xs
xsm
sm
md
lg

วิเคราะห์แผนยึดกรุงครั้งใหม่

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

หลังจากที่มีการเลื่อนการชุมนุมใหญ่มาหลายครั้ง ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วมาจนถึงต้นปีนี้ ในที่สุดกำหนดการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลก็ได้ถูกกำหนดชัดเจนแล้ว เป็นวันที่ 12-14 มีนาคม 2553

มีการประกาศไว้ล่วงหน้าว่าการนัดชุมนุมครั้งนี้จะมีการระดมคนมาร่วมชุมนุมถึง 1 ล้านคน มีรถพาหนะเข้ามาในกรุงเทพฯ 100,000 คัน และใช้เวลาปฏิบัติการประมาณ 3 วัน ก็คงปิดเกมรัฐบาลนี้ได้

แม้ไม่บอกชัดๆ ก็พอจะรู้ว่าต้องการขับรัฐบาลนี้ออกไปไม่ว่าด้วยวิธีใด นั่นคือด้วยการยุบสภาหรือด้วยการลาออกก็ได้ แต่อีกวิธีหนึ่งที่ไม่ได้พูดถึงกันแต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้นั่นคือการยึดอำนาจโดยอาศัยกำลังประชาชน หรือที่เรียกว่าการปฏิวัติโดยประชาชน

ความจริงสิ่งที่เรียกว่าการปฏิวัติโดยประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบางประเทศ เมื่อครั้งที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดชุมนุม 193 วัน ก็เคยมีข่าวว่าจะมีการยึดอำนาจโดยประชาชน ซึ่งจะมีทั้งประชาชนทั่วไปและข้าราชการทหารตำรวจบางส่วน

ทว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และการชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้มีนัยที่แตกต่างกัน เพราะการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนั้นประกาศจุดยืนชัดเจนในการที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ รวมทั้งการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่การชุมนุมในครั้งนี้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน คือ นอกจากต้องการขับไล่รัฐบาลออกไปไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แล้ว ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป้าหมายหลักที่สำคัญที่สุดคือการนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาปกครองบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง

และด้วยการกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งนั้น ก็ย่อมส่งผลต่อไปเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมในบรรดาความผิดทั้งปวงไม่ว่าที่ศาลพิพากษาแล้ว หรือที่ยังไม่มีการฟ้องคดีต่อศาล รวมทั้งการคืนทรัพย์สินทั้งหมด

ดังนั้นหากมองการชุมนุมครั้งนี้แค่ขับไล่รัฐบาลก็ออกจะไม่ครบและไม่ตรงกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และเมื่อมองให้ครบถ้วนแล้วก็จะเห็นได้ว่าการชุมนุมครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก และกระทบต่อการดำรงอยู่หรือการล่มสลายของรัฐบาลชุดนี้ และยังจะส่งผลกระทบต่อไปถึงสถาบันอื่นๆ ด้วย

ดังนั้น แผนการจัดชุมนุมครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองและควรต้องทำความเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วทั้งรัฐบาลและประชาชนก็จะได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในความประมาท และแผนที่ว่านี้ก็ไม่ได้เป็นความลับแต่ประการใด เพราะได้มีการนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนอย่างกว้างขวางไปแล้ว

แต่เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวและการเคลื่อนตัวของแผนว่าเป็นอย่างไรนั้น ก็ควรจะคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องต่างๆ อย่างครบถ้วนด้วย และในเรื่องนี้พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน ได้นำความมาเปิดเผยในเว็บไซต์ www.banawit.com ว่าแผนการขับไล่รัฐบาลนี้จะประกอบด้วยแผนสี่แผนประสานกัน สรุปได้ว่า

แผนแรก เป็นการก่อวินาศกรรมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสร้างความระส่ำระสายขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ และจะมีปฏิบัติการในลักษณะคาร์บอมบ์

แผนที่สอง เป็นแผนสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดขัดแย้งชายแดนไทย-เขมร ถึงขั้นปะทะกันระหว่างทหารเขมรกับทหารไทย โดยนายฮวยเซ็งจะเข้ามาที่ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ดในวันที่ 8 มีนาคม ศกนี้ และจะให้ทหารเขมรเข้ายึดพื้นที่ไว้ ยั่วยุให้เกิดการปะทะขึ้นเพื่อดึงกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1 และภาคที่ 2 ขึ้นไปชายแดน ทำให้เกิดการพะวักหน้าพะวงหลังขึ้นในกรุงเทพฯ

แผนที่สาม เป็นแผนก่อวินาศกรรมที่พุ่งเป้าไปที่จุดสำคัญ เช่น ตลาดหุ้น ธนาคาร และสถาบันการเงิน ปั๊มแก๊ส ห้างสรรพสินค้า และจุดศูนย์รวมทางการคมนาคมต่างๆ เพื่อเป็นม่านควันให้แก่การปฏิบัติการในการลอบทำร้ายบุคคลสำคัญ

แผนที่สี่ เป็นแผนการใช้มวลชนขับไล่รัฐบาล
แผนสี่ประสานที่ว่านี้ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ได้นำความมากล่าวไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นก็มีข่าวว่าจะมีการจัดชุมนุมใหญ่แต่ก็เลื่อนมาเป็นเดือนกุมภาพันธ์ และก็เลื่อนมาอีกเป็นกลางเดือนมีนาคม ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงก็ปรากฏว่าถึงวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครปฏิเสธว่าไม่จริง

แต่ดูเค้าโครงและความเป็นไปได้แล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

เพราะว่าในขณะนี้ยิ่งใกล้วันชุมนุมใหญ่เข้ามาเท่าใด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มเป็นไปดังแผนสี่ประสาน

ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ก็มีความรุนแรงมากขึ้น จนมีคนเจ็บ คนตายแทบทุกวัน และแรงระเบิดก็ใหญ่โตมากขึ้นทุกที ก็จะต้องคอยดูกันต่อไปว่าเมื่อใกล้หรือเมื่อถึงวันชุมนุมใหญ่แล้วจะเป็นประการใด

ส่วนในพื้นที่ชายแดนไทย-เขมรนั้นออกจะเข้าเค้าชัดเจน เพราะยิ่งใกล้วันชุมนุมใหญ่ก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น เช่น มีทหารเขมรเข้ามาอยู่ใกล้บริเวณชายแดนมากขึ้น มีการซ้อมยิงจรวดถึง 200 ลูก เมื่อ 2-3 วันมานี้ และในวันที่ 8 มีนาคม นี้ นายฮวยเซ็งก็จะพาทหารขึ้นมาที่ปราสาทตาเมือนธมแลปราสาทตาเมือนโต๊ด ซึ่งเป็นปราสาทที่อยู่ลึกเข้ามาในดินแดนของประเทศไทย

หากฝ่ายทหารของไทยไม่ยอมให้เข้ามาหรือเข้ามาแล้วไม่ยอมถอนทหารออกไป ก็คงเกิดการปะทะกันแน่ และเมื่อนั้นความพะว้าพะวังก็จะเกิดขึ้นเป็นไปดังแผนสี่ประสานที่ว่าไว้นั้น

ในส่วนของการก่อวินาศกรรมและการทำร้ายบุคคลสำคัญก็มีการพูดกันทางโทรทัศน์อย่างชัดเจนว่าจะมีการจับกุมบุตรภริยาของคณะรัฐมนตรีเป็นตัวประกัน และมีการตั้งแบล็กลิสต์กับบุคคลต่างๆ อีกด้วย

ในแผนสี่ประสานนี้ ที่เป็นที่ตื่นตระหนกและหวั่นวิตกของทุกภาคส่วนในขณะนี้ก็คือความหวั่นวิตกว่าจะเกิดเหตุร้าย เนื่องจากหากมีประชาชนจากต่างจังหวัดและรถราเข้ามากรุงเทพฯ ตามที่กล่าวกันแล้ว ก็ยากที่จะควบคุมให้อยู่ในความสงบ ทั้งเปิดช่องให้แก่ผู้ไม่หวังดีที่จะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้ ดีไม่ดีก็จะเกิดทะเลเพลิงขึ้นในกรุงเทพฯ ดังที่พวกแกนนำได้ประกาศไว้ก็เป็นไปได้

ในส่วนของแผนการใช้มวลชนขับไล่รัฐบาลนั้น ปรากฏว่าสื่อมวลชนได้รายงานข่าวว่าจะมีการปิดล้อมและยึดกรุงเทพฯ ไว้ถึง 3 ชั้น คือ

การยึดกรุงเทพฯ ชั้นใน ซึ่งจะมีการตั้งเวทีขับไล่รัฐบาลถึง 6 จุด เช่นที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏหลักสี่ สน.ทุ่งสองห้อง อนุสาวรีย์วงเวียนใหญ่ สวนลุมพินี สามเหลี่ยมดินแดง และสี่แยกบางนา โดยจะมีการจัดชุมนุมตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้าตลอดไปถึงสะพานผ่านฟ้า ตลอดไปจนถึงสะพานปิ่นเกล้า เรียกว่าปิดกรุงเทพฯ ชั้นในและควบคุมพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และสถานที่สำคัญที่เป็นศูนย์อำนาจของประเทศ

การปิดล้อมชั้นกลาง คือการปิดล้อมถนนสายสำคัญที่เป็นทางเข้า-ออกกรุงเทพฯ เพื่อตัดการจราจรระหว่างกรุงเทพมหานครกับต่างจังหวัด

การปิดล้อมชั้นนอก คือ การปิดล้อมในพื้นที่จังหวัดข้างเคียง เช่น ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีแผนว่าจะมีมวลชนมาร่วมถึง 80,000 คน ที่จังหวัดนครสวรรค์ 150,000 คน ที่จังหวัดสมุทรสาคร 2,000 คน ที่จังหวัดนครราชสีมา 150,000 คน และจะมีการเคลื่อนขบวนทางเรือมาจากอยุธยาอีก 100 ลำ

หนังสือพิมพ์เช้าวันที่ 5 มีนาคม 2553 ได้รายงานข่าวอีกว่า มีการกำหนดให้ ส.ส.1 คน จัดรถ 100 คัน นำประชาชนมาจากแต่ละหมู่บ้านๆ ละ 1 คันรถ

ถ้าหากปฏิบัติการได้ตามแผนการนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถทำให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ และผู้ชุมนุมอาจเข้าควบคุมการบริหารโดยใช้สื่อโทรทัศน์สั่งการให้คนที่เตรียมการกันไว้ปฏิบัติตามได้ และอาจเข้าควบคุมบุคคลสำคัญๆ ในคณะรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญอื่นๆ เพื่อให้ยอมหรือปฏิบัติตามที่ต้องการได้

ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในทางการเมืองอย่างแน่นอน! แต่ถ้าดูท่าทีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงแล้วก็ดูประหนึ่งว่ามิได้วิตกทุกข์ร้อนแต่ประการใด

ทั้งแผนตั้งรับของรัฐบาลตามที่สื่อมวลชนนำมารายงานนั้น ส่วนใหญ่เป็นแผนเรื่องใช้จ่ายเงินไม่ว่าการใช้รถกันกระสุนถึง 20 คัน การใช้กำลังตรวจค้นต่างๆ และแผนเพื่อความปลอดภัยของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนครอบครัวรัฐมนตรี ซึ่งแผนอย่างนี้ก็เหมือนกับไม่มีแผนอะไรที่จะรับมือนั่นเอง

ทั้งในห้วงเวลานั้นก็ปรากฏข่าวว่านายกรัฐมนตรีจะไม่อยู่ในประเทศ อ้างว่ามีภารกิจไปประชุมยังต่างประเทศ ซึ่งเพิ่งเห็นนี่แหละว่าในยามบ้านเมืองวิกฤตและประชาชนตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ คนเป็นนายกรัฐมนตรีกลับเห็นว่าการประชุมมีความสำคัญกว่า

ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าอาการมั่นใจนั้น จะเป็นเพราะมั่นใจในการแก้ไขปัญหา หรือว่ามั่นใจว่าขอรอเวลาที่จะมอบอำนาจให้กับผู้ชุมนุม ซึ่งจะต้องคอยดูกันต่อไป.
กำลังโหลดความคิดเห็น