั้น … ไม่ว่าสถานการณ์ในวันข้างหน้า จะเป็นอย่างไร แต่ช่อง 3 ก็ยังคงทำตัวอย่างสำนวนไทยที่ว่า “นก 2 หัว” เหยียบเรือสองแคมไว้ เพื่อมิให้กระทบต่อธุรกิจของครอบครัว ภายใต้ความหวานอมขมกลืนที่ต้องยิ้มใส่ให้กับฝ่ายรัฐบาล และทำหน้าที่ปลอบประโลมให้กำลังใจทักษิณ ชินวัตรในฐานะเพื่อนเก่า เผื่อว่าวันหนึ่ง “อำนาจ” หวนคืนจะได้ไม่ลำบากแก่ตัวและครอบครัว เพราะการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจที่ไม่จิรัง !?
ครอบครัวข่าว “แดง”
ได้เลือดมา 3 แสนลิตรก็บวกเพิ่มเข้าไปเป็น 6 แสนลิตร , ถ่ายเอาภาพที่พวกเดียวกันโบกมือให้ในระยะทางที่ผ่าน ก็ว่าคนกรุงให้การสนับสนุนเสื้อแดงอย่างล้มหลาม ก่อนจบข่าวก็จะปิดด้วยประโยคที่ว่า ให้รอดูกันต่อไป แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามกับสีแดงก็มักมีคำพูดว่า บ้านเมืองจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด !!
ข่าว คือ ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ “เรื่องเล่า”
สรยุทธ สุทัศนะจินดา
นอกจากงานข่าวแล้ว สรยุทธ สุทัศนะจินดา ยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ผลิตรายการโทรทัศน์) และ บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด (รับจัดงานและกิจกรรม) ด้วย และถ้ายังจำกันได้ เรื่องของบริษัทไร่ส้ม เริ่มจากการที่เรื่องการเช่าในลักษณะแบ่งปันเวลา และหาผลประโยชน์กับข่อง 9 อสมท ในสมัยที่มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นผู้อำนวยการสถานี โดย บ. ไร่ส้มมีการขายโฆษณาแฝง โดยไม่แบ่งประโยชน์แก่ช่อง 9 ตามเงื่อนไขในสัญญา การสืบสวนในชั้นต้น มีหลักฐานการกระทำความผิดของบุคลากรต่างๆชัดเจนในฐานฉ้อโกง มีนักวิชาการอิสระท่านหนึ่งกล่าวว่า บริษัทนี้ไม่น่าจะมีโอกาสเข้ามาทำงานในช่อง 3 ซึ่งเป็นบริษัทเครือข่ายของอสมท เหตุที่ช่อง 3 คว้าตัวสรยุทธมาจากโมเดิร์น ไนน์ มีเหตุผลเดียวคือ นำสรยุทธมาเป็นจุดขายและแบ่งปันทางด้านผลประโยชน์ทางธธุรกิจ
โดยส่วนตัวแล้ว สรยุทธ สุทัศนะจินดามีสายสัมพันธ์ที่สนิทสนม แนบแน่นกับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรมา เป็นคนข่าวที่เป็นกระบอกเสียงในการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่รัฐบาลของทักษิณมาก่อน ดังนั้น การข่าวที่เอื้อต่อการสนับสนุนคนเสื้อแดงก็จะผ่านเข้ามาในรายการนี้ โดยใช้ภาพเป็นตัวเดินเรื่อง แล้วเจ้าตัวจะทำหน้าที่ในการเสนอข่าวเชิงชี้นำ โน้มน้าวให้ผู้ชมเห็นถึง พลังของคนเสื้อแดงที่มีสังคมสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แต่หลีกเลี่ยงที่จะเสนอข่าวแบบองค์รวม แต่เลือกที่จะนำเสนอเพียงบางส่วน บางแง่มุม เลือกเรื่องที่จะพูด สรุปง่ายๆคือ แม้จะไม่ได้โกหก ตอแหล แต่ไม่ได้พูดทุกแง่มุมของความจริง
กรณีของบริษัทไร่ส้มก็ดี , กรณีเรื่องสัมปทานของช่อง 3 กับอสมท สรยุทธไม่เคยกล่าวถึง
กนก รัตน์วงศ์สกุล เคยกล่าวตอบโต้ในคอลัมน์ ของนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ว่า “ไม่อาจทำงานร่วมกับคนโกง” ได้
กิตติ สิงหาปัด
กิตติ สิงหาปัด เมื่อสมัยอยู่ไอทีวี ประกาศว่า จะทิ้งไอทีวีเป็นคนสุดท้าย จนเมื่อแพแตก กลายเป็นว่า เขาเป็นคนแรกๆที่กระโดมาอยู่ที่โมเดิร์นไนน์ จากนั้นก็ย้ายตัวเองมาอยู่ที่ช่อง 3 ตามลำดับ เพื่อทำข่าวสามมิติ เป็นผู้ประกาศข่าวที่ทำตัวเป็นดารามากกว่าที่จะเป็นคนข่าวที่แท้จริง จุดยืนของกิตติ คือ การรับใช้ผู้มีอำนาจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตรในสมัยเรืองอำนาจ ณ ปัจจุบันก็เปลี่ยนการแสดงหันมาเอาใจนายทุนทางธุรกิจที่ตัวเองสังกัดอยู่เท่านั้นเอง
สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
คนในวงการข่าวมองว่า เธอไม่ได้มีจิตวิญญาณของนักข่าว ไม่ได้มีความคิดเห็นของตัวเอง หรือ กล้าคิด กล้าทำ อย่างที่สัญชาตญาณของนักข่าวมีและควรจะเป็น หากแต่แสวงหาความมั่นคงทางการเงินเท่านั้น ดังนั้น ใครที่ว่าจ้างด้วยอัตราเงินที่สูงกว่าก็พร้อมจะไปส่งเสียง แสดงตัวให้ และไม่มีมีบทบาทมากนัก
ฐปนีย์ เอียดศรีไชย
แดงแท้ ของจริง ปัจจุบันอยู่ในทีมงานสามมิติของกิตติ สิงหาปัต ถ้ายังจำกันได้ เธอคนนี้นี่แหละที่ร้องไห้แทบจะเป็นจะตายเมื่อตอนที่ปิดไอทีวี
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
คุณปลื้ม - ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ขณะที่เป็นพิธีกรของไทยทีวีสีช่อง 3 ก็ยังเป็นผู้ดำเนินรายการคนสำคัญให้แก่วอยซ์ทีวี ของพานทองแท้ ชินวัตรควบเกี่ยวกันไปด้วย
ย้อนหลังกลับไป ...วสันต์ โพธิพิมพานนท์ (ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มทองหล่อ จำกัด) หรือ เจ้าของเบนซ์ ทองหล่อ ผู้ชัดเจนในข้างทักษิณ ชินวัตร หลังจากที่เป็นขุนพลใหม่ เข้าไปทำรายการกับช่อง 5 เมื่อปี พ.ศ. 2547 หลังจากทำรายการระยะหนึ่งเมื่ออยู่ไม่ได้ ทางช่อง 3 ก็ช้อนไว้ในฐานะที่เป็นกลุ่มก้อนและพรรคพวกเดียวกัน ไม่นับรวมกรณีของ เฉลิม อยู่บำรุง ที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องการทำสัญญาไม่เป็นธรรมกับ อสมท
บุคลากรในวงการข่าวอื่นๆของช่อง 3 ยังมีคนอื่นๆ เช่น กรุณา บัวคำศรี, ภาษิต อภิญญาวาท, ปานระพี รพิพันธ์ที่แว่วข่าวมาว่าซื้อตัวมาจากช่อง 7 อีกด้วย
ครอบครัวข่าวน่าจะไปได้ได้ดีและไกลกว่านี้ … แต่กลายเป็นว่า คนข่าวเหล่านี้ไม่กล้าแตะแหล่งข่าวหรือเจาะลึกเทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับระบอบทักษิณ ซึ่งถือว่าค้านกับสิ่งที่ช่อง 3 บอกว่า ครอบครัวข่าวของช่อง 3 ตั้งใจให้เป็นสถานีข่าวที่สมบูรณ์ที่สุด การนำเสนอข่าวของช่อง 3 ไม่ได้ดีหรือแตกต่างจากช่องอื่น ภาพของ “ครอบครัวข่าว” จึงไป็นเพียง “พรีเซ็นเตอร์ข่าว” เท่านั้นเอง
บุคคลตั้งแต่ระดับบนถึงล่างเหล่านี้ ล้วนแต่มีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แนบแน่นกับอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรมาก่อนทั้งสิ้น ช่อง 3 ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ กลับยืนมองและสนับสนุนอยู่ห่างๆ และจะว่าไปแล้ว เหล่านี้น่าจะเป็น “ผลพวง” ที่ ประชา มาลีนนท์ มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร