“เพื่อไทย” จวก รบ.ผลาญเงินภาษี หลัง ครม.อนุมัติงบประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศ 51.1 ล้าน แค่สร้างภาพให้ผู้นำหน้าตาดีแต่ไม่มีผลงาน ไม่เลิกปูดข่าว “เศษแดง-ไอ้กี้ร์” จับสายลับที่ รบ.ส่งคนคอยติดตาม พิสูจน์ชัดบัญชีดำ 212 ชื่อมีจริง โวยวายถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน จี้รัฐตั้งคณะกรรมการสอบกรณีอาวุธ ในคลังแสงที่พัทลุงหาย เชื่อใช้สร้างสถานการณ์วันชุมนุมเสื้อแดง ผวาแดงเทียมสวมรอยก่อเหตุโยนบาป
วันนี้ (7 มี.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ ครม.อนุมัติเงินงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 51.1 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศไทย ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอว่า สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการบริหาร 1 ปี 2 เดือนที่ผ่านมา การขออนุมัติงบดังกล่าวของรัฐบาล ถึงแม้จะแบ่งการดำเนินงานออกเป็นโครงการต่างๆ มากมาย แต่อยากถามรัฐบาลว่า อะไรคือความฉุกเฉินหรือจำเป็น มีแผนรองรับหรือไม่ ซึ่งการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลชุดนี้ทำผ่านกระทรวงต่างๆ ผ่านสื่อของรัฐและเครือข่ายอย่างมากมายมหาศาลอยู่แล้ว โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ตัวนายกรัฐมนตรี ที่หน้าตาดีแต่ไม่มีผลงาน เป็นการสร้างภาพให้ผู้นำรัฐบาล มากกว่าสร้างงานให้ประชาชน นอกจากนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรียังใช้งบประชาสัมพันธ์ในปี 2552 ไปแล้ว 175 ล้านบาท แต่ความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมก็ไม่ได้ลดลง กลับมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการผลาญงบประชาสัมพันธ์จำนวนมหาศาล แต่ผลงานไม่คุ้มค่า การใช้งบประชาสัมพันธ์ที่ผ่านมาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้น เพื่อสร้างความแตกแยกในสังคมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำซีดีประมวลเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง เมื่อวันที่ 13 เม.ย.2552 การจัดจ้างทำโครงการฉันรักประเทศไทย ที่มีป้ายติดเต็มอยู่ทั่วประเทศ เป็นการประชาสัมพันธ์นายอภิสิทธิ์มากกว่าสร้างความสมานฉันท์ รวมทั้งการจัดรายการโจมตีฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน คนเสื้อแดง หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างต่อเนื่องด้วยข้อมูลเพียงด้านเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายชี้แจงนั้น รังแต่จะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมมากขึ้นไปอีก
“การอนุมัติงบสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 51.1 ล้านบาทของรัฐบาลครั้งนี้น่าจะมีเงื่อนงำ และน่าจะเป็นเพียงข้ออ้างของรัฐบาลเท่านั้นที่ระบุว่า เป็นการประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศไทย เพราะแท้จริงแล้วทั้งหมดทั้งปวงเป็นการอนุมัติงบเพื่อต่อสู้กับคนเสื้อแดง พรรคฝ่ายค้าน และพ.ต.ท.ทักษิณมากกว่า อยากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้งบประมาณอย่างถูกต้องในทางที่ถูกที่ควร เป็นการใช้งบเพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดความสามัคคีและเกิดความปรองดองในชาติ ไม่ใช่ใช้งบประมาณจากเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศเพื่อนำมาใส่ร้ายป้ายสีหรือทำลายล้างขั้วการเมืองตรงข้ามหรือประชาชนที่คิดต่างจากรัฐบาล เงินที่ใช้จ่ายก็เป็นเงินภาษีของประชาชนและกู้ยืมมา”นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายพร้อมพงศ์แถลงถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า รัฐบาลขึ้นบัญชีดำ 212 รายชื่อซึ่งประกอบด้วย ครอบครัวชินวัตร นักการเมืองฝ่ายค้าน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ประชาชน และพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามประกบผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีดำคือ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก โดยนายอริสมันต์และ พล.ต.ขัตติยะ ควบคุมตัวผู้ที่มาติดตามสะกดรอยได้ ซึ่งผู้ที่ถูกควบคุมตัวนั้นยอมรับว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและได้รับคำสั่งให้มาติดตาม ซึ่งการกระทำของรัฐบาลเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน แสดงให้เห็นถึงการคุกคาม การใช้อำนาจของรัฐโดยมิชอบ เหมือนประเทศไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนยิ่งกว่ายุคเผด็จการทหารครองเมือง ขอเรียกร้องให้รัฐบาลโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้เลิกพฤติกรรมดังกล่าว เพราะหากเห็นว่าใครทำผิดกฎหมายก็ดำเนินการไปตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ได้ ไม่ใช่ใช้วิธีการนอกกฎหมาย ในการข่มขู่คุกคามสิทธิในการเดินทางและความเป็นส่วนตัวของประชาชนในลักษณะนี้ ตนเป็นห่วงว่าหากเกิดการป้องกันตัวขึ้นจะเกิดการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตได้ เพราะสถานการณ์เวลานี้ที่มีการขึ้นบัญชีดำทำให้ทุกคนต้องระมัดระวังตัว เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และที่สำคัญเป็นการฟ้องประชาชนว่ารัฐบาลมีการติดตามบุคคลตามบัญชีดำจริงๆ แม้นายอภิสิทธิ์จะปฏิเสธหลังจากถูกเปิดโปงก็ตาม
นายพร้อมพงศ์แถลงถึงเหตุการณ์ลอบขโมยอาวุธสงครามในคลังแสงของกองพันทหารช่างที่ 401 จังหวัดพัทลุงว่า อาวุธสงครามที่หายไปนั้นมีทั้งลูกระเบิดสังหาร เอ็ม67 จำนวน 69 ลูก เครื่องกระสุนปืนแบบเอชเคและแบบเอ็ม16 กว่า 3,000 นัด ซึ่งสอดคล้องกับที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ออกมาให้ข่าวว่าจะมีการก่อวินาศกรรม ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนเป็นการจัดฉากทำขึ้นเอง ทั้งนี้ การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 14 มี.ค.นั้น ถูกสร้างให้เกิดหวาดกลัวขึ้นในหมู่ประชาชนและเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุนและการท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันมาตลอดว่าจะชุมนุมโดยสงบและอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น รัฐบาลก็จะโยนความผิดให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงและขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นอกจากนี้กลุ่มคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาลจะสวมรอยเพื่อก่อเหตุ เพราะทราบจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่รักความเป็นธรรมว่า จะมีการสร้างสถานการณ์โดยกลุ่มคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาลในเขตปริมณฑล และกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดสถานการณ์วุ่นวาย รัฐบาลจะได้อ้างความชอบธรรมในการใช้กฎหมายพิเศษปราบปรามประชาชน เหมือนเหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ผ่านมา
“ขณะนี้ยังทราบอีกว่า มีบางหน่วยงานและบางกลุ่มได้เตรียมเสื้อแดงเป็นจำนวนมากเพื่อสวมรอยเป็นแดงเทียมเตรียมก่อเหตุสร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง พฤติกรรมดังกล่าวขอประณามว่าเป็นการกระทำที่น่าละอายและเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย ใช้วิธีการสกปรกขัดขวางการชุมนุมของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ตั้งกรรมการตรวจสอบอาวุธที่ถูกขโมยไปจากคลังแสงของกองทัพที่จังหวัดพัทลุงโดยด่วนด้วยว่าหายไปจริงหรือไม่ และอาวุธที่หายไปนั้นจะถูกนำมาสร้างสถานการณ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหรือไม่ รวมทั้งต้องนำอาวุธที่หายไปกลับคืนมา และต้องหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษโดยตรวจสอบว่า คนของรัฐบาลรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ เพราะรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น” นายพร้อมพงศ์กล่าว