xs
xsm
sm
md
lg

กบฎเสื้อแดงร้อนตัว แม้วปลุกระดมทุกแนวรบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - สื่อหางแดง! เต้นเป็นผีเข้า หลังถูก "ASTVผู้จัดการ" ประจานเจตนาแฝง นำรูปผึ้งทำรังหน้าพญาครุฑโจมตีสถาบัน แหลอ้างหัวข้อ ‘บ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ’เป็นบทความทางจิตวิทยาของสถาบันครอบครัว วธ.ชี้หากหมิ่นเบื้องสูง จับปรับทำลายได้ทันที ขณะที่เหตุปล้นระเบิดและอาวุธสงครามที่คลังแสงพัทลุง "สุเทพ" ยังมึน

วานนี้ (7 มี.ค.) ช่วงบ่าย ที่ชั้น5 ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว ซึ่งถูกตั้งเป็นกองบัญชาการของกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งเคยแหล่งรวมของสื่อเสื้อแดง ทั้งเรดนิว์ ดีสเตชั่น นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ในฐานะบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Voice of Taksin แถลงถึงกรณีนายบุรณัชย์ สมุทรรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นสพ.ไทยโพสต์ และนสพ.ASTVผู้จัดการ นำเนื้อหาบางตอนในนิตยสารไปเผยแพร่ พร้อมทั้งกล่าวหาหน้าปกหนังสือ รูปครุฑทอง ที่มีรวงผึ้งอยู่บนใบหน้ากล่าวหาว่าเป็นการโจมตีสถาบันว่า จากภาพครุฑที่มีผึ้งทำรัง เป็นภาพเมื่อวันที่16ก.ค.51 ช่วงที่ศาลอาญามีคำพิพากษาคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ปฯจำคุก ‘หญิงอ้อ-บรรณพจน์’ ไม่ได้ให้ร้าย ไม่ได้ตัดต่อภาพตามที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์และนสพ.ผู้จัดการกล่าวหา ซึ่งถือว่าเป็นการใส่ความ บิดเบือนความจริง ขอให้สมาคมวิชาชีพ ตรวจสอบการทำงานของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวด้วย
นายสมยศ ยังกล่าวประณามนพ.บุรณัชย์ ที่ให้ร้ายป้ายสี โยงว่ามีการพาดพิงสถาบัน ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่ ถือเป็นการให้ร้ายคนเสื้อแดงและจะทำให้การชุมนุม 12-14มี.ค. นำไปสู่ความรุนแรง จึงขอให้พรรคประชาธิปัตย์หยุดการให้ร้ายคนเสื้อแดง ซึ่งเราจะชุมนุมโดยสันติวิธี ตอนนี้มีการพยายามสร้างสถานการณ์ขึ้นมาและพาดพิงคนเสื้อแดง โดยพรรคประชาธิปัตย์จะใช้ประสบการณ์กล่าวร้ายคนอื่น เช่น การให้ร้ายนายปรีดี พนมยงค์ ของนายควง อภัยวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งขบวนการขวาพิฆาตซ้าย ช่วง 6ต.ค.2519 มาใช้ และขอเรียกร้องว่ารัฐบาลอย่าานำพรบ.มั่นคง และพรก.ฉุกเฉิน มาใช้เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเป็นเผด็จการ คนเสื้อแดงไม่คิดใช้ความรุนแรง การชุมนุมครั้งนี้ร้อยละ 90 เป็นสตรีและผู้สูงอายุ

นายสมยศ กล่าวถึงบทความ ‘บ้านจะดีต้องเริ่มที่พ่อ’ นั้น เป็นบทความทางจิตวิทยาของสถาบันครอบครัว โดยพ่อต้องเป็นแบบอย่างที่ดี หากพ่อมีพฤติกรรม2มาตรฐาน จะทำให้ลูกก้าวร้าวและก่อปัญหาให้สังคมได้ อีกทั้งเป็นการเขียนเชิงลักษณะเปรียบเปรยว่าคนเราต้องทำงานหนักเพื่อนเป็นคนดีของสังคม ยืนยันว่าบทความนี้ไม่ได้เป็นการกล่าวพาดพิงบุคคลใด แต่พรรคประชาธิปัตย์พยายามบิดเบือนให้ร้ายกับบทความในนิตยสาร ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ตักเตือนนพ.บุรณรัชย์หยุดให้ร้ายคนเสื้อแดงได้แล้ว ขณะเดียวกันในรอบสัปดาห์นี้เชื่อว่ารัฐบาลจะสั่งปิดสื่อของคนเสื้อแดง และจากนิตยสารดังกล่าว เราได้รับผลกระทบอย่างมา เพราะบริษัทอัมรินทร์ ไม่ยอมให้นิตยสารไปวางจำหน่าย รวมทั้งในจ.บุรีรัมย์ ก็มีการสั่งห้ามไม่ให้จำหน่ายเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีแม้มีสื่อนำบทความไปเผยแพร่และกล่าวโจมตี เราก็จะไม่ดำเนินคดีทางกฎหมาย เพียงแต่เรียกร้องให้สมาคมทางวิชาชีพ ตักเตือนเท่านั้น

**ASTV-ไทยโพสต์ร่วมตีแผ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวันและหนังสือพิมพ์ไทยโพตส์ ได้ตีแผ่นิตยสาร Voice of Taksinโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาพพญาครุฑถูกปิดหน้า เนื่องจาก “พญาครุฑ” นั้นถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยตราครุฑเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น

ขณะที่ในปกหลังของหนังสือเสียงทักษิณฉบับล่าสุด ได้ขึ้นรูป พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้โกงชาติและนักโทษหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี พร้อมคำแปลโคลงศรีปราชญ์เป็นภาษาอังกฤษระบุว่า “This land bears witness. We are student of great guru. We do wrong, we deserve punishment. We did not, but punished, may this sword be returned” ซึ่งแปลมาจากโคลงบทสุดท้ายของศรีปราชญ์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวออกอากาศหลังได้รับทราบคำพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา

**บ้านจะดีต้องเริ่มที่ “พ่อทักษิณ”

นอกจากนี้ยังได้ตีแผ่ บทความในส่วนของประโยคที่ว่า “บ้านจะดี ต้องเริ่มที่พ่อ” ซึ่งระบุไว้บนปกหน้านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวพลิกดูด้านในแล้วก็พบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับภาพบนปกเลย เพียงแต่ประโยคดังกล่าวเป็นชื่อบทความของ ดร.ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ ในคอลัมน์ Family Secret ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตครอบครัว โดยตอนหนึ่งของบทความ “บ้านจะดี ต้องเริ่มที่พ่อ” ดร.ชนาธิป ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า

“พ่อบางคนทำผิดซ้ำซาก บางทีไม่คิดด้วยซ้ำว่าที่ตัวเองทำนั้นผิด แต่ปากพร่ำสอนลูกว่าอย่าทำผิด เช่น ตัวเองสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยๆ ต่อหน้าลูก แต่ปากพร่ำพูดว่า 'อย่าสูบบุหรี่นะลูก มันไม่ดี' พ่อบางคนใช้ทรัพย์สินเงินทองซื้อหาความสุขอย่างเกินขอบเขต แต่กลับบอกลูกว่า 'คนเราต้องประหยัดนะลูก อย่าใช้จ่ายเงินจนเกินตัว' พ่อบางคนร่ำรวยมั่งคั่งจากการทุจริตเบียดบังเงินทองคนอื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาด้วยพฤติกรรมหลอกลวงปลิ้นปล้อน แต่กลับพร่ำสอนลูกว่า 'คนเราต้องทำงานหนัก ต้องเป็นคนดีของสังคม ต้องเสียสละเพื่อส่วนรวมนะลูก' ลูกที่พ่อพฤติกรรมอย่างนี้ก็ได้แต่หวานอมขมกลืน ก้าวเดินสู่โลกภายนอกได้ไม่สง่าผ่าเผย …”

ทั้งนี้ มิทราบว่า ดร.ชนาธิป คอลัมนิสต์ของนิตยสารเสียงทักษิณ เขียนบทความดังกล่าวโดยต้องการกล่าวกระทบกระเทียบไปถึง ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ เพราะจากคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ระบุอย่างชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพ่อที่ร่ำรวยมั่งคั่งจากการทุจริต คดโกงชาติ ทว่า เพียงไม่มีใครรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งสอนบุตร-ธิดาทั้ง 3 คนของตัวเองว่าอะไรเท่านั้น

**บก.เสียงทักษิณ-นสพ.เถื่อนคนเดียวกัน

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสมยศ ซึ่งเป็นบรรณาธิการบริหารของนิตยสารฉบับนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้ดำเนินการแจ้งความกับกองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินคดีกับ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์ กรณีหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวตีพิมพ์และวางจำหน่าย โดยไม่ได้ยื่นขอจดทะเบียนการพิมพ์ตามมาตรา 11 ของ พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ที่ระบุว่า หนังสือพิมพ์ซึ่งพิมพ์ขึ้นภายในราชอาณาจักร ต้องจดแจ้งการพิมพ์ ตามบทบัญญัติ แห่งพระราชบัญญัตินี้ หากไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษทางอาญา มาตรา 25 ระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ นายสมยศ เป็นแกนนำ นปช.รุ่นที่ 2และแกนนำกลุ่ม 24 มิ.ย.

**วธ.จ่อเชือดหากส่อผิด กม.ซ้ำ

ด้านนายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กล่าวว่า ตนทราบจากสื่อว่านิตยสารฉบับดังกล่าวมีการตีพิมพ์ในลักษณะที่ล่อแหลม แต่โดยส่วนตัวไม่เคยอ่านนิตยสารฉบับดังกล่าว และขณะนี้ยังไม่มีผู้ร้องเรียนเรื่องการจดแจ้งการพิมพ์มายังกระทรวง ซึ่งตามหน้าที่ของ วธ.ที่ดูแลเรื่องการจดแจ้งการพิมพ์ต้องเข้าไปตรวจสอบในเบื้องต้นก่อนว่า นิตยสารเสียงทักษิณนั้น มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องหรือไม่ และหากจดทะเบียนแล้วมีลักษณะการตีพิมพ์ที่ผิดวัตถุประสงค์ไปจากที่แจ้ง จึงจะสามารถแจ้งความดำเนินคดีกับสื่อสิ่งพิมพ์นั้นๆ ได้

“วธ.มีอำนาจดูเฉพาะการจดทะเบียน ลักษณะผู้จดทะเบียน และการตีพิมพ์ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบเนื้อหาในหนังสือ ซึ่งตรงนั้นเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากเราพบว่านิตยสารเสียงทักษิณไม่ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ทันที ซึ่งก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์ เรดนิวส์ ที่ไม่ได้จดทะเบียนถูกต้อง วธ.ก็แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว ส่วนเนื้อหาภายในจะเป็นดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ หรือผู้แทนพระองค์ ตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการพิจารณา” รมว.วัฒนธรรม กล่าว

ด้านนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า สำหรับเนื้อหาตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ในมาตรา 10ระบุว่า ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจออกคำสั่งโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ห้ามสั่งเข้าหรือนำเข้าเพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร ซึ่งสิ่งพิมพ์ใดๆ ที่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือจะกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยจะกำหนดเวลาห้ามไว้ในคำสั่งดังกล่าวด้วยก็ได้ หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิดจริง หรือฝ่าฝืนให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจริบและทำลายได้ทันที และผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามมาตรา 10 มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“ท่านรัฐมนตรีธีระมอบหมายให้กรมศิลปากรตรวจสอบข้อบกพร่องข้อพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ว่ามีส่วนใดที่จะต้องแก้ไข หรือเพิ่มเติมกฎกระทรวงเข้าไปหรือไม่ จะต้องอุดช่องโหว่เพื่อกันการถกเถียงเรื่องความถูกต้องของเนื้อหาและเพื่อง่ายต่อการจัดระดับความเหมาะสมหรือเรตติ้งสื่อสิ่งพิมพ์ในอนาคต โดยส่วนที่ผมว่าน่าจะแก้ไขก็คือ จากเดิมที่พ.ร.บ.ระบุว่าสามารถจดแจ้งเพียงครั้งเดียวก็สามารถผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ได้ตลอด ตรงนี้ก็ต้องแก้ไข เพื่อป้องกันปัญหาการสวมชื่อหนังสือเพื่อตีพิมพ์สื่อแบบผิดวัตถุประสงค์” อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นิตยสารรายปักษ์ Voice of Taksin มีนายสุธรรม แสงประทุม เป็นประธานคณะกรรมการบริหารงาน จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ในนาม บริษัท เสียงทักษิณ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2552 ถือฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2552 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 60 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเป็นหนังสือรายปักษ์ 2เล่มต่อเดือน ออกทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน

***ล่าโจรปล้นคลังแสงยังมืด

กรณีที่คนร้ายเข้าไปขโมยอาวุธสงครามในคลังแสงของกองพันทหารช่างสนาม 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุง โดยอาวุธสงครามที่หายไปมีจำนวน 3 รายการ คือลูกระเบิดแบบสังหารบุคคล แบบเอ็ม 67 จำนวน 69 ลูก เครื่องกระสุนปืนแบบเอชเค และแบบเอ็ม 16 จำนวนอย่างละ 3,100 นัด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีการรายงานให้ทราบในรายละเอียด และเราก็พยายามติดตามดูว่ามีกลุ่มไหนที่เขาสะสมอาวุธ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อประชาชนและบ้านเมือง เราก็ต้องติดตาม ซึ่งเมื่อเห็นว่ามีความชัดเจนก็ต้องดำเนินการจับกุม
“ทั้งหมดก็เพื่อที่จะป้องกันเหตุร้าย ถ้าเราสามารถจับกุมอาวุธร้ายแรงที่เขาสะสมกันไว้ตามที่ต่างๆได้ก่อน มันก็ทำให้เรารู้สึกมีความปลอดภัยมากขึ้น”นายสุเทพ กล่าวว่า

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ทั้งหมดพยายามโยงเข้าสู่การเมืองหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เชื่อมโยงอย่างไรก็ต้องสอบสวนต่อ แต่ว่าเราไม่ต้องการให้มีคนไปครอบครองอาวุธตามจุดต่างๆ ซึ่งอยู่ในแผนงานฝ่ายความมั่นคง และตำรวจทุกพื้นที่ได้รับคำสั่งตรวจค้นอาวุธ ติดตามและจับกุมในช่วงนี้ เพราะฉะนั้น อย่างที่ได้เรียนไป บางทีหากพี่น้องประชาชนที่ผ่านไปไหนมาไหนก็ต้องขออภัยในช่วงนี้ที่มีการตรวจค้นอาวุธ เพราะไม่ต้องการให้มีการเคลื่อนย้ายอาวุธ แม้จะเป็นในต่างจังหวัดก็ตาม เพราะว่าสถานการณ์อย่างนี้ปล่อยให้คนถืออาวุธก็อันตราย

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เรื่องนี้ต้องยอมรับความจริงว่าเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2553 เวลา 18.15 น.ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารช่าง ได้เข้าไปตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ในคลัง ปรากฏว่ามีวัตถุระเบิดหายไป พร้อมกับกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง จึงได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ พล.ท.พิเชษฐ์ พิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับรายงานเบื้องต้นพร้อมกับรายงานให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.รับทราบแล้วเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า จำนวนกระสุนและระเบิดที่ถูกขโมยไปนั้น ไม่ตรงกับที่มีการเสนอข่าวแต่อย่างใด แต่ตนไม่สามารถบอกได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพราะเกรงว่ากระทบต่อการสืบสวนสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะทำให้เสียรูปคดี แต่ขอบอกว่ามีจำนวนน้อยกว่าที่เป็นข่าวแน่นอน”พ.อ.สรรเสริญ กล่าว

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า ขณะนี้แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ประสานขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ เพื่อทำการตรวจลายนิ้วมือคนร้ายรวมถึงดีเอ็นเอ.พร้อมสั่งให้กักตัวเจ้าหน้าที่เวรยามในวันดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบปากคำอย่างละเอียด นอกจากนี้ในส่วนของกองทัพภาคที่ 4 แม่ทัพภาคที่ 4 ยังมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสอบสวนกรณีที่มีการสูญหายของระเบิดและกระสุนปืน เนื่องจากเกรงว่าคนร้ายจะนำไปก่อความวุ่นวาย จึงขอให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นช่วยกันป้องกันคลังวัสดุอาวุธของตนเอง เพราะเรื่องนี้ ผบ.ทบ.ได้เคยกำชับกับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก และผู้ปฎิบัติไปหลายครั้งแล้วว่า ให้ระมัดระวังคลังอาวุธของกองทัพในช่วงเวลานี้อย่างเคร่งครัด

***มทภ.4 ลงพื้นที่ตรวจคลังแสง

พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาค 4พร้อมกำลังหน่วยทหารระดับสูงในกองทัพ หน่วยข่าวความมั่นคงแห่งชาติ นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ในฐานะหัวหน้ารักษาความมั่นคงภายในจังหวัดพัทลุง ได้ร่วมเดินทางเข้าตรวจสอบภายในค่ายทหาร ช.พัน 401 อย่างเร่งด่วน โดยห้ามผู้สื่อข่าวเข้าสังเกตการณ์เพื่อทำข่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ พบว่าหลังคลังแสงเก็บกระสุนปืนของค่ายอภัยบริรักษ์ถูกงัด ทางหน่วยได้เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยตรวจรถยนต์ที่เข้าออกทุกคัน
จากข้อมูลข่าวเปิดเผยว่า พ.ต.อ.สุวัฒน์ แตงคูหา ผกก.สภ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ได้ร่วมเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่คลังแสงถูกงัด รายงานถึงจังหวัดพัทลุงเมื่อช่วงเย็นวาน ว่าเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายเข้าไปขโมยอาวุธสงคราม ในคลังแสงของกองพันทหารช่างสนาม 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุง อาวุธที่ขโมยไปในคลังแสงนั้นมีกระสุนปืนสงครามชนิด เอ็ม 16 และ เอชเค ประมาณ 2,000 นัด กระสุน ชนิด 11 มม. ประมาณ 1,000 นัด และ ระเบิดสังหารบุคคล ชนิด เอ็ม 26 และ เอ็ม 67 ประมาณ 20 ลูก

จากการรายงานเบื้องต้นนั้น อาวุธสงครามที่หายไปนั้น คลังไม่มีสภาพของการรื้อค้น แบบกระจัดกระจายแต่อย่างใด และคาดว่าเป็นฝีมือของทหารภายในค่าย

แหล่งข่าวจากนายทหารคนหนึ่งในกองทัพคาดว่า ส่วนหนึ่งเครื่องกระสุนและระเบิดที่หายไปอาจจะนำไปขายให้กับแกนนำเสื้อแดงในจังหวัดพัทลุง หรือบางส่วนอาจจะนำไปขายให้กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้.
กำลังโหลดความคิดเห็น