xs
xsm
sm
md
lg

ดับฝันแดงจอมลวงโลกและภารกิจสู่ชัยชนะของปวงชนในชาติ

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

การหลั่งเลือดประท้วงของกลุ่ม นปช. เป็นความไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะการหลั่งเลือดไปเทที่หน้าบ้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ภาพที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นความสะใจของ นปช. แต่ความรู้สึกของประชาชนถือว่าเป็นการเหยียดหยาม เหยียบย่ำทำลายประชาชนและประเทศชาติ เป็นการกระทำที่รุนแรงต่อความรู้สึกของประชาชนไทยทั่วไปและชาวโลกที่ได้รับรู้ข่าวนี้ การกระทำที่ไม่ใช่มนุษย์เขาจะทำกัน คนปกติย่อมไม่เห็นด้วยที่ แกน นปช. ได้นำพราหมณ์มาทำ พิธีไสยเวทย์ แบบย้อนกลับไป บูชาเจ้าแม่กาลี ด้วยเลือดแบบในอินเดียซึ่งอังกฤษได้สั่งให้เลิกไปเมื่อสองร้อยปีกว่า

แต่สำหรับเมืองไทยเราแล้ว กลับกลายเป็นว่า หลั่งเลือดเพื่อบูชาทักษิณจอมลวงโลก จากการที่ได้ติดตามฟัง Sanamluang TV Online สนามหลวงทีวี ทีวีเสื้อแดงเพื่อคนรักประชาธิปไตย แท้จริงเป็นทีวีรักทักษิณ แกนนำ นปช. ชุมนุมประท้วงเพื่อต้องการให้ทักษิณกลับประเทศไทยโดยปราศจากความผิดใดๆ และคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้ทักษิณ และในใจของทักษิณต้องการกลับมามีอำนาจเหมือนก่อนรัฐประหารกันยายน ปี 49 ล้มเลิกรัฐธรรมนูญปี 50 แล้วนำรัฐธรรมนูญการปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดีฉบับปี 40 มาใช้ใหม่ มันไม่ใช่ทางออกของชาติ มีแต่จะหลอกประชาชนเพื่อตนเท่านั้น

แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ยึดรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าใจว่า รัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ แก้ไขให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น นี่คือความเห็นผิด แท้จริงคณะราษฎรไม่ได้บอกว่ายึดอำนาจรัฐจากพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่คณะราษฎรประกาศบอกอย่างชัดเจนว่า นับแต่คณะรัฐประหารคณะแรกที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร ได้ทำรัฐประหาร (Coup d’état) ยึดอำนาจจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2575 ตามหลักฐานที่ปรากฏ

โดยคณะราษฎรมีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎรไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน... คณะราษฎรไม่ได้โกหก และบิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่ยึดอำนาจเพื่อสร้างรัฐธรรมนูญการปกครอง แต่มาบิดเบือนในภายหลังว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 นี่เอง

จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนแสบสุดๆ โมเมสุดๆ ร้ายกาจสุดๆ เห็นผิดสุดๆ เป็นเล่ห์กลของคณะเผด็จการในขณะนั้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง อยู่ๆ ก็บัญญัติ คำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” ไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1 บททั่วไป

“มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในยุคจอมเผด็จการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี คณะนี้บัญญัติโดยที่ไม่ได้มีการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย

ต่อมาก็บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 8 พ. ศ. 2511 ใน มาตรา 2 ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในยุคจอมเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี

คณะผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. 2517, 2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามสืบเนื่องกันมาอย่างโง่เขลาเบาปัญญาเป็นทายาทอสูร โดยมิได้เฉลียวใจและฉุกคิดกันเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาได้ทำร้ายทำลายสร้างความหายนะให้กับชาติของเราอย่างไม่รู้จักจบสิ้น อย่างคาดไม่ถึงว่าพวกเขาได้หลงผิดมากมายมหาศาลขนาดนี้

พระเจ้าแผ่นดินทรงคัดค้านโดยมีพระราชบัลลังก์เป็นเดิมพัน พระปกเกล้าฯ ทรงบันทึกคัดค้านความว่า ...“ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและได้โต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา ว่าควรถือหลัก “Democracy” อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ “Democracy” อันแท้ มิฉะนั้นก็จะเป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ...

ความเสี่ยงภัย และเสียเวลา...คือ เกิดกบฏ รัฐประหารหลายครั้ง, เกิดสงครามก่อการร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ ปี 2508 -2521, เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ปี 2512 - 2525, เกิดการจลาจลทางการเมืองได้แก่ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516, เกิดจลาจล 6 ตุลาคม ปี 2519, เกิดจลาจล 19 - 20 พฤษภาคม ปี 2535, รัฐประหารปี 2549, ความขัดแย้งทางการเมืองเพราะความเห็นผิด, รวมทั้งปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ล้วนแล้วเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญหรือเผด็จการระบบรัฐสภา (เพราะใช้รูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบบรัฐสภา จึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา” นั่นเอง เราจะสิ้นชาติก็เพราะความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงนี่เอง

เสียงเตือนอันทรงคุณค่าจากพระเจ้าแผ่นดิน ขออัญเชิญพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “...ซึ่งถ้าไม่สามัคคี ก็บอกแล้วว่า ประเทศจะประสบความหายนะ ไม่ได้ใช้คำว่าหายนะ แต่ก็คล้ายกัน ว่าถ้าไม่สามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ประเทศชาติล้ม ถ้าล้มก็ผลของการล้มนั้นมีหลายอย่าง ถ้าทางกายก็ร่างกายกระดูกหัก และต้องเข้ารักษา บางทีรักษานานๆ ไม่มีสิ้นสุด ถ้าไม่ระวังประเทศชาติก็ล่ม เมื่อล่มเราจะไปอยู่ที่ไหน ล่มก็หมายถึงว่า ลงไปจม ล่มจม ถ้าเราไม่ระวังประเทศชาติล่มจม...” พระราชดำรัส 4 ธ.ค. 50

พระราชดำรัสมีความชัดเจนอยู่ในตัว เพราะเป็นพระราชดำรัสที่ประกอบด้วยธรรม แต่ก็ต้องเป็นหมัน เพราะสภาพการณ์ของประเทศไทยแล้ว ยากนัก เป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่านักการเมือง หน่วยงานราชการทุกระดับ ประชาชน จะสามัคคีกันได้ตามพระราชดำรัส ทั้งนี้เพราะเหตุคือ ผู้ปกครองได้สร้างรัฐธรรมนูญให้พิกลพิการผิดไปจากคลองธรรม หรือผิดไปจากความสัมพันธ์โดยธรรม เรามีข้อพิสูจน์ขอให้ร่วมกันพิจารณาเถิด เพื่อให้เกิดปัญญา ทำความถูกต้องได้เกิดขึ้นในประเทศของเราเสียที

สภาพการณ์ที่เป็นจริงที่ครอบงำประเทศไทยเรามา 78 ปี สร้างรัฐธรรมนูญผ่านมาแล้วถึง 18 ฉบับ แล้วว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย 78 ปี แต่แล้วมันเหตุวิกฤตชาติ มันก็ฟ้องว่าไม่เป็นทุกทีไป นี่คือการจัดความสัมพันธ์รัฐธรรมนูญที่ผิดพลาดที่ยาวนานมา 78 ปี

การปกครองลักษณะนี้ คือการปกครองโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีระบอบหรือไม่มีหลักการปกครอง หรือไม่มีจุดมุ่งหมายของการปกครอง หรือไม่มีศูนย์กลางการเมืองของชาตินั่นเอง การปกครองลักษณะนี้ ใครขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี นายกฯ ท่านนั้นๆ จะกลายเป็นตัวระบอบหรือเป็นหลักการปกครองอย่างเป็นไปเอง ตัวนายกฯ จะกลายเป็นระบอบบรรหาร ระบอบชวลิต ระบอบทักษิณ จนถึงระบอบอภิสิทธิ์ ฯลฯ นี่คือความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของชาติ คนจึงเกลียดนายกฯ ทุกคนไป

ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์สู่ชัยชนะของปวงชนในชาติคือ การจัดความสัมพันธ์ที่ถูกต้องโดยธรรม ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนโยบายร่วมมือกับทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมือง ทุกกลุ่มมวลชน ทุกสาขาอาชีพ เช่น พระสงฆ์ กรรมกร ชาวนา นักศึกษา แล้วเสนอการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ อันเป็นเหตุวิกฤตของปวงชนไทยทุกคน รีบทำเถอะครับๆๆ ก่อนที่จะสายเกินไป

นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ก้าวแรกของปวงชนไทยทุกคน รัฐบาลรีบทำเถอะครับเพื่อหยุดยั้งเหตุวิกฤตชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น