“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะทักษิณคนเดียว” หลายคนมีความเห็นอย่างนี้ ว่าทักษิณเป็นต้นตอของความเลวร้ายทั้งปวง แต่ก็มีคนเห็นต่าง
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคมที่ผ่านมา การประชุมเวที “ปฏิรูปประเทศไทย” ได้เชิญ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธี มาพูดเรื่อง “สีของสันติวิธี” ตอนหนึ่งอาจารย์ชัยวัฒน์พูดว่า
“ทักษิณเป็นผล ไม่ใช่เหตุ”
การคิดในเชิงเหตุปัจจัยเป็นธรรมะ ในทางพุทธคิดถึง ความเป็นกระแสของเหตุปัจจัย อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา โดยหลักที่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัย ทุกอย่างเป็นกระแสของเหตุปัจจัยว่า...นี้ทำให้เกิดนี้...นี้ทำให้เกิดนี้... ถอยหลังไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเดินหน้าต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ ผลของอย่างหนึ่งก็เป็นเหตุของอย่างอื่นต่อๆ ไป
ฉะนั้น จะว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ก็สุดแต่จะจับส่วนไหนของกระแสแห่งเหตุปัจจัย อันนี้ไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมาพิจารณา ไม่มีผิดไม่มีถูก ฉะนั้น โดยนัยนี้ ทักษิณเป็นทั้งเหตุและเป็นทั้งผล ส่วนที่ทักษิณเป็นเหตุนั้นมีการพูดกันมาก แต่ส่วนที่ทักษิณเป็นผลนั้นพูดกันน้อย
ทักษิณไม่สามารถเกิดขึ้นได้ลอยๆ ต้องมีเหตุให้เกิดเป็นผลทักษิณ
ถ้าว่าทักษิณเป็นเหตุให้มีอะไรๆ ตามมามาก เหตุที่ทำให้เกิดทักษิณก็คงมากพอๆกัน หรือใหญ่กว่า ถ้าเหตุยังอยู่ แม้ทำลายทักษิณได้ ก็ยังไม่ใช่การแก้ที่เหตุ ประเด็นใหญ่จึงไม่ใช่เอาหรือไม่เอาทักษิณ แบบจะฆ่าฟันกันอยู่รอมร่อ แต่ต้องไปเลยทักษิณ จึงจะหาจุดลงตัวของสังคมไทยได้
การคิดแบบว่าจะเอาหรือไม่เอาทักษิณ เป็นการคิดแบบแยกส่วน
การคิดแบบตายตัว แยกส่วนจะนำไปสู่ความสุดโต่ง ขัดแย้งและรุนแรงไม่ใช่การคิดแบบมัชฌิมาปฏิปทา การคิดแบบมัชฌิมาปฏิปทาคือการคิดแบบความเป็นกระแสของเหตุปัจจัยหนุนเนื่องดังกล่าว
คนไทยคิดแบบตายตัว แยกส่วนสุดโต่ง มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นๆ จนมาถึง ณ จุดนี้ ในสงครามมหาภารตะที่เรียกว่ามหาภารตยุทธนั้น ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ศิษย์อยู่ในทั้ง ๒ ฝ่ายที่กำลังจะเข้าทำสัประยุทธกัน ในเหตุการณ์ประดุจมหาสยามยุทธที่พี่น้องคนไทยตั้งท่าจะทำสัประยุทธกัน คงจะต้องตั้งคำถามว่า ”เราจะรบกันเพื่ออะไร”
ฝ่ายที่ตอบคำถามได้ความชอบธรรมจะชนะ
ฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงจะหมดความชอบธรรม ถ้าเป้าหมายอยู่ที่ทักษิณพลังจะอ่อน ถ้าเป้าหมายสูงเลยทักษิณจะมีความชอบธรรมและพลังมาก
สาเหตุของการเกิดมีทักษิณในสังคมไทยคือการขาดความเป็นธรรม
เป้าหมายสูงของการต่อสู้ คือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่การเป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม สังคมไทยขาดความเป็นธรรมทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย การเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางและข้างบน คือต้นตอของปัญหาทั้งปวง ประเทศมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมไปตามชุมชนและท้องถิ่นต่างๆ และมีความสุดประมาณ ระบบรวมศูนย์อำนาจไม่สามารถรองรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความซับซ้อนของสังคมสมัยใหม่ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งอยู่ทั่วไป รวมทั้งความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ระบบรวมศูนย์อำนาจเป็นต้นเหตุของคอร์รัปชั่น ลองไปอ่านประวัติศาสตร์ของสวิสเซอร์แลนด์ดู ย้อนหลังไปเมื่อประเทศยังปกครองด้วยการรวมศูนย์ เต็มไปด้วยความฉ้อฉลคอร์รัปชั่น ลัทธิเกื้อหนุนญาติมิตร ต่อมามีการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง ประเทศของเขาเล็กกว่าเรามาก มีประชากรเพียง ๖ ล้านคนเท่านั้นเอง แต่เขามีการกระจายการปกครองท้องถิ่นออกเป็นกว่า ๒๐ แคนตอน ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจและควบคุมการปกครองได้โดยตรง คอร์รัปชั่นและระบบเกื้อหนุนญาติก็หมดไป
การปกครองรวมศูนย์เชื้อเชิญให้นายทุนอยากลงทุนเข้ามามีอำนาจทางการเมือง เพราะถ้าได้อำนาจทางการเมืองก็กินรวบหมดทั้งประเทศ เมื่อกินรวบก็เกิดความไม่ถูกต้องต่างๆ นานาตามมา นอกจากนั้นการรวมศูนย์อำนาจทำให้ทำรัฐประหารได้ง่าย ฉะนั้นจึงเกิดวงจรอุบาทว์ “นักการเมืองโกงกิน – รัฐประหาร” สลับไปสลับมา โดยแก้ปัญหาไม่ได
ถ้ามีการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง ก็ไม่มีนายทุนที่ไหนจะอยากลงทุนมามีอำนาจทางการเมืองเพราะมันไม่คุ้ม และการรัฐประหารทำไม่ได้ เพราะไม่รู้จะไปยึดอำนาจตรงไหน เนื่องจากอำนาจมันกระจายไปอยู่ในส่วนต่างๆ ของประเทศหมดแล้ว ดูอย่างอินเดียเขายังมีความยากจนอยู่มาก แต่มีการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง ประชาธิปไตยอินเดียไม่เคยถูกฆ่าตัดตอนด้วยการทำรัฐประหารเลย เพราะมันทำไม่ได้
ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้พ้นวงจรอุบาทว์ “นักการเมืองคอร์รัปชั่น-กองทัพทำรัฐประหาร” โดยการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึงให้ชุมชนท้องถิ่นปกครองตัวเอง ประชาชนสามารถรวมตัวกันอย่างหลากหลายเพื่อกิจการบ้านเมือง ที่เรียกว่ามีความเป็นประชาสังคม เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย
ตามปรกติการปฏิรูปเพื่อความเป็นธรรมเกิดขึ้นได้ยาก เพราะผู้มีอำนาจและความมั่งคั่งในระบบเดิมอยากจะรักษาระบบเดิมเอาไว้ แต่ระบบเดิมก็ผลิตความไม่ถูกต้องต่างๆ ออกมาทำให้ประเทศวิกฤต และเกิดความรุนแรง เช่น สงครามกลางเมือง หรือการปฏิวัติ
ยามที่วิกฤตจนไม่มีทางออก ก็เป็นโอกาสของการเปลี่ยนแปลงด้วยสันติวิธี ถ้าเรามีจิตสำนึก คนไทยไม่ควรจะต้องมาฆ่าแกงกันขนานใหญ่ แต่ควรจะตกลงกันด้วยสันติวิธีว่าเราจะร่วมกันสร้างความเป็นธรรมทางการเมือง การปกครอง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางกฎหมาย
ความขัดแย้งทุกชนิด ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน ในที่สุดจะจบลงด้วยการเจรจา หากจะมีการเจรจากัน ไม่ว่าจะก่อนเกิดความรุนแรง หรือเกิดความรุนแรงไปแล้ว ควรจะมีข้อตกลงร่วมกันที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ความเป็นธรรม
หากตกลงกันได้ ก็สร้างกลไกร่วม ที่ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ความเป็นธรรม ประเทศไทยจะไปสู่จุดลงตัวใหม่ที่สันติประชาธรรม
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคมที่ผ่านมา การประชุมเวที “ปฏิรูปประเทศไทย” ได้เชิญ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธี มาพูดเรื่อง “สีของสันติวิธี” ตอนหนึ่งอาจารย์ชัยวัฒน์พูดว่า
“ทักษิณเป็นผล ไม่ใช่เหตุ”
การคิดในเชิงเหตุปัจจัยเป็นธรรมะ ในทางพุทธคิดถึง ความเป็นกระแสของเหตุปัจจัย อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา โดยหลักที่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัย ทุกอย่างเป็นกระแสของเหตุปัจจัยว่า...นี้ทำให้เกิดนี้...นี้ทำให้เกิดนี้... ถอยหลังไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเดินหน้าต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ ผลของอย่างหนึ่งก็เป็นเหตุของอย่างอื่นต่อๆ ไป
ฉะนั้น จะว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ก็สุดแต่จะจับส่วนไหนของกระแสแห่งเหตุปัจจัย อันนี้ไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมาพิจารณา ไม่มีผิดไม่มีถูก ฉะนั้น โดยนัยนี้ ทักษิณเป็นทั้งเหตุและเป็นทั้งผล ส่วนที่ทักษิณเป็นเหตุนั้นมีการพูดกันมาก แต่ส่วนที่ทักษิณเป็นผลนั้นพูดกันน้อย
ทักษิณไม่สามารถเกิดขึ้นได้ลอยๆ ต้องมีเหตุให้เกิดเป็นผลทักษิณ
ถ้าว่าทักษิณเป็นเหตุให้มีอะไรๆ ตามมามาก เหตุที่ทำให้เกิดทักษิณก็คงมากพอๆกัน หรือใหญ่กว่า ถ้าเหตุยังอยู่ แม้ทำลายทักษิณได้ ก็ยังไม่ใช่การแก้ที่เหตุ ประเด็นใหญ่จึงไม่ใช่เอาหรือไม่เอาทักษิณ แบบจะฆ่าฟันกันอยู่รอมร่อ แต่ต้องไปเลยทักษิณ จึงจะหาจุดลงตัวของสังคมไทยได้
การคิดแบบว่าจะเอาหรือไม่เอาทักษิณ เป็นการคิดแบบแยกส่วน
การคิดแบบตายตัว แยกส่วนจะนำไปสู่ความสุดโต่ง ขัดแย้งและรุนแรงไม่ใช่การคิดแบบมัชฌิมาปฏิปทา การคิดแบบมัชฌิมาปฏิปทาคือการคิดแบบความเป็นกระแสของเหตุปัจจัยหนุนเนื่องดังกล่าว
คนไทยคิดแบบตายตัว แยกส่วนสุดโต่ง มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นๆ จนมาถึง ณ จุดนี้ ในสงครามมหาภารตะที่เรียกว่ามหาภารตยุทธนั้น ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ศิษย์อยู่ในทั้ง ๒ ฝ่ายที่กำลังจะเข้าทำสัประยุทธกัน ในเหตุการณ์ประดุจมหาสยามยุทธที่พี่น้องคนไทยตั้งท่าจะทำสัประยุทธกัน คงจะต้องตั้งคำถามว่า ”เราจะรบกันเพื่ออะไร”
ฝ่ายที่ตอบคำถามได้ความชอบธรรมจะชนะ
ฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงจะหมดความชอบธรรม ถ้าเป้าหมายอยู่ที่ทักษิณพลังจะอ่อน ถ้าเป้าหมายสูงเลยทักษิณจะมีความชอบธรรมและพลังมาก
สาเหตุของการเกิดมีทักษิณในสังคมไทยคือการขาดความเป็นธรรม
เป้าหมายสูงของการต่อสู้ คือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่การเป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม สังคมไทยขาดความเป็นธรรมทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย การเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางและข้างบน คือต้นตอของปัญหาทั้งปวง ประเทศมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมไปตามชุมชนและท้องถิ่นต่างๆ และมีความสุดประมาณ ระบบรวมศูนย์อำนาจไม่สามารถรองรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความซับซ้อนของสังคมสมัยใหม่ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งอยู่ทั่วไป รวมทั้งความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ระบบรวมศูนย์อำนาจเป็นต้นเหตุของคอร์รัปชั่น ลองไปอ่านประวัติศาสตร์ของสวิสเซอร์แลนด์ดู ย้อนหลังไปเมื่อประเทศยังปกครองด้วยการรวมศูนย์ เต็มไปด้วยความฉ้อฉลคอร์รัปชั่น ลัทธิเกื้อหนุนญาติมิตร ต่อมามีการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง ประเทศของเขาเล็กกว่าเรามาก มีประชากรเพียง ๖ ล้านคนเท่านั้นเอง แต่เขามีการกระจายการปกครองท้องถิ่นออกเป็นกว่า ๒๐ แคนตอน ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจและควบคุมการปกครองได้โดยตรง คอร์รัปชั่นและระบบเกื้อหนุนญาติก็หมดไป
การปกครองรวมศูนย์เชื้อเชิญให้นายทุนอยากลงทุนเข้ามามีอำนาจทางการเมือง เพราะถ้าได้อำนาจทางการเมืองก็กินรวบหมดทั้งประเทศ เมื่อกินรวบก็เกิดความไม่ถูกต้องต่างๆ นานาตามมา นอกจากนั้นการรวมศูนย์อำนาจทำให้ทำรัฐประหารได้ง่าย ฉะนั้นจึงเกิดวงจรอุบาทว์ “นักการเมืองโกงกิน – รัฐประหาร” สลับไปสลับมา โดยแก้ปัญหาไม่ได
ถ้ามีการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง ก็ไม่มีนายทุนที่ไหนจะอยากลงทุนมามีอำนาจทางการเมืองเพราะมันไม่คุ้ม และการรัฐประหารทำไม่ได้ เพราะไม่รู้จะไปยึดอำนาจตรงไหน เนื่องจากอำนาจมันกระจายไปอยู่ในส่วนต่างๆ ของประเทศหมดแล้ว ดูอย่างอินเดียเขายังมีความยากจนอยู่มาก แต่มีการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง ประชาธิปไตยอินเดียไม่เคยถูกฆ่าตัดตอนด้วยการทำรัฐประหารเลย เพราะมันทำไม่ได้
ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้พ้นวงจรอุบาทว์ “นักการเมืองคอร์รัปชั่น-กองทัพทำรัฐประหาร” โดยการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึงให้ชุมชนท้องถิ่นปกครองตัวเอง ประชาชนสามารถรวมตัวกันอย่างหลากหลายเพื่อกิจการบ้านเมือง ที่เรียกว่ามีความเป็นประชาสังคม เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย
ตามปรกติการปฏิรูปเพื่อความเป็นธรรมเกิดขึ้นได้ยาก เพราะผู้มีอำนาจและความมั่งคั่งในระบบเดิมอยากจะรักษาระบบเดิมเอาไว้ แต่ระบบเดิมก็ผลิตความไม่ถูกต้องต่างๆ ออกมาทำให้ประเทศวิกฤต และเกิดความรุนแรง เช่น สงครามกลางเมือง หรือการปฏิวัติ
ยามที่วิกฤตจนไม่มีทางออก ก็เป็นโอกาสของการเปลี่ยนแปลงด้วยสันติวิธี ถ้าเรามีจิตสำนึก คนไทยไม่ควรจะต้องมาฆ่าแกงกันขนานใหญ่ แต่ควรจะตกลงกันด้วยสันติวิธีว่าเราจะร่วมกันสร้างความเป็นธรรมทางการเมือง การปกครอง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางกฎหมาย
ความขัดแย้งทุกชนิด ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน ในที่สุดจะจบลงด้วยการเจรจา หากจะมีการเจรจากัน ไม่ว่าจะก่อนเกิดความรุนแรง หรือเกิดความรุนแรงไปแล้ว ควรจะมีข้อตกลงร่วมกันที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ความเป็นธรรม
หากตกลงกันได้ ก็สร้างกลไกร่วม ที่ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ความเป็นธรรม ประเทศไทยจะไปสู่จุดลงตัวใหม่ที่สันติประชาธรรม