มาตามนัด อย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ทีเดียวสำหรับเหตุปาระเบิดในพื้นที่ 4 จุด บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพ 4 แห่งทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลในค่ำคืนหลังมีคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งยึดทรัพย์ “นช.ทักษิณ ชินวัตร”และครอบครัว 46,373ล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถึงกับให้สัมภาษณ์ชนิดยิงหมัดเด็ดเข้าเป้าทันทีว่า “เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย จากที่มีการประเมินกันก่อนหน้านี้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงหลังมีคำพิพากษายึดทรัพย์”
แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งก็คือ ระเบิดทั้ง 4 ลูกคือการตอบโต้คำพิพากษาของศาลอย่างไม่เกรงกลัวต่อกบินทร์เมืองแต่อย่างใด
นั่นเป็นสัญญาณรบแรกที่ถูกส่งมาจากนายใหญ่แห่งดูไบที่กำลังคลุ้มคลั่ง เพราะเขาตระหนักดีว่า มีสิ่งใหญ่ที่จะตามมาหลังการถูกยึดเงิน 4.6 หมื่นล้านอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาในหลากหลายกรณีที่ได้ก่อไว้ ซึ่งส่งผลให้ต้องติดคุกหลายสิบปีและถูกปรับเงินเป็นค่าความเสียหายที่เกิดกับรัฐอีกจำนวนมหาศาล
และทางแก้ทางเดียวที่จะเขาจะกระทำได้ก็คือ การ'ฉีก'คำตัดสินทิ้ง ด้วยการ 'ล้มระบบยุติธรรม-คว่ำรัฐบาล' ซึ่งขั้นแรกต้องโค่นรัฐบาลประชาธิปัตย์ ด้วยข้ออ้างที่ตอกย้ำมานานว่าเป็นรัฐบาลที่เกิดจากการโอบอุ้มของ'อำมาตย์' ซึ่งมีชนชั้นที่อยู่ 'เหนือ'กว่านั้นชักใยอยู่เบื้องหลัง แล้วดันพรรคไทยเพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศแทน จากนั้นจึงยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบตั้งแต่ต้นมีผลเป็นโมฆะ หรือไม่ก็ใช้ 'ความรุนแรง' สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับบ้านเมืองเพื่อแลกกับการขอ “นิรโทษกรรม”
ขณะที่การสื่อสารของ นช.ทักษิณที่มีต่อสาวกคนเสื้อแดงก็เป็นไปอย่างหนักหน่วงและมิอาจตีความเป็นเอย่างอื่นได้ว่า เขาต้องการให้การชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงมีนาคมนั้น ดำเนินไปในท่วงทำนอง “มีนาทมิฬ”
ในช่วงค่ำวันที่ 26 ก.พ. นักโทษหนีคดีก็วิดีโอลิงก์สดๆ จากดูไบมายังที่ทำการพรรคเพื่อไทยเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากพลพรรคเสื้อแดงทันที ด้วยการโจมตีกระบวนการยุติธรรมของศาลไทยว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง และตัดสินตามใบสั่งของ'อำมาตย์' ที่ริษยาในความป๊อบปูล่าร์ของเขา
นช.ทักษิณยังประกาศกร้าวว่าเขาจะแสวงหาความยุติธรรมต่อไป ไม่ว่าใน 'นรก' หรือ 'สวรรค์ ' ไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ และแม้วิดีโอลิงก์ดังกล่าว นช.ทักษิณจะบอกให้บรรดาสาวกสู้อย่างอดทนและสันติ แต่ช่วงสายของวันที่ 27 ก.พ.เขากลับส่ง SMS'ทักษิณไลฟ์'เพื่อปลุกระดมสมาชิกทั่วประเทศให้เร่งเคลื่อนไหวล้มกระดานให้ได้ภายในเดือน มี.ค.นี้
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ 'เจ้าของท่อน้ำเลี้ยง' ร้องแรกผ่านวิดีโอลิงก์ว่าศาลไร้ความเป็นธรรม เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์อย่าง 'เค ทอง' หรือ '' ลูกน้องคนสนิทของเสธ.แดง- พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ก็ออกมารับลูกเปิดเกมด้วยการข่มขู่ผ่านยูทูบว์ในช่วงค่ำวันที่ 26 ก.พ.ว่านับแต่นี้จะมีระเบิดรายวัน สถานการณ์จะรุนแรงถึงขั้นทหารกี่ร้อยกี่พันก็เอาไม่อยู่ เขาประกาศสงครามกลางเมืองโดยพุ่งเป้าไปที่การทำลายล้างสัญลักษณ์ของอำมาตย์ ซึ่งช่างพ้องกับท่าทีของ 'นายใหญ่' ที่พุ่งเป้ากล่าวโทษอำมาตย์เช่นกัน
คำขู่ดังกล่าวนั้นชัดเจนทั้งเป้าหมายและวันเวลา เพราะในค่ำคืนของวันที่ 27 ก.พ.ได้เกิดระเบิดขึ้นจริงๆ โดยมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวม 4 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ คือ สำนักงานใหญ่ ที่สีลม และ ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาพระราม 2 และปริมณฑล คือ ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสำโรงเหนือ และสาขาพระประแดง
และในที่สุดศาลมีนบุรีก็อนุมัติหมายจับเคทองไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงก่อนหน้านี้ที่พุ่งเป้าโจมตีไปที่ธนาคารกรุงเทพโดยกล่าวหาว่า นายชาตรี โสภณพนิช เจ้าของธนาคารแห่งนี้ เป็นกลุ่มทุนที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้อำมาตย์ เพราะนายชาตรีเป็นหนึ่งในคณะ 11 ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่กลุ่มเสื้อแดงหมายหัว โดยเมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมากลุ่มเสื้อแดงได้เปิดประเด็นสุมไฟด้วยการเคลื่อนพลนับพันไปชุมนุมรอบสนามสนามกอล์ฟสอยดาว ไฮแลนด์ ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ตามด้วยการไปชุมนุมหน้าธนาคารกรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ ในช่วงปลายเดือน ก.พ. ซึ่งมีการไฮปาร์คโจมตี พล.อ.เปรม พร้อมขึ้นป้ายข้อความขนาดใหญ่ว่า “ต้านทุนสมุนอำมาตย์ พิฆาตอภิสิทธิ์ชน”
สำหรับระเบิดป่วนเมืองเมื่อวันที่ 27 ก.พ.นั้นเป็นระเบิดชนิดเดียวกันทั้ง 4 จุด ถ้าพิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่าคนที่รับงานเลือกใช้ระเบิด M-67 หรือระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดแบบข้างสังหารซึ่งเป็นอาวุธสงครามที่ทหารใช้ในสมรภูมิรบ ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ก็ล้วนแต่อยู่ในแวดวงทหาร ไม่ว่าจะเป็น พล.อพัลลภ ปิ่นมณี , พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล , อดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย รวมทั้งแม่ทัพใหญ่อย่าง 'บิ๊กจิ๋ว' พล.อ.ชวิต ยงใจยุทธ ที่ พล.อ.พัลลภนำพลพรรคเข้าพึ่งพาบารมีเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สายฮาร์ดคอร์ที่ต้องต่อกรกับเสื้อแดงสู้แล้วรวยของจตุพร พรหมพันธุ์
ดังนั้นระเบิดป่วนเมืองครั้งนี้หากจะคาดเดาว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลที่สร้างเรื่องเพื่อหมายปราบปรามคนเสื้อแดง...ฝีมือของกลุ่มเสื้อน้ำเงิน กลุ่มทุนใหม่ที่หมายโค่นกลุ่มทุนทักษิณ.... หรือเป็นฝีมือของกลุ่มอมาตย์เองที่ต้องการย้อนศรใส่ร้ายเสื้อแดง ก็ดูว่าไม่น่าจะมีน้ำหนักและพยานหลักฐานเพียงพอ
หลายฝ่ายจึงฟันธงตรงกันว่าเป็น'ยุทธการระเบิดเมือง' ของผู้ที่ภักดีต่อทักษิณ โดยมีเป้าหมายเพื่อสั่นคลอนรัฐบาล เพราะหากบ้านเมืองลุกเป็นไฟจนรัฐไม่สามารถควบคุมได้แล้วทางเดียวที่จะทำได้ก็คือการ'ยุบสภา' ให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลและใช้อำนาจล้มกระบวนการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินคดีทุจริตของ นช.ทักษิณ
อย่างไรก็ตาม นอกจากระเบิดป่วนเมืองแล้ว หลายฝ่ายคาดว่า แนวรบเกมใต้ดินอื่นๆ ก็จะตามมาอีกเป็นระลอก เริ่มตั้งแต่การข่มขู่กดดันลูกเมียของบรรดารัฐมนตรีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่าจะได้รับอันตราย และล่าสุดกับกระแสข่าวที่ได้รับการยืนยันจากฝ่ายความมั่นคงว่า มีการเตรียมก่อวินาศกรรมสื่อที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ทั้ง ASTVผู้จัดการ แนวหน้า รวมกระทั่งถึงสื่อในเครือเนชั่นและอีกหลายค่ายที่พวกเขาคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม
ขณะที่เกมใต้ดินกำลังถล่มบ้านเมืองอย่างเมามัน การเคลื่อนของภาคมวลชนก็เตรียมที่จะถาโถมอย่างหนัก ด้วยยุทธศาสตร์ 'แม่น้ำร้อยสาย' โดยกลุ่มเสื้อแดงจะระดมพลชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯในวันที่ 14 มี.ค.และจะชุมนุมต่อเนื่อง 3-5 วัน ซึ่งการเคลื่อนพลจากต่างจังหวัดเข้ามานั้นจะมีทั้งทางบกและทางเรือ สำหรับทางบกจะใช้รถปิ๊กอัพไม่ต่ำกว่า 1 แสนคันในการขนคนเข้ามา
แว่วว่างานนี้ 'นายใหญ่' สั่งให้ ส.ส.ทุกคนพามวลชนไปร่วมชุมนุม โดย ส.ส.แต่ละคนต้องเช่าปิ๊กอัพคนละ 200 คัน และเกณฑ์คนมา 2,000 คน
สำหรับการจัดกระบวนทัพนั้น ภาคเหนือจะรวมตัวกันที่นครสวรรค์ ภาคอีสานจะมารวมกันที่ปากช่อง นครราชสีมา ภาคกลางและภาคตะวันตก รวมกันที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ภาคตะวันออกจะมารวมตัวที่พัทยา ชลบุรี ภาคใต้รวมกันที่ถนนเพชรเกษม ก่อนจะไหลมาร่วมกันที่กรุงเทพฯ ส่วนกรุงเทพฯนั้นจะมีจุดที่นัดรวมตัวกันถึง 10 จุด ซึ่งนอกจากมวลชนทั่วไปแล้วยังมีชมรมคนรักแท็กซี่เป็นกำลังหลักด้วย
ขณะที่ทางเรือจะนัดรวมพลที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และนำเรือกว่า 1,000 ลำล่องตามแม่น้ำเจ้าหระยามาขึ้นที่ท่าพระจันทร์ ซึ่งมวลชนทั้งหมดเมื่อมารวมตัวกันที่กรุงเทพฯแล้วก็จะแยกกำลังออกไปชุมนุมใน 3 จุด คือที่ท้องสนามหลวง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และลานพระบรมรูปทรงม้า
นอกจากนี้ ทางด้านทีวีเสื้อแดง “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ก็ประกาศชัดเจนว่า ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.เป็นต้นไป จะมีการปรับผังรายการใหม่เพื่อเข้าสู่ “โหมดของการสู้รบ” ภายใต้สโลแกน “เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน โค่นรัฐบาลอำมาตย์ ยุบสภา” ซึ่งนั่นสะท้อนให้เห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อย่างชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องการการตีความเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการล้มกระดานครั้งนี้ การชุมนุมด้วยความสงบ สันติและอหิงสานั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่วิถีทางที่จะทำให้นายใหญ่แห่งดูไบชนะในการทำศึกได้ ดังนั้น จำต้องมี 'ศพเสื้อแดง' เพราะสถานการณ์ที่รุนแรงนองเลือดเท่านั้นจึงจะพลิกกระดานคว่ำรัฐบาลได้
ดังนั้น มีนาคมนี้จึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่ก้าวไปสู่มิคสัญญีแห่ง “มีนาทมิฬ” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถึงกับให้สัมภาษณ์ชนิดยิงหมัดเด็ดเข้าเป้าทันทีว่า “เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย จากที่มีการประเมินกันก่อนหน้านี้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงหลังมีคำพิพากษายึดทรัพย์”
แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งก็คือ ระเบิดทั้ง 4 ลูกคือการตอบโต้คำพิพากษาของศาลอย่างไม่เกรงกลัวต่อกบินทร์เมืองแต่อย่างใด
นั่นเป็นสัญญาณรบแรกที่ถูกส่งมาจากนายใหญ่แห่งดูไบที่กำลังคลุ้มคลั่ง เพราะเขาตระหนักดีว่า มีสิ่งใหญ่ที่จะตามมาหลังการถูกยึดเงิน 4.6 หมื่นล้านอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาในหลากหลายกรณีที่ได้ก่อไว้ ซึ่งส่งผลให้ต้องติดคุกหลายสิบปีและถูกปรับเงินเป็นค่าความเสียหายที่เกิดกับรัฐอีกจำนวนมหาศาล
และทางแก้ทางเดียวที่จะเขาจะกระทำได้ก็คือ การ'ฉีก'คำตัดสินทิ้ง ด้วยการ 'ล้มระบบยุติธรรม-คว่ำรัฐบาล' ซึ่งขั้นแรกต้องโค่นรัฐบาลประชาธิปัตย์ ด้วยข้ออ้างที่ตอกย้ำมานานว่าเป็นรัฐบาลที่เกิดจากการโอบอุ้มของ'อำมาตย์' ซึ่งมีชนชั้นที่อยู่ 'เหนือ'กว่านั้นชักใยอยู่เบื้องหลัง แล้วดันพรรคไทยเพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศแทน จากนั้นจึงยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบตั้งแต่ต้นมีผลเป็นโมฆะ หรือไม่ก็ใช้ 'ความรุนแรง' สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับบ้านเมืองเพื่อแลกกับการขอ “นิรโทษกรรม”
ขณะที่การสื่อสารของ นช.ทักษิณที่มีต่อสาวกคนเสื้อแดงก็เป็นไปอย่างหนักหน่วงและมิอาจตีความเป็นเอย่างอื่นได้ว่า เขาต้องการให้การชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงมีนาคมนั้น ดำเนินไปในท่วงทำนอง “มีนาทมิฬ”
ในช่วงค่ำวันที่ 26 ก.พ. นักโทษหนีคดีก็วิดีโอลิงก์สดๆ จากดูไบมายังที่ทำการพรรคเพื่อไทยเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากพลพรรคเสื้อแดงทันที ด้วยการโจมตีกระบวนการยุติธรรมของศาลไทยว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง และตัดสินตามใบสั่งของ'อำมาตย์' ที่ริษยาในความป๊อบปูล่าร์ของเขา
นช.ทักษิณยังประกาศกร้าวว่าเขาจะแสวงหาความยุติธรรมต่อไป ไม่ว่าใน 'นรก' หรือ 'สวรรค์ ' ไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ และแม้วิดีโอลิงก์ดังกล่าว นช.ทักษิณจะบอกให้บรรดาสาวกสู้อย่างอดทนและสันติ แต่ช่วงสายของวันที่ 27 ก.พ.เขากลับส่ง SMS'ทักษิณไลฟ์'เพื่อปลุกระดมสมาชิกทั่วประเทศให้เร่งเคลื่อนไหวล้มกระดานให้ได้ภายในเดือน มี.ค.นี้
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ 'เจ้าของท่อน้ำเลี้ยง' ร้องแรกผ่านวิดีโอลิงก์ว่าศาลไร้ความเป็นธรรม เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์อย่าง 'เค ทอง' หรือ '' ลูกน้องคนสนิทของเสธ.แดง- พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ก็ออกมารับลูกเปิดเกมด้วยการข่มขู่ผ่านยูทูบว์ในช่วงค่ำวันที่ 26 ก.พ.ว่านับแต่นี้จะมีระเบิดรายวัน สถานการณ์จะรุนแรงถึงขั้นทหารกี่ร้อยกี่พันก็เอาไม่อยู่ เขาประกาศสงครามกลางเมืองโดยพุ่งเป้าไปที่การทำลายล้างสัญลักษณ์ของอำมาตย์ ซึ่งช่างพ้องกับท่าทีของ 'นายใหญ่' ที่พุ่งเป้ากล่าวโทษอำมาตย์เช่นกัน
คำขู่ดังกล่าวนั้นชัดเจนทั้งเป้าหมายและวันเวลา เพราะในค่ำคืนของวันที่ 27 ก.พ.ได้เกิดระเบิดขึ้นจริงๆ โดยมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวม 4 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ คือ สำนักงานใหญ่ ที่สีลม และ ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาพระราม 2 และปริมณฑล คือ ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสำโรงเหนือ และสาขาพระประแดง
และในที่สุดศาลมีนบุรีก็อนุมัติหมายจับเคทองไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงก่อนหน้านี้ที่พุ่งเป้าโจมตีไปที่ธนาคารกรุงเทพโดยกล่าวหาว่า นายชาตรี โสภณพนิช เจ้าของธนาคารแห่งนี้ เป็นกลุ่มทุนที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้อำมาตย์ เพราะนายชาตรีเป็นหนึ่งในคณะ 11 ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่กลุ่มเสื้อแดงหมายหัว โดยเมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมากลุ่มเสื้อแดงได้เปิดประเด็นสุมไฟด้วยการเคลื่อนพลนับพันไปชุมนุมรอบสนามสนามกอล์ฟสอยดาว ไฮแลนด์ ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ตามด้วยการไปชุมนุมหน้าธนาคารกรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ ในช่วงปลายเดือน ก.พ. ซึ่งมีการไฮปาร์คโจมตี พล.อ.เปรม พร้อมขึ้นป้ายข้อความขนาดใหญ่ว่า “ต้านทุนสมุนอำมาตย์ พิฆาตอภิสิทธิ์ชน”
สำหรับระเบิดป่วนเมืองเมื่อวันที่ 27 ก.พ.นั้นเป็นระเบิดชนิดเดียวกันทั้ง 4 จุด ถ้าพิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่าคนที่รับงานเลือกใช้ระเบิด M-67 หรือระเบิดลูกเกลี้ยง ระเบิดแบบข้างสังหารซึ่งเป็นอาวุธสงครามที่ทหารใช้ในสมรภูมิรบ ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ก็ล้วนแต่อยู่ในแวดวงทหาร ไม่ว่าจะเป็น พล.อพัลลภ ปิ่นมณี , พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล , อดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย รวมทั้งแม่ทัพใหญ่อย่าง 'บิ๊กจิ๋ว' พล.อ.ชวิต ยงใจยุทธ ที่ พล.อ.พัลลภนำพลพรรคเข้าพึ่งพาบารมีเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สายฮาร์ดคอร์ที่ต้องต่อกรกับเสื้อแดงสู้แล้วรวยของจตุพร พรหมพันธุ์
ดังนั้นระเบิดป่วนเมืองครั้งนี้หากจะคาดเดาว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลที่สร้างเรื่องเพื่อหมายปราบปรามคนเสื้อแดง...ฝีมือของกลุ่มเสื้อน้ำเงิน กลุ่มทุนใหม่ที่หมายโค่นกลุ่มทุนทักษิณ.... หรือเป็นฝีมือของกลุ่มอมาตย์เองที่ต้องการย้อนศรใส่ร้ายเสื้อแดง ก็ดูว่าไม่น่าจะมีน้ำหนักและพยานหลักฐานเพียงพอ
หลายฝ่ายจึงฟันธงตรงกันว่าเป็น'ยุทธการระเบิดเมือง' ของผู้ที่ภักดีต่อทักษิณ โดยมีเป้าหมายเพื่อสั่นคลอนรัฐบาล เพราะหากบ้านเมืองลุกเป็นไฟจนรัฐไม่สามารถควบคุมได้แล้วทางเดียวที่จะทำได้ก็คือการ'ยุบสภา' ให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลและใช้อำนาจล้มกระบวนการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินคดีทุจริตของ นช.ทักษิณ
อย่างไรก็ตาม นอกจากระเบิดป่วนเมืองแล้ว หลายฝ่ายคาดว่า แนวรบเกมใต้ดินอื่นๆ ก็จะตามมาอีกเป็นระลอก เริ่มตั้งแต่การข่มขู่กดดันลูกเมียของบรรดารัฐมนตรีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่าจะได้รับอันตราย และล่าสุดกับกระแสข่าวที่ได้รับการยืนยันจากฝ่ายความมั่นคงว่า มีการเตรียมก่อวินาศกรรมสื่อที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ทั้ง ASTVผู้จัดการ แนวหน้า รวมกระทั่งถึงสื่อในเครือเนชั่นและอีกหลายค่ายที่พวกเขาคิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม
ขณะที่เกมใต้ดินกำลังถล่มบ้านเมืองอย่างเมามัน การเคลื่อนของภาคมวลชนก็เตรียมที่จะถาโถมอย่างหนัก ด้วยยุทธศาสตร์ 'แม่น้ำร้อยสาย' โดยกลุ่มเสื้อแดงจะระดมพลชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯในวันที่ 14 มี.ค.และจะชุมนุมต่อเนื่อง 3-5 วัน ซึ่งการเคลื่อนพลจากต่างจังหวัดเข้ามานั้นจะมีทั้งทางบกและทางเรือ สำหรับทางบกจะใช้รถปิ๊กอัพไม่ต่ำกว่า 1 แสนคันในการขนคนเข้ามา
แว่วว่างานนี้ 'นายใหญ่' สั่งให้ ส.ส.ทุกคนพามวลชนไปร่วมชุมนุม โดย ส.ส.แต่ละคนต้องเช่าปิ๊กอัพคนละ 200 คัน และเกณฑ์คนมา 2,000 คน
สำหรับการจัดกระบวนทัพนั้น ภาคเหนือจะรวมตัวกันที่นครสวรรค์ ภาคอีสานจะมารวมกันที่ปากช่อง นครราชสีมา ภาคกลางและภาคตะวันตก รวมกันที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ภาคตะวันออกจะมารวมตัวที่พัทยา ชลบุรี ภาคใต้รวมกันที่ถนนเพชรเกษม ก่อนจะไหลมาร่วมกันที่กรุงเทพฯ ส่วนกรุงเทพฯนั้นจะมีจุดที่นัดรวมตัวกันถึง 10 จุด ซึ่งนอกจากมวลชนทั่วไปแล้วยังมีชมรมคนรักแท็กซี่เป็นกำลังหลักด้วย
ขณะที่ทางเรือจะนัดรวมพลที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และนำเรือกว่า 1,000 ลำล่องตามแม่น้ำเจ้าหระยามาขึ้นที่ท่าพระจันทร์ ซึ่งมวลชนทั้งหมดเมื่อมารวมตัวกันที่กรุงเทพฯแล้วก็จะแยกกำลังออกไปชุมนุมใน 3 จุด คือที่ท้องสนามหลวง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และลานพระบรมรูปทรงม้า
นอกจากนี้ ทางด้านทีวีเสื้อแดง “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ก็ประกาศชัดเจนว่า ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.เป็นต้นไป จะมีการปรับผังรายการใหม่เพื่อเข้าสู่ “โหมดของการสู้รบ” ภายใต้สโลแกน “เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน โค่นรัฐบาลอำมาตย์ ยุบสภา” ซึ่งนั่นสะท้อนให้เห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อย่างชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องการการตีความเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการล้มกระดานครั้งนี้ การชุมนุมด้วยความสงบ สันติและอหิงสานั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่วิถีทางที่จะทำให้นายใหญ่แห่งดูไบชนะในการทำศึกได้ ดังนั้น จำต้องมี 'ศพเสื้อแดง' เพราะสถานการณ์ที่รุนแรงนองเลือดเท่านั้นจึงจะพลิกกระดานคว่ำรัฐบาลได้
ดังนั้น มีนาคมนี้จึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่ก้าวไปสู่มิคสัญญีแห่ง “มีนาทมิฬ” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้