xs
xsm
sm
md
lg

แก๊งอีเพ็ญไล่ 3 เกลอ หยามทุรังเหลือแต่เต็นท์ สื่อนอกแฉม็อบม้วนเสื่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- "แดงสยาม" ผนึก "จักรภพ" ไล่ตะเพิด 3 เกลอ ยุตินำม็อบ อ้างใบสั่ง "แม้ว" ให้เปลี่ยนหัว ชี้หากทุรังต่อจะเหลือแค่เต้นท์เปล่า โม้ต่อแดงนปช.เตรียมหันมาร่วมแดงสยามสู้ "เสธ.แดง"ขย่มซ้ำ หยัน 3 เกลอเดินแผนผิด กรีดเลือดไร้สาระ ประชดถ้ารัฐบาลไม่ยุบสภา ไม่ต้องเผาตัวเองกันหรือ ส่วนนักรับจ้างม็อบเผ่นกลับบ้านแล้ว หลังครบกำหนดสัญญาว่าจ้างให้มาช่วยสร้างภาพ "พลังประชาชนแดงทั้งแผ่นดิน" ทิ้งนปช.-เสื้อแดงตัวจริงทนแดดต่อไป แต่หากจะให้มาชุมนุมอีก "นายใหญ่" ต้องเทงบเพิ่ม 'สื่อนอก'ชี้ 'เสื้อแดง'คนลดฮวบใกล้ม้วนเสื่อ

นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม เปิดเผยถึงกรณีที่ถูกการ์ด นปช. แดงทั้งแผ่นดิน แสดงท่าทีไม่พอใจขณะที่ตนกำลังปราศรัยกับสมาชิกกลุ่มแดงสยามบริเวณหน้าสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อคืนวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า เป็นเรื่องที่การ์ด นปช. คงไม่รู้ว่าตนเป็นระดับแกนนำ เป็นถึงแกนนำนปช. รุ่นแรก และเนื้อหาที่ตนปราศรัย ก็เป็นแนวทางของกลุ่มแดงสยามมาตลอด คือมองว่าแนวทางการต่อสู้ของสามเกลอ มีแต่จะทำให้แพ้ ไม่สามารถโค่นล้มอำมาตย์ได้ ควรใช้แนวทางการปฏิวัติตามที่นายจักรภพ เพ็ญแข เคยเสนอต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง

"ล่าสุดแม้พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อว่า แนวทางปฏิรูปที่จะให้ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เป็นแนวทางที่จะทำให้ชนะได้ แต่ถึงวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงรู้แล้วว่า ต่อให้กลุ่มคนเสื้อแดงสามเกลอ สามารถทำให้รัฐบาลยุบสภาได้ ก็เป็นเพียงการชนะด้วยข้อเรียกร้อง แต่แพ้ยุทธศาสตร์ ต่อให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลได้ ก็จะแพ้พวกอำมาตย์อยู่ดี ทั้งนี้เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงคิดได้ และคงเปลี่ยนแนวทางเป็นการต่อสู้แบบปฏิวัติ เหมือนสมัย พ.ศ.2475 เหมือนที่กลุ่มแดงสยามเสนอ"

นายสุรชัย กล่าวด้วยว่า แกนนำสามเกลอแดงทั้งแผ่นดิน จะต้องยุติเวทีทันที เพราะหากยื้อไปต่อเป็นวันที่ 4 วัน เอาเลือดไปราด ก็จะเหลือแต่เต้นท์ เพราะเวลานี้มวลชนเหลือไม่ถึงสองหมื่น และเชื่อว่าจะลดลงเรื่อยๆ แถมการเจาะเลือด ก็เป็นเหมือนการต่อสู้ที่ไม่มียุทธศาสตร์ จะยิ่งทำให้เสียแนวร่วม เพราะมีทั้งคนกลัวเข็ม กลัวติดเชื้อ

"สามเกลอตอบไม่ได้ว่า หากเอาเลือดไปเทแล้วพรุ่งนี้จะสู้อย่างไร แต่หลังจากนี้ต่อไป คนที่น่าสงสารคือแกนนำสามเกลอ เพราะจะถูกตั้งคำถามกันเองจากคนเสื้อแดง และยังถูกรุมจากรัฐบาล ดังนั้นแกนนำสามเกลอควรฟังคนอื่นบ้าง ต้องยุติเวทีทันที อย่าดื้อ อย่าสู้ แบบสะเปะสะปะ ถ้านายวีระ (มุสิกพงษ์) นายจตุพร (พรหมพันธุ์) นายณัฐวุฒิ (ไสเกื้อ) อยากหาทางลง นำเสื้อแดงโค่นล้มอำมาตย์ไม่ได้ ก็ให้หยุดแล้วเปลี่ยนแกนนำใหม่ ไม่ใช่จมมะงุมมะงาหราอยู่กับแกนนำเพียงกลุ่มเดียว เดินผิดก็หาแนวทางเดินใหม่ ก่อนที่จะสาย " นายสุรชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายจักรภพ ได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ที่จะเสนอเปลี่ยนแกนนำ แล้วนำมวลชนแดงทั้งแผ่นดินมาเป็นส่วนหนึ่งของ แดงสยาม นายสุรชัย กล่าวว่า ขณะนี้ตนคิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ รู้แล้ว เพราะเคยบอกมาหลายครั้ง แต่พ.ต.ท.ทักษิณ คงอยากเห็นการต่อสู้ของกลุ่มนปช.แดงทั้งแผ่นดินก่อน แต่วันนี้น่าจะเห็นแล้วว่า ไม่ชนะ วันนี้กลุ่มแดงสยามไม่ได้ตั้งมวลชนมาแข่งกับ นปช. แต่จะรอมวลชนของนปช. ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางเปลี่ยนมาเป็นแดงสยามทั้งหมด เพราะวันนี้มวลชนเริ่มไม่พอใจ เนื่องจากต้องการมาชนะ ซึ่งขณะนี้นายจักรภพ ได้ร่างยุทธศาสตร์แนวทางการต่อสู้ ต่อไปคงขึ้นอยู่กับพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะเอาอย่างไร

* "เสธ.แดง"หยัน 3 เกลอขี้แพ้

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่แกนนำสามเกลอ ให้ผู้ชุมนุมเจาะเลือดเพื่อนำไปราดที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ขอแถลงการณ์แทนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าไม่ใช่นโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้ประชาชนอย่าเข้าใจผิด เพราะท่านไม่เคยสั่งให้ประชาชนเสียเลือดเนื้อ แต่เป็นแนวความคิดของแกนนำนปช. เอง และหากกรีดเลือดแล้วรัฐบาลไม่ยุบสภา จะทำอย่างไร นายจตุพร ไม่ต้องเผาตัวเองเลยหรือ และสาเหตุที่กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวโดยสันติ ไม่รุนแรง เพราะเขาเกรงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะท่าน ไม่มีนโยบายให้ใช้ความรุนแรง

" ขนาดกลุ่มยังเติร์กเคยสู้กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ มา 30 ปี สู้ตั้งแต่หัวดำยันหัวขาว ยังไม่ชนะ แล้ววันนี้แกนนำเรียกมาชุมนุมแค่ร้องเพลง หวังจะให้เขาอกแตกตาย ไม่มีทางเป็นไปได้ การสู้ของแกนนำนปช. กับป๋าวันนี้ เหมือนหมาเยี่ยวรดภูผา วันนี้นปช.สู้ไม่ได้ ก็ควรยอมรับ นำประชาชนถอยทัพกลับไป แล้วควรจะมีการจัดทัพใหม่ และมีการสู้แบบหงายไพ่รบกัน โดยที่กลุ่มนปช. จะมารวมกับกองกำลังประชาชนเพื่อระชาธิปไตยแห่งชาติ (กปช.) เพื่อร่วมรบใหม่ในวัน ว. เวลา น. ที่จะใช้เวลาเพียง 3 วันในการทำการรบ คือ วันที่หนึ่ง ปิดล้อมรัฐสภา วันที่สองเรียกประชุมสภา นำรัฐธรรมนูญฉบับ 40 กลับมาใช้ และวันที่สาม จัดตั้งรัฐบาลใหม่ และนำ พ.ต.ท. ทักษิณกลับประเทศ และล้างไพ่ใหม่ให้หมด ซึ่งยุทธวิธีของ เสธ.แดง ไม่เคยแพ้ใคร" พล.ต.ขัตติยะกล่าว

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า หากกลุ่มแกนนำ นปช.ยอมรับว่าหมดความชอบธรรมในการนำคนเสื้อแดงต่อสู้ เพราะนำคนเสื้อแดงรบแพ้มาถึง 2 ครั้งแล้ว ดังนั้นแกนนำควรจะถอย เพื่อมอบอำนาจให้กับแกนนำกลุ่มใหม่ จึงขอมติจากกลุ่มคนเสื้อแดงทั่วทุกจังหวัดว่า จะให้อำนาจกับนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนาย สุพร อัตถาวงศ์ เป็นแกนนำชุดใหม่ ในการนำทัพคนเสื้อแดงกลับมารบใหม่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำพรรคเพื่อไทย เห็นด้วยกับตน และให้ตนเป็นฝ่ายเสนาธิการในการคุมทัพ อย่างไรก็ตาม การที่จะเปลี่ยนแกนนำใหม่ ต้องได้รับมติจากกลุ่มคนเสื้อแดงทั่วประเทศเสียก่อน

" จะมีการจัดทัพมารบใหม่ ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ โดยจะมีการรวมพลในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 เม.ย. เพราะวันนั้นเป็นวันที่ทหารเกณฑ์ผลัด 1/51 จะถูกปลดประจำการ ทำให้ในหน่วยทหารเหลือเพียงพลทหาร 3 ผลัด คือ ผลัด 2/51 ผลัด 1/52 และผลัด 2/52 ดังนั้นหากอยากจะชนะ ครอบครัวคนเสื้อแดงต้องให้ความร่วมมืออย่าส่งลูกหลานเข้ากรม กอง และเมื่อไม่มีทหารออกมาปราบ กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเป็นฝ่ายชนะ และหากรัฐบาลคิดจะสู้ คงจะมีการนองเลือดแน่นอน ดังนั้นรัฐบาลควรยุบสภาตั้งแต่มีการจัดทัพรบใหม่ ซึ่งการต่อสู้ครั้งต่อไปทั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และพล.อ.พัลลภ ได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

* "นักรับจ้างม็อบ" ม้วนเสื่อกลับบ้านทิ้ง นปช.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดต่างๆ ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ, 19 จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน), ภาคตะวันออก ตลอดจนภาคกลาง และภาคใต้ว่า หลังจากแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงในแต่ละจังหวัด รวมทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยในเขตต่างๆ ได้ระดมประชาชนเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ เพื่อบีบให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรียุบสภามาตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. โดยมีเป้าหมายชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมาจนล่วงเลยมาจนถึงวานนี้ (16 มี.ค.)

แม้การชุมนุมในกรุงเทพฯ จะยังคงดำเนินการต่อเนื่อง แต่ก็มีผู้ชุมนุมไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกของกลุ่มคนเสื้อแดงในสายเลือดเท่านั้น แต่สำหรับประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่ที่ถูกเกณฑ์มาหรือถูกว่าจ้างให้เดินทางมาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ในอัตรา 400-1,000 บาทต่อวัน หลังจากครบกำหนดและเงื่อนไขการว่าจ้างให้มาร่วมชุมนุมแล้วตั้งแต่วันที่ 14-15 มี.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้ทยอยเดินทางกลับบ้านกันบ้างแล้วทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว และรถบัสที่เหมามา ตลอดจนรถโดยสารประจำทาง

แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงที่เกาะติดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด เปิดเผยว่า กลุ่มคนเสื้อแดงในสายเลือด บางส่วนได้เดินทางกลับกันบ้างแล้ว เพื่อไปรวมตัวเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ตามแรงปลุกระดมของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ก็เชื่อว่าคงจะมีไม่มาก เนื่องจากขาดงบในการเคลื่อนไหว อีกทั้งท่อนำเลี้ยงที่นายใหญ่ส่งมาให้ก่อนหน้านี้ก็ถูกหักหัวคิวโดยแกนนำจากส่วนกลาง และระดับจังหวัดลงมา ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่าแกนนำเสื้อแดงในระดับจังหวัดหลายคนในช่วงหลังนับตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวเป็นต้นมาหลายคนมีฐานะดีขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่งมาก่อน ทั้งนี้ หากต้องการให้มีการเคลื่อนไหวต่อ นายใหญ่จะมีงบมาให้ และต้องเป็นก้อนโตกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นนักรับจ้างเคลื่อนไหวก็คงจะไม่เอาด้วย หากว่าจ้างในราคาต่ำ

ชาวบ้านรายหนึ่งในพื้นที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งได้เดินทางกลับถึงบ้านแล้วเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา เผยว่า ตามสัญญานั้นคือ การเหมาจ่ายเบี้ยเลี้ยง 2 พันบาทโดยให้อยู่ในกรุงเทพฯ จนถึงเย็นวันอาทิตย์ตนจึงกลับบ้าน และทราบว่าบางคนได้ตีตั๋วรถกลับบ้านเองมาล่วงหน้าแล้วเนื่องจากรับไม่ได้กับเหตุการณ์หลายๆ อย่าง

* สั่งบขส.จัดรถส่งม็อบแดงกลับบ้าน  

นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์ติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงคมนาคม วานนี้ (16 มี.ค.) ว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมที่จะประสานงานกับบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เพื่อจัดรถโดยสารไว้คอยให้บริการกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับภูมิลำเนา โดยผู้ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับจะต้องติดต่อผ่านมายังศูนย์ติดตามสถานการณ์หมายเลขโทรศัพท์ 1356 และ 1584

“ที่ผ่านมามีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้แจ้งมายังศูนย์ฯ ว่าขอให้เราจัดหารถโดยสารให้ แต่ที่ขอมามีจำนวนไม่กี่คน ซึ่งถ้ากลุ่มผู้ชุมนุมอยากเดินทางกลับจริงๆเราจะประสานงานให้แต่ต้องให้มาเป็นหมู่คณะ ซึ่งเราจะประสานไปยัง บขส.ให้จัดรถมาให้”นายโสภณ กล่าว

'สื่อนอก'ชี้ 'เสื้อแดง'คนลดฮวบใกล้ม้วนเสื่อ

สื่อมวลชนต่างประเทศจำนวนมาก ยังคงติดตามรายงานข่าวการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม “เสื้อแดง” และพากันเสนอข่าวตลอดจนภาพเหตุการณ์การเทเลือดเมื่อวานนี้(17) โดยหลายๆ รายเสนอข่าวแบบอารมณ์ขันเล็กๆ ว่า มีการนองเลือดแต่ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายพร้อมกันนั้น สื่อจำนวนมากก็ชี้ด้วยว่า ผู้คนที่เข้าร่วมการชุมนุม ซึ่งเคยอยู่ในระดับสูงสุดกว่า 1 แสนคนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พอถึงวานนี้ได้หดหายไปจำนวนมาก เอบีซีนิวส์ของออสเตรเลียบอกว่า จำนวนคนได้ลดลงไปราวสองในสาม ส่วนหนังสือพิมพ์ซิดนีย์มอร์นิ่งเฮรัลด์ ของออสเตรเลียเช่นกัน กล่าวว่าเหลืออยู่เพียงหนึ่งในสี่

ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่ามีร่องรอยของความอ่อนล้าของผู้ชุมนุมปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน บางคนบ่นเรื่องที่การชุมนุมไม่บรรลุผลโดยเร็ว และบางคนก็ต้องคอยหลบแสงแดดที่แผดจ้าในกรุงเทพฯ ระยะนี้ นอกจากนั้น ผู้ชุมนุมบางส่วนก็ได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปแล้วด้วย

รอยเตอร์ซึ่งระบุว่าตอนที่มีผู้ร่วมชุมนุมสูงที่สุดคือในคืนวันอาทิตย์(14)มีจำนวนราว 150,000 คน ได้อ้างประมาณการของทางตำรวจว่าเวลานี้เหลืออยู่ราว 30,000 คนเท่านั้น พร้อมกันนั้นสำนักข่าวแห่งนี้ยังได้อ้างคำพูดของนายจรัล ดิษฐาภิชัย แกนนำของการชุมนุมคนหนึ่ง ที่กล่าวยอมรับว่า “ผู้ชุมนุมต้องอยู่กันบนถนนมาตั้งแต่วันเสาร์ พวกเขาลำบากมาก แต่เราจะเดินหน้าต่อไป เพราะนี่เป็นเรื่องผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศไทย”

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ก็ชี้ว่า ผู้ประท้วงบางคนบอกว่าเงินของพวกเขากำลังหมด เป็นต้นว่า นงลักษณ์ เจียเงินสุด วัย 50 ปี กล่าวว่าเธอกำลังจะกลับไปทำงานเป็นช่างเจียรไนอัญมณีที่จังหวัดจันทบุรี เพราะครอบครัวของเธออยู่ไม่ได้ถ้าเธอไม่มีรายได้

สำหรับคนที่ยังชุมนุมอยู่ รอยเตอร์กล่าวว่ามีบางคนแสดงความหงุดหงิดผิดหวังที่การประท้วงดูจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอะไร และคิดถึงการต่อสู้ที่รุนแรงยิ่งขึ้น สำนักข่าวแห่งนี้ได้อ้างคำพูดของ นายชาญชัย เที่ยงสมบูรณ์ ชาวนาจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่กล่าวว่า “เราเทเลือดกันไปแล้ว คราวนี้จะทำอะไรต่อล่ะ ผมก็ไม่รู้ว่านี่จะไปยังไงต่อไป ผมมีศรัทธาใน “เสื้อแดง” แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า เราจะได้อะไรขึ้นมาถ้าไม่เขย่าสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้นอีกสักนิด”

รอยเตอร์ยังได้อ้างคำพูดของนายมนัส เต็งมณี จากจังหวัดลำปางที่บอกว่า “ผมอยากให้รุกคืบกว่านี้และทำอะไรที่ดุดัน” และกล่าวด้วยว่า “ผมว่าถ้าไม่เลือดสาดจริงๆ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก ยังไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชนในประเทศไทยที่ไม่มีการนองเลือด” เขากล่าวแต่ก็ยืนยันว่าจะทำตามข้อเรียกร้องของแกนนำการชุมนุมที่ต้องการให้ชุมนุมโดยสันติ

สื่อต่างประเทศหลายแห่งยังได้สัมภาษณ์ความคิดเห็นของพวกนักวิเคราะห์ ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป คริสเตียนไซแอนซ์มอนิเตอร์ สื่อของสหรัฐฯระบุว่า นักการทูตชาติตะวันตกผู้หนึ่งให้ทัศนะว่า “มันกำลังจะจบลงแล้ว” และ “พวกเขา(ผู้นำการชุมนุม) จะต้องตัดสินใจว่า จะให้มันจบลงในวิธีที่สบายๆ หรือในวิธีที่หนักหน่วงสาหัส”

เช่นเดียวกับรอยเตอร์ซึ่งระบุว่า พวกนักวิเคราะห์ต่างเห็นว่า การที่จำนวนผู้เข้าร่วมลดลง อาจบังคับให้พวกผู้นำต้องเริ่มมองหาวิธีที่จะยุติการชุมนุม

“มันเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากสำหรับพวกเขา(พวกผู้นำการชุมนุม) พวกเขาจะต้องทำมัน(ยุติการชุมนุม)ในลักษณะที่ทั้งไม่ทำให้พวกผู้นำเสียหน้า และไม่ให้ผู้ชุมนุมผิดหวังมากนัก เพราะจะกลายเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขาในหมู่ผู้สนับสนุนลง” รอยเตอร์อ้างความเห็นของนายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง

สำนักข่าวรอยเตอร์ยังรายงานประเด็นที่ว่า การชุมนุมไม่มีผลกระทบทางลบต่อตลาดการเงิน โดยที่เมื่อไม่ได้มีความรุนแรง ตลอดจนมีความเห็นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากฝ่ายทหาร จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตคราวนี้ จึงได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้ตลาดหุ้นไทยเพิ่มสูงขึ้น 2.4% วานนี้ สู่ระดับสูงที่สุดในรอบ 2 เดือน

รอยเตอร์ยังอ้างคำพูดของ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่กล่าวว่า “ดูเหมือนรัฐบาลจะรับมือกับสถานการณ์โดยรวมได้ ถ้าหากผ่านสัปดาห์นี้ไปได้ ก็น่าจะกลับสู่ภาวะปกติ และเงินทุนจะเริ่มไหลเข้ามาอีก”

“ถึงแม้ต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้นในปริมาณน้อยลง เพราะเรื่องการเมือง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดมีการเทขาย นอกจากว่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ หรือมีการยิงประชาชนเท่านั้น” นางภัทรียากล่าวและเสริมว่า “โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยก็ไม่ได้ดูแย่อะไร”

ความเห็นของเธอยังได้รับการหนุนเสริมจาก มอร์แกน สแตนลีย์ วาณิชธนกิจชั้นนำของสหรัฐฯ ซึ่งได้เพิ่มระดับให้แก่ความน่าลงทุนในตลาดหุ้นของไทย ทั้งนี้ปรากฏในจดหมายข่าวที่ส่งถึงลูกค้าลงวันที่ 12 มีนาคม แต่เพิ่งนำออกเผยแพร่ต่อสื่อในสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ที่ยังไม่สงบในกรุงเทพฯ ทำให้ นายเคิร์ต เอ็ม. แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียและแปซิฟิก ยกเลิการเดินทางเยือนไทยวานนี้ เนื่องจาก “รัฐบาลสหรัฐฯไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มภาระและความไม่สะดวกแก่ฝ่ายไทย” ทั้งนี้ตามคำแถลงของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในกรุงเทพฯ

ด้านคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็แถลงวานนี้ว่า เจ้าชายอาคิชิโนะ พระโอรสองค์รองของสมเด็จพระจักรพรรดิอาคิฮิโตะ ซึ่งทรงมีกำหนดเสด็จประทับเป็นการส่วนพระองค์ในเมืองไทยจนถึงวันที่ 23 นี้ ได้ทรงยกเลิกการเดินทางมาไทยแล้ว

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้ออกคำแนะนำการเดินทางอีกครั้ง ให้พลเมืองออสเตรเลียที่อยู่ในไทย ระมัดระวังตัวอย่างที่สุด โดยควรหลีกเลี่ยงเข้าใกล้จุดชุมนุมประท้วง พร้อมกันนั้นก็แสดงความชื่นชมที่รัฐบาลไทยไม่ใช้กำลังเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง
กำลังโหลดความคิดเห็น